อรรถกถาทัททรชาดกที่ 

       พระศาสดาเมื่อประทับอยู่    พระเชตวันมหาวิหาร  ทรงปรารภ

ภิกษุผู้มักโกรธรูปหนึ่ง  จึงตรัสพระธรรมเทศนานี้  มีคำเริ่มต้นว่า

อิมานิ  มํ  ททฺทร  ตาปยนฺติ  ดังนี้.

       เรื่องได้กล่าวไว้แล้วในหนหลังนั้นแล.  ก็ครั้งนั้น  เมื่อภิกษุ

ทั้งหลายประชุมสนทนากันด้วยเรื่องที่ภิกษุนั้นเป็นคนขี้โกรธ  ใน

โรงธรรมสภา  พระศาสดาเสด็จมาตรัสถามว่า  ภิกษุทั้งหลาย  บัดนี้

พวกเธอนั่งประชุมสนทนากันเรื่องอะไร  เมื่อภิกษุเหล่านั้นกราบทูลว่า

เรื่องชื่อนี้พระเจ้าข้า  จึงรับสั่งให้เรียกภิกษุนั้นมาแล้วตรัสถามว่า

ดูก่อนภิกษุ  ได้ยินว่าเธอเป็นคนขี้โกรธจริงหรือ  เมื่อภิกษุนั้นกราบ

ทูลว่า  พระเจ้าข้า  ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ  จึงตรัสว่า  ดูก่อนภิกษุ

ทั้งหลาย  มิใช่บัดนี้เท่านั้น  แม้ในกาลก่อน  ภิกษุนี้ก็เป็นคนขี้โกรธ

เหมือนกัน  ก็เพราะความเป็นคนขี้โกรธของเธอ  โบราณกบัณฑิต

ทั้งหลายแม้ตั้งอยู่ในความเป็นนาคราชผู้บริสุทธิ์  ก็ได้อยู่ในพื้นที่

เปื้อนคูถซึ่งเต็มไปด้วยคูถถึง    ปี  แล้วทรงนำเรื่องในอดีตมาสาธก

ดังต่อไปนี้  :-

       ในอดีตกาล  เมื่อพระเจ้าพรหมทัตครองราชสมบัติอยู่ใน

พระนครพาราณสี  พระโพธิสัตว์ได้เป็นโอรสของพระยาทัททรนาค-

ราชผู้ครองราชสมบัติอยู่ในทัททรนาคภพ  อันมีอยู่    เชิงเขาทัททร-

บรรพต  ในหิมวันตประเทศ  ได้มีนามว่า  มหาทัททระ  ส่วน

น้องชายของมหาทัททรนาคราชนั้นชื่อว่าจุลลทัททระ.  จุลลทัททรนาค

นั้น  มักโกรธ  หยาบคาย  เที่ยวด่า  เที่ยวประหารพวกนาคมาณพ

อยู่.  พระยานาคราชรู้ว่าจุลลทัททรนาคนั้นเป็นผู้หยาบช้า  จึงสั่งให้

นำจุลลทัททรนาคนั้นออกจากนาคภพ.  แต่มหาทัททรนาคขอให้บิดา

อดโทษแล้วทัดทานห้ามไว้.  แม้ครั้งที่สองพระยานาคทรงกริ้วต่อ

จุลลทัททรนาคนั้น.  แม้ครั้งที่สอง  มหาทัททรนาคนั้นก็ทูลขอให้

อดโทษไว้.  แต่ในวาระที่สาม  พระยานาคผู้บิดาตรัสว่า  เจ้าห้ามมิให้

พ่อขับไล่มันผู้ประพฤติอนาจาร  เจ้าแม้ทั้งสองจงไป  จงออกจาก

นาคภพนี้ไปอยู่ที่พื้นเปื้อนคูถ  ในนครพาราณสีกำหนด    ปี  แล้ว

ให้ฉุดคร่าออกจากนาคภพ.  นาคพี่น้องทั้งสองนั้นจึงไปอยู่ที่พื้นเปื้อน

คูถในเมืองพาราณสีนั้น.  ครั้งนั้น  พวกเด็กชาวบ้านเห็นนาคพี่น้อง

ทั้งสองนั้นเที่ยวหาเหยื่ออยู่ที่ชายน้ำใกล้พื้นที่เปื้อนคูถ  จึงพากัน

ประหารขว้างปาท่อนไม้และก้อนดินเป็นต้น.  พากันด่าว่าคำหยาบ

เป็นต้นว่า  นี้ตัวอะไรหัวใหญ่  หางเหมือนเข็ม  มีกบเขียดเป็น

ภักษาหาร.  จุลลทัททรนาคอดกลั้นการดูหมิ่นของพวกเด็กชาวบ้าน

เหล่านั้นไม่ได้  เพราะตนเป็นผู้ดุร้ายหยาบช้าจึงกล่าวว่า  ข้าแต่พี่

เจ้าพวกเด็กเหล่านี้ดูหมิ่นพวกเรา  ไม่รู้ว่าพวกเราเป็นผู้มีพิษร้าย  น้อง

ไม่อาจอดกลั้นการดูหมิ่นของพวกมันได้  น้องจะทำพวกมันให้ฉิบหาย

ด้วยลมจมูก  เมื่อจะเจรจากับพี่ชาย  จึงกล่าวคาถาที่    ว่า  :-

              พี่ทัททระ  คำว่าหยาบคายทั้งหลายใน

       มนุษยโลกเหล่านี้  ย่อมทำข้าพเจ้าให้เดือด-

       ร้อน  พวกเด็กชาวบ้านผู้ไม่มีพิษฤทธิ์เดช

       พากันสาปแช่งว่า  เราผู้มีพิษร้ายว่าเป็นสัตว์

       กินกบกินเขียด  และว่าเป็นสัตว์น้ำ.

       บรรดาบทเหล่านั้น  บทว่า  ตาปยนฺติ  แปลว่า  ย่อมทำให้

ลำบาก.  บทว่า  มณฺฑูกภกฺขา  อุทกนฺตเสวี  ความว่า  พวกเด็ก

ชาวบ้านผู้ไม่มีพิษฤทธิ์เดชเหล่านั้นกล่าวกันว่า  สัตว์กินกบกินเขียด

และว่าเป็นสัตว์น้ำ  สาปแช่งคือด่าว่าเราซึ่งเป็นผู้มีพิษร้าย.

       มหาทัททรนาคผู้พี่ได้ฟังคำของจุลลทัททรนาคผู้น้องนั้นแล้ว

จึงได้กล่าวคาถาที่เหลือว่า  :-

              บุคคลถูกขับไล่จากแว่นแคว้นของตน

       ไปอยู่ยังถิ่นอื่น  ควรทำฉางใหญ่ไว้  เพื่อเก็บ

       คำหยาบคายทั้งหลาย.

              บุคคลอยู่ในหมู่ชนผู้ไม่รู้จักตน  ไม่

       ควรทำการถือตัวในที่ที่ไม่มีคนรู้จักตน  โดย

       ชาติหรือโดยวินัย.

              บุคคลผู้มีปัญญาแม้เปรียบเสมอด้วยไฟ

       เมื่อไปอยู่ต่างถิ่นไกลพึงอดทน  แม้คำขู่

       ตะคอกของทาส.

       บรรดาบทเหล่านั้น  บทว่า  ทุรุตฺตานํ  นิเธตเว  ความว่า

ชนทั้งหลายสร้างฉางใหญ่ไว้เพื่อเก็บข้าวเปลือก  ทำฉางให้เต็มไว้

เมื่อกิจเกิดขึ้น  ก็ใช้สอยข้าวเปลือก  ฉันใด  บุรุษผู้เป็นบัณฑิต

ก็ฉันนั้นเหมือนกัน  ไปต่างถิ่นพึงสร้างฉางใหญ่ไว้ภายในหทัย  เพื่อ

เก็บคำหยาบคาย  ครั้นเก็บคำหยาบคายเหล่านั้นไว้ในหทัยนั้นแล้ว

กลับจักกระทำกิจที่ควรทำในเวลาอันเหมาะแก่ตน.  บทว่า  ชาติยา

วินเยน  วา  ความว่า  ในที่ใด  ชนทั้งหลายย่อมไม่รู้จักตนโดยชาติ

หรือโดยวินัยว่า  ผู้นี้เป็นกษัตริย์  ผู้นี้เป็นพราหมณ์  หรือว่าเป็นผู้มีศีล

เป็นพหูสูตร  เป็นผู้เพียบพร้อมด้วยคุณธรรม.  บทว่า  มานํ  ความว่า

ไม่พึงกระทำการถือตัวว่า  เขาเรียกเรารู้เห็นปานนี้ด้วยโวหารอัน

ลามก  ไม่สักการะ  ไม่เคารพ.  บทว่า  วสํ  อญฺาตเก  ชเน

ความว่า  อยู่ในสำนักของคนผู้ไม่รู้จักชาติและโคตรของตน.  บทว่า

วสโต  แก้เป็น  วสตา  แปลว่า  อยู่.  อีกอย่างหนึ่ง  บาลีก็เป็น

(ศัพท์ว่า  วสตา)  ดังนี้เหมือนกัน.

       นาคพี่น้องทั้งสองนั้นอยู่    ที่นั้น  สิ้นกำหนด    ปี  ด้วย

อาการอย่างนี้.  ลำดับนั้น  พระยานาคผู้บิดาให้เรียกนาคพี่น้องทั้งสอง

นั้นมา.  ตั้งแต่นั้นมานาคพี่น้องทั้งสองนั้น  ก็สิ้นมานะการถือตัว.

       พระศาสดาครั้นทรงนำพระธรรมเทศนานี้มาแล้ว  จึงทรง

ประกาศสัจจะทั้งหลาย.  ในเวลาจบสัจจะ  ภิกษุผู้มักโกรธได้ดำรงอยู่

ในอนาคามิผล.  แล้วทรงประชุมชาดกว่า  จุลลทัททรนาคในครั้งนั้น

ได้เป็นภิกษุผู้มักโกรธในบัดนี้  ส่วนมหาทัททรนาคในครั้งนั้น  ได้เป็น

เราตถาคต  ฉะนี้แล.

                           จบ  อรรถกถาทัททรชาดกที่