อรรถกถาฉวกชาดก*ที่ 

       พระศาสดาเมื่อประทับอยู่    พระวิหารเชตวัน  ทรงปรารภ

ภิกษุพวกฉัพพัคคีย์  จึงตรัสพระธรรมเทศนานี้  มีคำเริ่มต้นว่า  สพฺพํ

อิทญฺจ  มริกตํ  ดังนี้.

       เรื่องนี้มีมาแล้วโดยพิสดารในพระวินัยนั่นแล.  ส่วนในชาดกนี้

มีความสังเขปดังต่อไปนี้  :-  พระศาสดารับสั่งให้เรียกภิกษุพวกฉัพ-

พัคคีย์มาแล้ว  ตรัสถามว่า  ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย  ได้ยินว่า  พวกเธอ

นั่งบนอาสนะต่ำแล้วแสดงธรรมแก่ผู้นั่งบนอาสนะสูงจริงหรือ  ?  เมื่อ

พวกภิกษุฉัพพัคคีย์กราบทูลว่า  อย่างนั้นพระเจ้าข้า  ข้าแต่พระองค์

ผู้เจริญ  จึงทรงติเตียนภิกษุเหล่านั้น  แล้วตรัสว่า  ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย

การที่พวกเธอไม่กระทำความเคารพในธรรมของเรา  ไม่สมควร  ด้วย

ว่า  โบราณกบัณฑิตทั้งหลาย  ได้ติเตียนอาจารย์นั่งอาสนะต่ำ  บอก

แม้มนต์แก่ชนพวกพากเพียร  แล้วทรงนำเอาเรื่องในอดีตมาสาธก

ดังต่อไปนี้.

___________________________

*  ในพระสูตรเป็น  ฉวชาดก.

       ในอดีตกาล  เมื่อพระเจ้าพรหมทัตครองราชสมบัติในนคร

พาราณสี  พระโพธิสัตว์บังเกิดในกำเนิดคนจัณฑาล  พอเจริญวัยแล้ว

ก็ตั้งตัวได้.  ภรรยาของบุรุษจัณฑาลนั้น  แพ้ท้องอยากมะม่วง  จึง

กล่าวกะเขาว่า  ข้าแต่นาย  ดิฉันอยากกินมะม่วง.  สามีกล่าวว่า  นาง

ผู้เจริญ  ในฤดูกาลนี้  มะม่วงไม่มี  พี่จักนำผลไม้เปรี้ยวอย่างอื่นมาให้.

ภรรยากล่าวว่า  ข้าแต่นาย  ดิฉันอยากได้ผลมะม่วงเท่านั้น  จักมีชีวิต

รอดอยู่ได้  เมื่อดิฉันไม่ได้.  ชีวิตก็จะหาไม่.  สามีนั้นเป็นผู้มีจิตปฏิพัทธ์

รักใคร่ภรรยานั้น  จึงคิดว่า  เราจักได้มะม่วงที่ไหนหนอ.  ก็สมัยนั้น

แล  ในพระราชอุทยานของพระเจ้าพาราณสี  ได้มีต้นมะม่วงมีผลเป็น

ประจำ  บุรุษจัณฑาลนั้น  จึงคิดว่า  เราจักนำผลมะม่วงสุกจากพระ-

ราชอุทยานนั้น  มาระงับความแพ้ท้องของภรรยานี้  ในตอนกลางคืน

จึงไปยังพระราชอุทยาน  ขึ้นต้นมะม่วงแอบซ่อนตัวอยู่  เที่ยวมองดู

ผลมะม่วงกิ่งนั้นกิ่งนี้อยู่.  เมื่อบุรุษจัณฑาลนั้นกระทำอยู่อย่างนี้แหละ

ราตรีก็รุ่งสว่าง.  เขาคิดว่า  เราจักลงไปในบัดนี้  คนเฝ้าพระราชอุท-

ยานเห็นเราเข้าก็จักจับเราว่าเป็นโจร  เราจักไปในตอนกลางคืน  ที่

นั้นเขาจึงปีนขึ้นยังค่าคบแห่งหนึ่งแอบซ่อนอยู่.  ครั้งนั้น  พระเจ้า-

พาราณสี  ทรงเรียนมนต์ในสำนักของปุโรหิต.  พระองค์จึงเสด็จเข้า

ไปยังพระราชอุทยานประทับนั่งบนอาสนะสูง    ที่โคนต้นมะม่วงให้

อาจารย์นั่งอาสนะต่ำ  แล้วทรงเรียนมนต์.  พระโพธิสัตว์นั่งอยู่ข้างบน

คิดว่า  พระราชานี้ประทับนั่งอยู่บนอาสนะสูงเรียนมนต์  ไม่ทรงเคารพ

ในธรรม  แม้พราหมณ์ผู้นั่งอาสนะต่ำสอนมนต์  ก็ไม่เคารพในธรรม

แม้เราผู้ไม่คำนึงถึงชีวิตของเรา  บอกภรรยาว่า  จะลักมะม่วง  เพราะ

เหตุแห่งมาตุคามก็เป็นผู้ไม่เคารพในธรรม  พระโพธิสัตว์นั้นเมื่อจะลง

จากต้นมะม่วง  จึงจับกิ่งห้อยอยู่กิ่งหนึ่งลงยืน  เฉพาะอยู่ในระหว่าง

พระราชาและปุโรหิตแม้ทั้งสองนั้น  แล้วกราบทูลว่า  ข้าแต่มหาราช

ข้าพระบาทเป็นคนฉิบหายแล้ว  พระองค์ทรงเป็นผู้เขลา  ปุโรหิต

เป็นคนตายแล้ว  ถูกพระราชาตรัสถามว่า  เพราะเหตุไร  จึงกล่าว

คาถาที่    ว่า  :-

              กิจทั้งหมดที่เราทั้งหลายทำแล้วนี้  เป็น

       กิจลามก  คนทั้งสองไม่เห็นธรรม  คนทั้งสอง

       เคลื่อนจากปกติเดิม  คือ  อาจารย์นั่งบน

       อาสนะต่ำบอกมนต์  และศิษย์นั่งบนอาสนะ

       สูงเรียนมนต์.

       บรรดาบทเหล่านั้น  บทว่า  สพฺพํ  อิทญฺจ  มริกตํ  ความว่า

กิจทั้งหมดที่เราทั้งหลาย  คือที่ชนทั้ง    กระทำเป็นกิจลามก  คือไร้

มรรยาท  ไม่เป็นธรรม.  ก็พระโพธิสัตว์ติเตียนความที่ตนเป็นโจร

และความที่พระราชา  และปุโรหิตเหล่านั้นไม่เคารพในมนต์ทั้งหลาย

แล้ว  เมื่อจะติเตียนเฉพาะพระราชาและปุโรหิตทั้งสองนอกนี้  จึง

กล่าวคำมีอาทิว่า  คนทั้งสองไม่เห็นธรรม  ดังนี้.  บรรดาบทเหล่านั้น

บทว่า  อุโภ  ความว่า  ชนแม้ทั้งสองย่อมไม่เห็นโบราณกธรรมอันควร

แก่การทำความเคารพ  และเป็นผู้คลาดเคลื่อนจากปกติในธรรมนั้น.

เพราะว่าธรรม  ชื่อว่าปกติ  เพราะเกิดขึ้นก่อน.  สมจริงดังที่ท่านกล่าว

ไว้ว่า  :-

              ธรรมแลปรากฎขึ้นก่อน  อธรรมเกิด

       ขึ้นในโลก  ต่อภายหลัง.

       บรรดาบทเหล่านั้น  บทว่า  โย  จายํ  ความว่า  ปุโรหิตนี้

นั่งบนอาสนะต่ำให้ท่องมนต์  และพระราชานี้นั่งบนอาสนะสูงได้เรียน

เอา.

       พราหมณ์ได้ฟังดังนั้นจึงกล่าวคาถาที่    ว่า  :-

              เราบริโภคข้าวสุกแห่งข้าวสาลีอันสะอาด

       ปรุงด้วยเนื้อ  เพราะเหตุนั้น  เราจึงไม่ซ่อง

       เสพธรรมนั้น  อันฤาษีทั้งหลายซ่องเสพแล้ว.

       คำอันเป็นคาถานั้นมีอธิบายว่า  ท่านผู้เจริญก็เราบริโภคข้าวสุก

แห่งข้าวสาลีอันเป็นของแห่งพระราชานี้  อันขาวสะอาด  อันปรุงเจือ

ด้วยเนื้อราดรสด้วยชนิดแห่งเนื้อมีประการต่างๆ  เพราะฉะนั้น  เรา

จึงเป็นผู้ผูกพันเยื่อใยในท้อง  จึงไม่ได้ซ่องเสพธรรมนี้  ที่พวกฤาษี

ทั้งหลายผู้แสวงหาคุณเสพแล้ว.

       พระโพธิสัตว์ได้ฟังดังนั้นจึงได้กล่าวคาถา    คาถาว่า  :-

              ท่านจงหลีกไปเสียเถิด  โลกยังกว้าง-

       ใหญ่  แม้คนอื่นๆ  ก็ยังหุงต้มกิน  เพราะ

       เหตุนั้น  อธรรมที่ท่านประพฤติมา  แล้วอย่า

       ได้ทำลายท่านเสียเลย  เหมือนก้อนหินต่อย

       หม้อให้แตกฉะนั้น.

              ดูก่อนพราหมณ์  เราติเตียนการได้ยศ

       การได้ทรัพย์  และการเลี้ยงชีวิตด้วยการทำ

       ตนให้ตกต่ำ  หรือด้วยการประพฤติไม่เป็น

       ธรรม.

       บรรดาบทเหล่านั้น  บทว่า  ปริพฺพช  ความว่า  ท่านจงจากที่นี้

ไปที่อื่น.  บทว่า  มหา  ความว่า  ชื่อว่าโลกนี้เป็นของใหญ่.  บทว่า

ปจนฺตญฺเญปิ  ความว่า  คนแม้อื่นๆ  ในชมพูทวีปนี้ก็หุงต้ม  มิใช่

พระราชาพระองค์เดียวนี้เท่านั้น.  บทว่า  ตสฺมา  กุมฺภมิว  ความว่า

เหมือนหินต่อยหม้อฉะนั้น.  ท่านกล่าวคำอธิบายนี้ไว้ว่า  ท่านไม่ไปที่

อื่น  ยังประพฤติอธรรมอยู่ในที่นี้  อธรรมนั้นอันท่านประพฤติแล้ว

อย่างนั้น  อย่าได้ทำลายท่านเลย  เหมือนก้อนหินต่อยหม้อแตกฉะนั้น.

คาถาที่ว่า  ธิรตฺถุ  เป็นต้น  มีความสังเขปดังต่อไปนี้  :-  ดูก่อน

พราหมณ์  เราติเตียนคือครหานินทา  การได้ยศและทรัพย์ของท่าน

อย่างนี้  เพราะเหตุไร  ?  เพราะลาภที่ท่านได้แล้วนี้  และความถึงพร้อม

ด้วยเหตุอันเป็นเครื่องให้ตกไปในอบายทั้งหลายต่อไป  ชื่อว่าเป็นการ

ประพฤติเลี้ยงชีพโดยไม่ชอบธรรม  จะประโยชน์อะไรด้วยการเลี้ยงชีพ

ซึ่งสำเร็จด้วยการทำตนให้ตกต่ำต่อไปนี้  หรือด้วยการประพฤติอันไม่

ชอบธรรมนี้  ด้วยเหตุนั้น  เราจึงกล่าวอย่างนี้กะท่าน.

       ลำดับนั้น  พระราชาทรงเลื่อมใสธรรมกถาของพระโพธิสัตว์

นั้น  ตรัสถามว่า  บุรุษผู้เจริญ  เธอเป็นชาติอะไร  ?  พระโพธิสัตว์

กราบทูลว่า  ข้าพระองค์เป็นคนจัณฑาล  พระเจ้าข้า.  พระราชาตรัสว่า

ท่านผู้เจริญ  ถ้าเธอจักได้เป็นผู้สมบูรณ์ด้วยชาติไซร้  เราจักได้ให้

ราชสมบัติแก่เธอ  ก็ตั้งแต่นี้ไป  เราจักเป็นพระราชาตอนกลางวัน

เธอจงเป็นพระราชาตอนกลางคืน  แล้วประทานพวงดอกไม้  เครื่อง

ประดับพระศอของพระองค์ให้ประดับคอของพระโพธิสัตว์นั้น  แล้วได้

ทรงกระทำพระโพธิสัตว์นั้น  ให้เป็นผู้รักษาพระนคร.  นี้เป็นธรรม-

เนียมของการประดับพวงดอกไม้แดงที่คอของตนผู้รักษาพระนคร.  จำ

เดิมแต่นั้นมา  พระราชาทรงดำรงอยู่ในโอวาทของพระโพธิสัตว์นั้น

ทรงทำความเคารพในฐานอาจารย์  ประทับนั่งบนอาสนะต่ำแล้วทรง

เรียนมนต์

       พระศาสดาครั้นทรงนำพระธรรมเทศนานี้มาแล้ว  ทรงประชุม

ชาดกว่า  พระราชาในครั้งนั้น  ได้เป็นพระอานนท์  ส่วนบุตรคน

จัณฑาล  คือเราตถาคต  ฉะนี้แล.

                           จบ  อรรถกถาฉวกชาดกที่