อรรถกถามหาอัสสาโรหชาดกที่ 

       พระศาสดาเมื่อประทับอยู่    พระเชตวันมหาวิหาร   ทรงปรารภ

พระอานันทเถระ  จึงตรัสพระธรรมเทศนานี้  มีคำเริ่มต้นว่า  อเทยฺ-

เยสุ  ททํ  ทานํ  ดังนี้.

       เรื่องปัจจุบันได้กล่าวไว้แล้วในหนหลังนั่นแล.  แม้ในชาดกนี้

พระศาสดาตรัสว่า  แม้โบราณกบัณฑิตทั้งหลายก็ได้กระทำแล้วด้วย

อำนาจอุปการะเกื้อหนุนแก่ตน  แล้วทรงนำเอาเรื่องในอดีตมาสาธก

ดังต่อไปนี้  :-

       ในอดีตกาล  พระโพธิสัตว์ได้เป็นพระราชาในนครพาราณสี

ครองราชสมบัติโดยธรรม  ให้ทาน  รักษาศีล.  พระเจ้าพาราณสีนั้น

ทรงพระดำริว่า  จักทรงปราบชายแดนที่กำเริบให้สงบ  จึงทรงแวดล้อม

ด้วยพลโยธาเสด็จไปปราบ  ทรงพ่ายแพ้  จึงทรงขึ้นม้าเสด็จหนีไปถึง

ปัจจันตคามบ้านชายแดนแห่งหนึ่ง  ชน  ๓๐  คนผู้เป็นราชเสวกอยู่

ในบ้านปัจจันตคามนั้น  คนเหล่านั้นประชุมกันที่ท่ามกลางบ้านแต่

เช้าตรู่กระทำกิจการในบ้าน.  ขณะนั้น  พระราชาเสด็จขึ้นทรงม้าที่

ฝึกแล้ว  ทั้งพระองค์ทรงประดับและตกแต่งด้วยเครื่องออกศึก

เสด็จเข้าไปภายในบ้านทางประตูบ้าน.  คนเหล่านั้นคิดว่า  นี่อะไรกัน

จึงกลัวพากันหนีเข้าเรือนของตนๆ.  ก็ในคนเหล่านั้น  มีคนหนึ่งไม่

ไปบ้านตน  ทำการต้อนรับพระราชาแล้วถามว่า  ข้าพเจ้าได้ยินข่าวว่า

พระราชาเสด็จไปปัจจันตชนบท  ท่านเป็นใคร  เป็นราชบุรุษหรือ

จารบุรุษ.  พระราชาตรัสว่า  ดูก่อนสหาย  เราเป็นราชบุรุษ.  คนผู้

นั้นจึงกล่าวว่า  ถ้าอย่างนั้นท่านจงมา  แล้วพาพระราชานั้นไปเรือน

ให้นั่งบนตั่งของตน  แล้วกล่าวว่า  นางผู้เจริญเธอจงมา  จงล้างเท้า

ของสหาย  ครั้นให้ภรรยาล้างพระบาทของพระราชานั้นแล้ว  ให้

อาหารตามสมควรแก่กำลังของตน  แล้วปูลาดที่นอนโดยพูดว่า  ท่าน

จงพักสักครู่หนึ่ง.  พระราชาทรงบรรทมแล้ว.  ฝ่ายชายเจ้าของบ้านได้

เปลื้องเครื่องเกราะของม้าออกให้เดินได้ถนัด  ให้ดื่มน้ำ  เอาน้ำมันทา

หลังแล้วให้หญ้า.  เขาปฏิบัติพระราชาอย่างนี้ได้  ๓-๔  วัน  เมื่อพระ-

ราชาตรัสว่า  สหาย  เราจักไปละ  จึงได้กระทำกิจทั้งปวงอันเหมาะสม

ที่จะพึงทำแก่พระราชาและม้าอีกครั้ง.  พระราชาเสวยแล้วเมื่อจะเสด็จ

ไปได้ตรัสว่า  ดูก่อนสหาย  เราชื่อมหาอัสสาโรหะ  บ้านของเราอยู่

กลางพระนคร  ถ้าท่านมายังพระนครด้วยกิจอะไรๆ  ท่านจงยืนที่ประตู

ด้านทักษิณแล้วกล่าวกะนายประตูว่า  คนชื่อมหาอัสสาโรหะอยู่บ้าน

หลังไหน  แล้วพึงพานายประตูไปยังบ้านของเรา  ตรัสดังนี้  แล้วก็

เสด็จหลีกไป.  ฝ่ายหมู่พลโยธาไม่เห็นพระราชา  จึงตั้งค่ายพักอยู่นอก

พระนคร  ครั้นเห็นพระราชาแล้วต่างพากันลุกรับแวดล้อม.  พระราชา

เมื่อจะเสด็จเข้าพระนครได้ประทับยืนที่ระหว่างประตู  รับสั่งให้เรียก

นายประตูมา  ให้มหาชนถอยออกไปแล้วตรัสว่า  ดูก่อนพ่อ  ชาวบ้าน

ปัจจันตคามคนหนึ่งมีความประสงค์จะมาพบเรา  มาแล้วจักถามเธอว่า

เรือนของนายมหาอัสสาโรหะอยู่ที่ไหน  เธอพึงจับมือเขาไว้แล้วนำมา

แสดงเราให้เขาเห็น.  ในกาลนั้น  เธอจักได้ทรัพย์พันหนึ่ง.  ครั้น

ตรัสสั่งแล้วพระองค์ก็เสด็จเข้ายังพระราชนิเวศน์  ส่วนบุรุษนั้นก็ยัง

ไม่มาเฝ้า.  เมื่อบุรุษนั้นไม่มาเฝ้า  พระราชาจึงให้เพิ่มพลีในบ้านที่เขา

อยู่  เมื่อเพิ่มพลีแล้ว  เขาก็ยังไม่มาเฝ้า.  เมื่อเป็นอย่างนั้น  จึงทรง

ให้เพิ่มพลี  แม้ครั้งที่สอง  แม้ครั้งที่สาม  เขาก็ยังไม่มาเฝ้าอยู่นั่นเอง.

ลำดับนั้น  ชาวบ้านทั้งหลายจึงประชุมกันแล้วพูดกะบุรุษนั้นว่า  ข้า

แต่นาย  นับตั้งแต่นายอัสสาโรหะของท่านมา  พวกเราถูกกดขี่ด้วยพลี

จนไม่อาจโงศีรษะขึ้นได้  ท่านจงไป  จงบอกแก่นายมหาอัสสาโรหะ

ของท่านให้ช่วยปลดเปลื้องพลีของพวกเรา.  บุรุษนั้นกล่าวว่า  ดีละ

เราจักไป  แต่ว่าเราไม่อาจมีมือเปล่าไป  สหายของเรามีเด็ก    คน

ท่านทั้งหลายจงจัดแจงเครื่องนุ่งเครื่องห่มและเครื่องประดับ  เพื่อ

เด็ก    คนนั้น  เพื่อภรรยาของเขา  และเพื่อสหายเรา.  ชาวบ้าน

เหล่านั้นกล่าวว่าได้  พวกเราจักจัดแจงให้  แล้วพากันจัดแจงเครื่อง

บรรณาการทุกอย่าง.  บุรุษนั้นถือเอาเครื่องบรรณาการนั้น  และขนม

ทอดในเรือนของตนไป  ครั้นถึงประตูด้านทิศใต้  จึงถามนายประตูว่า

ดูก่อนสหาย  เรือนของนายมหาอัสสาโรหะอยู่ที่ไหน  ?  นายประตูนั้น

กล่าวว่า  ท่านจงมา  เราจักแสดงแก่ท่าน  แล้วจับมือเขาพาไปยังประตู

พระราชนิเวศน์แล้วส่งข่าวให้ทรงทราบว่า  นายประตูพาบุรุษชาวบ้าน

ปัจจันตคามมา.  พระราชาพอได้ทรงสดับก็เสด็จลุกขึ้นจากพระอาสน์

ตรัสว่า  แม้สหายของเราเฉพาะมากับนายประตูนั้นเท่านั้น  จงเข้ามา

เถิด  แล้วทรงทำการต้อนรับ  พอทรงเห็นเท่านั้น  จึงทรงทักทายบุรุษ

นั้นแล้วตรัสถามว่า  หญิงสหายและพวกเด็กๆ  ของเราไม่เจ็บไข้ได้ป่วย

หรือ  แล้วทรงจับมือพาขึ้นท้องพระโรง  ให้นั่งบนอาสน์ภายใต้เศวตร-

ฉัตร  รับสั่งให้เรียกพระอัครมเหสีมาแล้วตรัสว่า  พระนางผู้เจริญ

เธอจงล้างเท้าแม้แห่งสหายของเรา.  พระอัครมเหสีนั้นได้ทรงล้างเท้า

บุรุษผู้นั้น  พระราชาทรงรดน้ำด้วยพระสุวรรณภิงคาร  พระเทวีทรง

ล้างเท้าแล้วทาด้วยน้ำมันหอม.  พระราชาตรัสถามว่า  สหาย  ของกิน

สำหรับพวกเราชนิดไรๆ  มีบ้างไหม  ?  บุรุษนั้นกล่าวว่ามี  แล้วนำขนม

ออกมาจากกระทอ.  พระราชาทรงรับด้วยจานทอง  เมื่อจะทำการ

สงเคราะห์เอาน้ำใจเขาจึงตรัสว่า  ท่านทั้งหลายจงกินขนมที่สหายเรา

นำมา  แล้วได้ประทานแก่พระเทวีและอำมาตย์ทั้งหลาย  แม้พระองค์เอง

ก็ทรงเสวย.  ฝ่ายบุรุษนั้นก็แสดงเครื่องบรรณาการแม้อย่างอื่นถวาย.

เพื่อจะทรงสงเคราะห์เขา  พระราชาจึงทรงเปลื้องผ้ากาสิกพัสตร์แล้ว

ทรงนุ่งคู่ผ้าที่เขานำมาถวาย.  ฝ่ายพระเทวีก็ทรงเปลื้องผ้ากาสิกสาฎก

และเครื่องอาภรณ์ทั้งหลาย  แล้วทรงนุ่งผ้าสาฎกที่เขานำมา  แล้วทรง

ประดับเครื่องอาภรณ์.  ลำดับนั้น  พระราชาให้บุรุษสหายนั้นบริโภค

โภชนะอันควรแก่พระราชา  แล้วทรงสั่งอำมาตย์คนหนึ่งว่า  ท่านจงไป

จงให้ช่างกระทำการโกนหนวดแก่บุรุษนี้  ตามทำนองที่ทำแก่เรานั่น

แหละ  แล้วให้อาบด้วยน้ำหอม  ให้นุ่งผ้ากาสิกพัสตร์อันมีค่าแสนหนึ่ง

ให้ประดับด้วยเครื่องอลังการสำหรับพระราชา  แล้วจงนำมา.  อำมาตย์

นั้นได้กระทำเหมือนอย่างนั้น.  พระราชาให้เที่ยวตีกลองป่าวร้องใน

พระนคร  ให้อำมาตย์ทั้งหลายประชุมกัน  แล้วให้พาดด้ายแดงกลาง

เศวตรฉัตร  แล้วพระราชทานราชสมบัติกึ่งหนึ่งแก่บุรุษผู้สหายนั้น.

จำเดิมแต่นั้น  พระราชาทั้งสองนั้นก็ทรงร่วมเสวย  ร่วมดื่ม  ร่วม

บรรทมด้วยกัน  ความวิสสาสะคุ้นเคยได้แน่นแฟ้นอันใครๆ  ให้แตก

แยกไม่ได้.  ลำดับนั้น  พระราชารับสั่งให้เรียกบุตรและภรรยาของ

บุรุษผู้สหายนั้นมา  ได้ให้สร้างนิเวศน์ในภายในพระนครพระราชทาน

พระราชาทั้งสองนั้น  ต่างสมัครสมานรื่นเริงบรรเทิงใจ  ครองราช-

สมบัติ.  ต่อมาอำมาตย์ทั้งหลายพากันโกรธ  พระเจ้าพาราณสีนั้นจึงทูล

พระราชโอรสว่า  ข้าแต่พระราชกุมาร  พระราชาได้ประทานราชสมบัติ

กึ่งหนึ่งแก่คฤหบดีนี้  ร่วมเสวย  ร่วมดื่มกับคฤหบดีนั้น  ซ้ำให้พวก

เด็กๆ  ไหว้  ข้าพระบาททั้งหลายไม่ทราบถึงกรรมที่คฤหบดีนี้กระทำ

พระราชาทรงกระทำอะไร  ข้าพระบาททั้งหลายรู้สึกละอาย  ขอพระ-

องค์จงทูลพระราชาด้วยเถิด.  พระราชโอรสนั้นรับคำแล้ว  จึงกราบ

ทูลเรื่องราวนั้นทั้งหมดแด่พระราชา  แล้วกราบทูลว่า  ข้าแต่มหาราช

ขอพระองค์อย่าได้ทรงกระทำอย่างนี้เลย.  พระเจ้าพาราณสีตรัสว่า

ดูก่อนพ่อ  บิดาแม้ในการรบ  แม้ในกาลนั้นได้อยู่    ที่ไหน  เจ้าทราบ

หรือไม่เล่า.  พระราชโอรสกราบทูลว่า  ไม่ทราบพระเจ้าข้า.  พระราชา

ตรัสว่า  บิดาไปอยู่ในเรือนของคฤหบดีนี้ปลอดภัย  แล้วกลับมาครอง-

ราชสมบัติ  เมื่อเป็นเช่นนี้  เพราะเหตุไร  บิดาจึงจักไม่ให้สมบัติแก่

ผู้มีอุปการะแก่เราเล่า.  พระโพธิสัตว์ครั้นตรัสอย่างนี้แล้ว  จึงตรัสว่า

ดูก่อนพ่อ  ก็บุคคลใดให้แก่คนผู้ไม่ควรให้  ไม่ให้แก่บุคคลผู้ควรให้

บุคคลนั้นถึงภัยอันตรายเข้า  จะไม่ได้อุปการะเกื้อหนุนอะไรเลย  เมื่อ

จะทรงแสดงต่อไปจึงตรัสคาถาเหล่านี้ว่า  :-

              ผู้ใดให้ทานในบุคคลที่ไม่ควรให้  ไม่

       เพิ่มให้ในคนที่ควรให้  ผู้นั้นถึงจะได้รับทุกข์

       ในคราวมีอันตราย  ก็ไม่ได้สหาย  ช่วยเหลือ.

              ผู้ใดไม่ให้ทานในคนที่ไม่ควรให้  เพิ่ม

       ให้ในคนที่ควรให้  ผู้นั้นถึงได้รับทุกข์ในคราว

       มีอันตราย  ย่อมได้สหาย  ช่วยเหลือ

              การแสดงคุณวิเศษแห่งความเกี่ยวพัน

       และความสนิทสนมกันฉันท์มิตร  ในชน

       ทั้งหลายผู้ไม่มีอารยธรรม  เป็นคนมักโอ้อวด

       ย่อมไร้ผล  การแสดงคุณวิเศษแห่งความ

       เกี่ยวพันและความสนิทสนมกันฉันท์มิตร

       ในอารยชนทั้งหลายผู้ซื่อตรงคงที่  แม้เล็ก

       น้อยก็ย่อมมีผลมาก.

              ผู้ใดได้ทำความดีงามไว้ก่อน  ผู้นั้น

       ชื่อว่าได้ทำกิจที่ทำได้แสนยากในโลก  ภาย

       หลังเขาจะทำหรือไม่ทำก็ตาม  ชื่อว่าเป็น

       บุคคลผู้ควรแก่การบูชายิ่งนัก.

       บรรดาบทเหล่านั้น  บทว่า  อเทยฺเยสุ  ได้แก่  ผู้ไม่เคยทำ

อุปการะมาก่อน.  บทว่า  เทยฺเยสุ  ได้แก่  ผู้ทำอุปการะมาแล้ว.  บทว่า

นปฺปเวจฺฉติ  แปลว่า  ไม่ให้เข้าไป  คือ  ไม่ให้.  บทว่า  อาปาสุ

แปลว่า  ในคราวมีอันตราย.  บทว่า  พฺยสนํ  ได้แก่  ความทุกข์.

บทว่า  สญฺโคสมฺโภควิเสสทสฺสนํ  ความว่า  การแสดงความวิเศษ

คือการแสดงคุณของการเกี่ยวพันกันและการกินอยู่ร่วมกัน  ที่มิตร

กระทำไว้ทั้งหมดนี้ที่ว่า  ผู้นี้กระทำดีแก่เราแล้ว  ย่อมพินาศ  คือ

ฉิบหายไป  ในชนผู้ชื่อว่าอนารยชน  เพราะเป็นผู้มีธรรมไม่หมดจด

ชื่อว่าผู้โอ้อวด  เพราะความเป็นคนหลอกลวง.  บทว่า  อริเยสุ  ได้แก่

ชื่อว่าผู้ประเสริฐ  คือ  ผู้บริสุทธิ์  เพราะรู้คุณที่เขาทำไว้แก่ตน.  บทว่า

อญฺชเสสุ  ได้แก่  ชื่อว่าผู้ซื่อตรง  คือผู้ไม่คดโกง  เพราะเหตุนั้น

นั่นเอง.  บทว่า  อณุมฺปิ  แปลว่า  แม้มีประมาณน้อย.  บทว่า  ตาทิสุ

ความว่า  สิ่งที่กระทำในบุคคลผู้ประเสริฐ  ผู้ซื่อตรง  เช่นนั้น  แม้จะ

น้อยก็มีผลมาก  เหมือนพืชที่หว่านลงในนาดี  ย่อมมีผลรุ่งเรืองแผ่

ไพศาล  แต่สิ่งที่กระทำในคนผู้ลามกนอกนี้  แม้จะมาก  ก็ย่อมพินาศ

ฉิบหายเหมือนพืชที่หว่านลงในไฟฉะนั้น.  สมจริงดังที่ท่านกล่าวไว้ว่า

              พืชย่อมมอดไหม้  ไม่งอกงามในไฟ

       แม้ฉันใด  กิจที่ทำในอสัตบุรุษ  ย่อมพินาศ

       ไม่งอกงาม  ฉันนั้น  ส่วนที่ทำในชนผู้มีความ

       กตัญญู  มีศีล  มีความประพฤติเยี่ยงอารยชน

       ย่อมไม่ฉิบหายไปในที่นั้นๆ  เหมือนพืชที่

       หว่านในนาดีฉะนั้น.

       บรรดาบทเหล่านั้น  บทว่า  ปุพฺเพ  กตกลฺยาโณ  ได้แก่

ผู้กระทำอุปการะไว้ก่อน.  บทว่า  อกา  แปลว่า  ได้กระทำแล้ว

อธิบายว่า  ผู้นี้ได้กระทำ  ชื่อว่าสิ่งที่ทำได้แสนยากในโลก.  บทว่า

ปจฺฉา  กยิรา  ความว่า  บุคคลนั้นจะได้กระทำหรือไม่ได้กระทำคุณ

ความดีอะไรๆ  อื่นในภายหลัง  เพราะคุณความดีที่ทำไว้ก่อนนั้นนั่น

แหละ.  บทว่า  อจฺจนฺตํ  ปูชนารโห  ความว่า  ย่อมควรสักการะ

สัมมานะทุกอย่าง.

       ก็พวกอำมาตย์และราชโอรสได้ฟังดังนี้แล้ว  ก็มิได้กล่าวอะไรๆ

อีกแล.

       พระศาสดาครั้นทรงนำพระธรรมเทศนานี้มาแล้ว  จึงทรง

ประชุมชาดกว่า  บุรุษชาวบ้านปัจจันตคามในครั้งนั้น  ได้เป็นพระ-

อานนท์ในบัดนี้  ส่วนพระเจ้าพาราณสีในครั้งนั้น  คือเราตถาคต

ฉะนี้แล.

                           จบ  อรรถกถามหาอัสสาโรหชาดกที่