อรรถกถาสีลวีมังสชาดกที่ 

       พระศาสดาเมื่อเสด็จประทับอยู่    พระเชตวันมหาวิหาร  ทรง

ปรารภอุบายเครื่องข่มกิเลส  จึงตรัสพระธรรมเทศนานี้  มีคำเริ่มต้น

ว่า  นตฺถิ  โลเก  รโห  นาม  ดังนี้.

       เรื่องปัจจุบัน  จักมีแจ้งในปัญจาลชาดก*  เอกาทสนิบาต.  ส่วน

ในชาดกนี้  มีเนื้อความสังเขปดังต่อไปนี้  :-  ภิกษุประมาณ  ๕๐๐  รูป

อยู่ในภายในพระเชตวันวิหาร  พากันตรึกกามวิตกในลำดับมัชฌิมยาม.

พระศาสดาทรงตรวจดู  ภิกษุทั้งหลายเป็นนิตยกาล  ในเวลาทั้งปวงทั้ง

เวลากลางคืนและกลางวัน  เหมือนคนมีตาข้างเดียวรักษาตา  คนผู้มีบุตร

คนเดียวรักษาบุตร  จามรีชาติรักษาขนหางอ่อน  ด้วยความไม่ประมาท

ฉะนั้น.  ในกาลอันเป็นส่วนราตรี  พระองค์ทรงตรวจดูในพระเชตวัน

วิหาร  ด้วยพระจักษุอันเป็นเพียงดังทิพย์  ทรงเห็นภิกษุเหล่านั้น

ประหนึ่งโจรอันเกิดขึ้นในภายในนิเวศน์ของพระเจ้าจักรพรรดิ  จึงทรง

เปิดพระคันธกุฏีรับสั่งเรียกพระอานันทเถระมาแล้วตรัสว่า  อานนท์

เธอจงให้ภิกษุทั้งหลายประชุมกัน    ภายในหอประชุมด้านสุด  แล้ว

จงปูลาดอาสนะที่ประตูพระคันธกุฏี.  พระอานันทเถระนั้นได้กระทำ

อย่างนั้นแล้วกราบทูลพระศาสดาให้ทรงทราบ.  พระศาสดาประทับนั่ง

บนอาสนะที่พระอานนท์ปูลาดแล้วทรงเตือนภิกษุทั้งหลายโดยรวมหมด

ด้วยกัน  แล้วตรัสว่า  ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย  โบราณกบัณฑิตทั้งหลาย

__________________________

*  บางแห่งว่า  ปานียชาดก.

ไม่กระทำบาปด้วยคิดว่า  ชื่อว่าที่ลับในการทำบาปย่อมไม่มี  อันภิกษุ

ทั้งหลายเหล่านั้นทูลอ้อนวอนแล้ว  จึงทรงนำเรื่องในอดีตมาสาธก

ดังต่อไปนี้  :-

       ในอดีตกาล  เมื่อพระเจ้าพรหมทัตครองราชสมบัติในนคร

พาราณสี  พระโพธิสัตว์บังเกิดในตระกูลพราหมณ์  เจริญวัยแล้ว  ได้

เป็นหัวหน้ามาณพ  ๕๐๐  คน  เล่าเรียนศิลปะในสำนักอาจารย์ทิศาปา-

โมกข์  ในนครพาราณสีนั้นนั่นแหละ.  ท่านอาจารย์มีธิดาผู้กำลังเจริญ

วัย  ท่านจึงคิดว่า  เราจักทดลองศีลของมาณพเหล่านี้  แล้วจักให้ธิดา

นั้นแก่มาณพผู้สมบูรณ์ด้วยศีลเท่านั้น.  วันหนึ่ง  อาจารย์ทิศาปาโมกข์

นั้นเรียกมาณพทั้งหลายมาแล้วกล่าวว่า  พ่อทั้งหลาย  ธิดาของเราเจริญ

วัยแล้ว  เราจักทำการวิวาหมงคลแก่เธอ  ควรจะได้ผ้าและเครื่องอลังการ

เธอทั้งหลาย  เมื่อพวกญาติของตน    ไม่เห็น  จงลักเอาผ้าและเครื่อง

อลังการมา  ผ้าและเครื่องอลังการที่ใคร ๆ  ไม่เห็นเท่านั้น  เราจึงรับ

เอา  ผ้าและเครื่องอลังการที่ใคร ๆ  เห็นแล้วเอามา  เราจะไม่รับ.  มาณพ

เหล่านั้นรับคำจำเดิมแต่นั้นมา  เมื่อพวกญาติไม่ทันเห็น  จึงจักนำเอา

ผ้าและเครื่องประดับทั้งหลายมา.  อาจารย์ก็วางสิ่งของที่พวกมาณพนำ

มา    ไว้เป็นพวก ๆ.  พระโพธิสัตว์ไม่นำอะไร ๆ  มาเลย.  ที่นั้น  อาจารย์

จึงกล่าวกะพระโพธิสัตว์นั้นว่า  ดูก่อนพ่อ  เธอเล่าไม่ไปนำอะไร ๆ   มา

หรือ.  พระโพธิสัตว์กล่าวว่า  ขอรับท่านอาจารย์.  อาจารย์ถามว่า

เพราะอะไรพ่อ  ?  พระโพธิสัตว์กล่าวว่า  ท่านไม่รับของที่เอามา  เมื่อ

ใคร ๆ  เห็น  แม้กระผมก็ไม่เห็นที่ลับในการทำบาป  เมื่อจะแสดงความ

จึงกล่าวคาถา    คาถานี้ว่า  :-

              ชื่อว่าที่ลับในโลก  ย่อมไม่มีแก่คนผู้

       กระทำบาปกรรม  ต้นไม้ที่เกิดในป่าก็ยังมีคน

       เห็น  คนพาลย่อมสำคัญบาปกรรมนั้นว่าเป็น

       ความลับ.

              ข้าพเจ้าย่อมไม่เห็นที่ลับ  หรือแม้ที่ว่าง

       เปล่าก็ไม่มี  ในที่ใดว่างเปล่า  ข้าพเจ้าไม่เห็น

       ใคร  ที่นั้นก็ย่อมไม่ว่างเปล่าจากตัวข้าพเจ้า.

       บรรดาบทเหล่านั้น  บทว่า  รโห  ได้แก่  ที่กำบัง.  บทว่า

วนภูตานิ  ได้แก่  ทั้งเกิดและมีอยู่ในป่า.  บทว่า  ตํ  พาโล  ความว่า

คนพาลย่อมสำคัญบาปกรรมนั้นว่า  เราทำในที่ลับ.  ด้วยบทว่า  สุญฺ

วาปิ  นี้  พระโพธิสัตว์กล่าวว่า  แม้ที่ที่ว่างเปล่าจากสัตว์ทั้งหลายไม่มี.

       อาจารย์เลื่อมใสต่อพระโพธิสัตว์นั้นจึงกล่าวว่า  ดูก่อนพ่อ  ใน

เรือนของเราไม่มีทรัพย์สินอะไร  แต่เรามีความประสงค์จะให้ธิดาของ

เราแก่ผู้ที่สมบูรณ์ด้วยศีล  เมื่อจะทดลองมาณพทั้งหลายเหล่านี้  จึงได้

ทำอย่างนี้  ธิดาของเราเหมาะสมแก่ท่านเท่านั้น  แล้วประดับตกแต่งธิดา

มอบให้แก่พระโพธิสัตว์  แล้วกล่าวกะมาณพทั้งหลายนอกนี้ว่า  สิ่งของ

ที่พวกเธอนำมาแล้ว    จงนำไปยังเรือนของเธอทั้งหลายเถิด.

       พระศาสดาตรัส  ดังนั้นแล  มาณพผู้ทุศีลเหล่านั้น  จึงไม่ได้

สตรีนั้น  เพราะความที่ตนเป็นคนทุศีล  มาณพผู้เป็นบัณฑิตคนเดียว

เท่านั้นได้  เพราะเป็นผู้เพียบพร้อมด้วยศีล  พระองค์ทรงเป็นผู้ตรัสรู้

พร้อมเฉพาะแล้ว  จึงได้ตรัสคาถา    คาถานอกนี้ว่า  :-

              มาณพผู้ใหญ่    คนนั้น  คือ  ทุชัจจะ 

       สุชัจจะ    จัณฑะ    สุขวัจฉิตะ    เวชฌ-

       สันธะ    สีลี    มีความต้องการธิดาของ

       อาจารย์  พากันละธรรมเสีย.

              ส่วนพราหมณ์มาณพ  เป็นผู้ถึงฝั่งแห่ง

       ธรรมทั้งปวง  มีปัญญา  มีความเพียรเครื่อง

       ก้าวไปในสัจจธรรม  ตามรักษาธรรมอยู่  จะ

       พึงละสตรีลาภเสียอย่างไรเล่า.

       ในพระคาถานั้น  พระศาสดาทรงถือเอาชื่อของมาณพผู้ใหญ่

  คน  มีอาทิว่า  มาณพทุชัจจะ  ดังนี้.  พระองค์ไม่ทรงระบุชื่อของ

มาณพทั้งหลายที่เหลือ  จึงตรัสโดยรวมเอาทั้งหมดทีเดียวว่า  มาณพ

เหล่านั้นมีความต้องการธิดาของอาจารย์  พากันละธรรมเสีย  ดังนี้.

บรรดาบทเหล่านั้น  บทว่า  เต  ได้แก่  มาณพเหล่านั้นแม้ทั้งหมด.

บทว่า  ธมฺมํ  ได้แก่สภาวะคือการได้เฉพาะสตรี.  บทว่า  ชหุมตฺถิกา

ตัดบทเป็น  ชหุํ อตฺถิกา  แปลเหมือนในคาถา.  อีกอย่างหนึ่ง  บาลีก็

อย่างนี้เหมือนกัน.  ส่วน    อักษรท่านกล่าวด้วยอำนาจการเชื่อมพยัญ-

ชนะ.  ท่านกล่าวอธิบายไว้ว่า  มาณพเหล่านั้นแม้ทั้งหมด  เป็นผู้มีความ

ต้องการธิดาของอาจารย์นั้นเท่านั้น  พากันละสภาวะคือการได้เฉพาะ

สตรีนั้น  เพราะความที่ตนเป็นคนทุศีล.  บทว่า  พฺราหฺมโณ    ความว่า

ส่วนพราหมณ์ผู้สมบูรณ์ด้วยศีลนอกนี้  บทว่า  กถํ  ชเห  ความว่า

เพราะเหตุไร  จักละการได้สตรีนั้น  บทว่า  สพฺพธมฺมานํ  ความว่า

ในที่นี้  ศีล    ศีล    สุจริต    อันเป็นโลกิยะ  ชื่อว่าธรรมทั้งปวง

พราหมณ์มาณพนั้น  ถึงฝั่งแห่งธรรมทั้งปวงนั้น  เพราะเหตุนั้น  จึง

ชื่อว่า  ปารคูผู้ถึงฝั่ง.  บทว่า  ธมฺมํ  ได้แก่  ธรรมอันมีประการดังกล่าว

แล้วนั่นแหละ  ซึ่งพราหมณ์มาณพคุ้มครอง  คือ  รักษาอยู่  บทว่า

ธิติมา  ได้แก่  ผู้ประกอบด้วยปัญญารักษาศีล.  บทว่า  สจฺจนิกฺกโม

ได้แก่  เป็นผู้มีสัจจะเป็นสภาวะ  คือ  ประกอบด้วยความเพียรเครื่อง

ก้าวไปในศีลธรรมตามที่กล่าวแล้ว.

       พระศาสดา  ครั้นทรงนำพระธรรมเทศนานี้มาแล้ว  จึงทรง

ประกาศสัจจะ  ในเวลาจบสัจจะ  ภิกษุ  ๕๐๐  รูปนั้นตั้งอยู่ในพระอรหัต.

แล้วทรงประชุมชาดกว่า  อาจารย์ในครั้งนั้น  ได้เป็นพระสารีบุตร

ส่วนมาณพผู้บัณฑิตได้เป็นเราตถาคต  ฉะนี้แล.

                           จบ  อรรถกถาสีลวีมังสชาดกที่