พระศาสดาเมื่อประทับอยู่    บุพพาราม  ทรงปรารภภิกษุ

ทั้งหลายผู้มักเล่นเป็นปกติ  จึงตรัสเรื่องนี้  มีคำเริ่มต้นว่า  ปุเร  ตุวํ

ดังนี้.

       ได้ยินว่า  ภิกษุเหล่านั้น  เมื่อพระศาสดาประทับอยู่ในปราสาท

ชั้นบน  ต่างพากันนั่งพูดถึงเรื่องที่ตนได้เห็นและได้ยินมาเป็นต้น  ทำ

ความตลกคนองและหัวเราะเฮฮาอยู่ในปราสาทชั้นล่าง.  พระศาสดา

ตรัสเรียกพระมหาโมคคัลลานะมาแล้วตรัสว่า  เธอจงทำภิกษุเหล่านี้

ให้สังเวชสลดใจ.  พระเถระเหาะขึ้นไปในอากาศ  แล้วเอาปลายนิ้ว

หัวแม่เท้ากระทุ้งยอดปราสาท  ทำให้ปราสาทสั่นสะเทือนจนถึงน้ำรอง

แผ่นดินเป็นที่สุด.  ภิกษุเหล่านั้นกลัวมรณภัย  จึงได้ออกไปยืนข้าง

นอก.  ความที่ภิกษุเหล่านั้นเป็นผู้มีปกติเล่นคนองนั้น  เกิดปรากฎ

ไปในหมู่ภิกษุทั้งหลาย.  อยู่มาวันหนึ่ง  ภิกษุทั้งหลายนั่งสนทนากัน

ในโรงธรรมสภาว่า  อาวุโสทั้งหลาย  ภิกษุพวกหนึ่งบวชในพระศาสนา

อันเป็นเครื่องนำออกจากทุกข์เห็นปานนี้  ยังพากันเที่ยวเล่นคนอง

เป็นปกติอยู่  ไม่กระทำวิปัสสนากรรมฐานว่า  อนิจจัง  ทุกขัง  อนัตตา.

พระศาสดาเสด็จมาแล้วตรัสถามว่า  ภิกษุทั้งหลาย  บัดนี้  พวกเธอ

นั่งสนทนากันด้วยเรื่องอะไร  เมื่อภิกษุทั้งหลายกราบทูลให้ทรงทราบ

แล้วจึงตรัสว่า  ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย   มิใช่บัดนี้เท่านั้น  แม้ในกาลก่อน

ภิกษุเหล่านี้ก็เป็นผู้เล่นคนองเป็นปกติเหมือนกัน  แล้วทรงนำเอาเรื่อง

ในอดีตมาสาธก  ดังต่อไปนี้

       ในอดีตกาล  เมื่อพระเจ้าพรหมทัตครองราชสมบัติอยู่ใน

พระนครพาราณสี  พระโพธิสัตว์บังเกิดในตระกูลพราหมณ์ในหมู่บ้าน

แห่งหนึ่ง.  ชนทั้งหลายจำกุมารนั้นได้โดยชื่อว่า  โกมาริยบุตร.  ในเวลา

ต่อมา  โกมาริยบุตรนั้น  ออกบวชเป็นฤาษีอยู่ในหิมวันตประเทศ.

ครั้งนั้น  มีดาบสผู้มักเล่นคนองพวกอื่น  สร้างอาศรมอยู่ในหิมวันต-

ประเทศ.  กิจแม้เพียงกสิณบริกรรม  ก็ไม่มีแก่ดาบสนั้น.  ดาบส

เหล่านั้นนำผลาผลไม้น้อยใหญ่มาจากป่าเคี้ยวกินหัวเราะร่าเริง  ยังกาล

เวลาให้ล่วงเลยไปด้วยการเล่นมีประการต่างๆ.  ในสำนักของดาบส

เหล่านั้น  มีลิงอยู่ตัวหนึ่ง.  แม้ลิงตัวนั้นก็มักเล่นคนองเหมือนกัน

กระทำหน้าตาวิการต่างๆเป็นต้น  แสดงการเล่นคนองมีอย่างต่างๆ

อย่างดาบสทั้งหลาย.  ดาบสเหล่านั้นอยู่ในที่นั้นนานแล้ว  จึงได้พากัน

ไปยังถิ่นมนุษย์  เพื่อต้องการเสพรสเค็มและรสเปรี้ยว.  จำเดิมแต่

ดาบสเหล่านั้นไปแล้ว  พระโพธิสัตว์จึงมายังที่นั้นแล้วสำเร็จการอยู่

อาศัย.  ลิงจึงแสดงการเล่นคนองแม้แก่พระโพธิสัตว์  เหมือนดังแสดง

แก่ดาบสเหล่านั้น.  พระโพธิสัตว์จึงดีดนิ้วมือแล้วให้โอวาทแก่ลิงนั้น

ว่า  ธรรมดาผู้อยู่ในสำนักของบรรพชิตผู้มีการศึกษาดีแล้ว  ควรจะถึง

พร้อมด้วยอาจารมารยาท  สำรวมระวังกายและวาจา  ประกอบขวน-

ขวายในฌาน.  จำเดิมแต่นั้น   ลิงตัวนั้นได้เป็นสัตว์มีศีลถึงพร้อมด้วย

อาจารมารยาท.  พระโพธิสัตว์ได้จากแม้ที่นั้นไปอยู่ในที่อื่น.  ลำดับนั้น

ดาบสขี้เล่นเหล่านั้นเสพรสเค็มและเปรี้ยวแล้ว  ได้ไปยังสถานที่

นั้น.  ลิงไม่แสดงการเล่นคนองแก่ดาบสเหล่านั้น  เหมือนอย่าง

เมื่อก่อน.  ลำดับนั้น  ดาบสเหล่านั้นเมื่อจะถามลิงนั้นว่า  ดูก่อนอาวุโส

เมื่อก่อนเจ้าได้กระทำการเล่นคนองเบื้องหน้าพวกเรา  เพราะเหตุไร

บัดนี้  เจ้าจึงไม่กระทำ  จึงกล่าวคาถาที่    ว่า

              เมื่อก่อนเจ้าเคยโลดเต้นเล่นคนองใน

       อาศรมสำนักเราทั้งหลายผู้มีปกติเล่นคนอง.

       เฮ้ยเจ้าลิง  เจ้าจงกระทำกิริยาของลิง  บัดนี้

       เราไม่ชื่นชมยินดีศีลและพรตอันนั้นของเจ้า.

       บรรดาบทเหล่านั้น  บทว่า  สีลวตํ  สกาเส  ได้แก่  ใน

อาศรมอันเป็นสำนักของเราทั้งหลายผู้คนองเล่นเป็นปกติ.  บทว่า

โอกฺกนฺทิกํ  ได้แก่  โลดเล่นคนอง  ดังมฤคชาติ.  บทว่า  กโรหเร

แปลว่า  จงกระทำ.  ศัพท์ว่า  เร  เป็น  อาลปนะ  คำร้องเรียก.

บทว่า  มกฺกฏิยานิ  ได้แก่  ทำปากให้แปลกๆ  ไปเป็นต้น  กล่าวคือ

เล่นซนทางปาก.  บทว่า    ตํ  มยํ  สีลวตํ  รมาม  ความว่า

ศีลวัตรคือการเล่นคนองของเจ้าในกาลก่อนนั้น  บัดนี้  พวกเราไม่

ยินดี  คือไม่ยินดียิ่ง  แม้เจ้าก็ไม่ทำให้พวกเรายินดี   มีเหตุอะไรหนอ.

ลิงได้ฟังดังนั้น  จึงกล่าวคาถาที่    ว่า

              ความหมดจดด้วยฌานชั้นสูง  เราได้ฟัง

       มาจากอาจารย์ชื่อโกมาริยบุตร  ผู้เป็นพหูสูตร

       บัดนี้  ท่านอย่าเข้าใจเราว่าเหมือนแต่ก่อน

       ดูก่อนท่านผู้มีอายุ  เราประกอบด้วยฌานอยู่.

       บรรดาบทเหล่านั้น  บทว่า  มยฺหํ  เป็นจตุตถีวิบัติใช้ใน

อรรถของตติยาวิภัติ.  บทว่า  วิสุทฺธิ  ได้แก่  ความหมดจดด้วยฌาน

บทว่า  พหุสฺสุตสฺส  ได้แก่  ชื่อว่าผู้เป็นพหูสูตร  เพราะได้ฟังและ

เพราะได้รู้แจ้งกสิณบริกรรมและสมาบัติ  ๘.  บทว่า  ตุวํ  นี้

ลิงเมื่อจะเรียกดาบสรูปหนึ่งในบรรดาดาบสเหล่านั้น  จึงแสดงว่า  บัดนี้

ท่านอย่าได้จำหมายข้าพเจ้า  เหมือนเมื่อก่อน  ข้าพเจ้าไม่เป็นเหมือน

เมื่อกาลก่อน  ข้าพเจ้าได้อาจารย์แล้ว.

       ดาบสได้ฟังดังนั้น  จึงกล่าวคาถาที่    ว่า

              เจ้าลิงเอ๋ย  ถ้าแม้บุคคลจะพึงหว่าน

       พืชลงบนแผ่นหิน  ถึงฝนจะตกลงมา  พืชนั้น

       ก็งอกงามขึ้นไม่ได้แน่  ความหมดจดด้วย

       ฌานชั้นสูงนั้น  ถึงเจ้าจะได้ฟังมา  เจ้าก็ยัง

       เป็นผู้ไกลจากภูมิฌานมากนัก.

       ความของคาถานั้นว่า  ถ้าแม้บุคคลจะพึงหว่านพืช    ชนิด

ลงบนหลังแผ่นหิน  และฝนจะตกลงมาอย่างสม่ำเสมอ  พืชนั้นจะ

งอกขึ้นไม่ได้  เพราะแผ่นหินนั้นไม่ใช่เนื้อนา  ความหมดจดแห่ง

ฌานชั้นสูงที่เจ้าได้ฟังมา  ก็ฉันนั้นเหมือนกัน  ดูก่อนเจ้าลิง  ก็เพราะ

เจ้าเกิดในกำเนิดดิรัจฉาน  เจ้าจึงยังห่างไกลจากภูมิฌานนัก  คือเจ้า

ไม่อาจทำฌานให้บังเกิดได้  ดาบสเหล่านั้นติเตียนลิง  ด้วยประการ

ดังนี้.

       พระศาสดาครั้นทรงนำพระธรรมเทศนานี้มาแล้ว  จึงทรง

ประชุมชาดกว่า  พวกดาบสผู้เล่นคนองเป็นปกติในกาลนั้น  ได้เป็น

ภิกษุเหล่านี้  ส่วนโกมาริยบุตรคือเราตถาคต  ฉะนี้แล.

                           จบอรรถกถาโกมาริยปุตตชาดกที่