พระศาสดาเมื่อประทับอยู่    พระเชตวันมหาวิหาร   ทรงปรารภ

ภิกษุรูปหนึ่ง  จึงตรัสเรื่องนี้มีคำเริ่มต้นว่า  อุทุมฺพรา  นิเจ * ปกฺกา  ดังนี้

       ได้ยินว่า  ภิกษุนั้นสร้างวิหารอยู่ในปัจจันตคามแห่งหนึ่ง.  วิหาร

น่ารื่นรมย์ตั้งอยู่เหนือแผ่นหินดาด.  สถานที่ปัดกวาดคล้ายปะรำ  มีน้ำ

ใช้ผาสกสำราญ.  โคจรคามก็ไม่ไกล.  คนทั้งหลายรักใคร่พากันถวาย

*  บาลี  เป็น  จิเม

ภิกษา.  ครั้งนั้น  ภิกษุรูปหนึ่งเที่ยวจาริกไปถึงวิหารนั้น.  ภิกษุผู้เป็น

เจ้าถิ่นกระทำอาคันตุกวัตรแก่ภิกษุนั้น  ในวันรุ่งขึ้น  ได้พาภิกษุนั้นไป

บิณฑบาตยังบ้าน.  คนทั้งหลายถวายภิกษาอันประณีตแก่ภิกษุนั้น  แล้ว

นิมนต์ฉันในวันพรุ่งนี้อีก.  อาคันตุกะภิกษุฉันอยู่  ๒-๓  วัน  จึงคิดว่า

เราจักลวงภิกษุเจ้าถิ่นนั้นด้วยอุบายอย่างหนึ่งฉุดคร่าออกไป  แล้วยึด

วิหารนี้.  ลำดับนั้น  ภิกษุอาคันตุกะได้ถามภิกษุเจ้าถิ่นผู้มายังที่บำรุง

พระเถระว่า  อาวุโส  ท่านไม่ได้ทำการอุปัฏฐากพระพุทธเจ้าหรือ  ? 

ภิกษุเจ้าถิ่นกล่าวว่า  ชื่อว่าคนผู้จะปฏิบัติดูแลวิหารนี้  ไม่มี  ด้วยเหตุนั้น

กระผมจึงไม่เคยไป.  ภิกษุอาคันตุกะกล่าวว่า  ผมจักปฏิบัติดูแลวิหารนี้

จนกว่าท่านไปเฝ้าพระพุทธเจ้าแล้วกลับมา.  ภิกษุเจ้าถิ่นกล่าวว่า  ดีแล้ว

ท่านผู้เจริญ  แล้วกล่าวกะคนทั้งหลายว่า  ท่านทั้งหลายจงอย่าประมาท

พระเถระจนกว่าเราจะกลับมา  แล้วหลีกไป.  จำเดิมแต่นั้นมา  อาคัน-

ตุกะภิกษุก็กล่าวว่า  ภิกษุเจ้าถิ่นนั้นมีโทษนี้และนี้  แล้วยุยงคนทั้งหลาย

เหล่านั้นให้แตกร้าวกัน.  ฝ่ายภิกษุเจ้าถิ่นถวายบังคมพระศาสดาแล้ว

กลับมา.  ลำดับนั้น  ภิกษุอาคันตุกะนั้น  ไม่ให้ภิกษุเจ้าถิ่นเข้าไป.  ภิกษุ

เจ้าถิ่นนั้นจึงอยู่ในที่แห่งหนึ่ง  วันรุ่งขึ้น  เข้าไปบิณฑบาตยังบ้าน.

ฝ่ายคนทั้งหลายก็ไม่กระทำแม้มาตรว่าสามีจิกรรม.  ภิกษุเจ้าถิ่นนั้น

เดือดร้อน  จึงไปยังพระเชตวันวิหารอีก  แล้วบอกเหตุการณ์อันนั้น

แก่ภิกษุทั้งหลาย.  ภิกษุทั้งหลายจึงนั่งสนทนากันในโรงธรรมสภาว่า

อาวุโสทั้งหลาย  ได้ยินว่าภิกษุโน้นคร่าภิกษุโน้นออกจากวิหาร  แล้ว

ตนเองอยู่ในวิหารนั้น.  พระศาสดาเสด็จมาแล้วตรัสถามว่า  ภิกษุ

ทั้งหลาย  บัดนี้  พวกเธอนั่งสนทนากันด้วยเรื่องอะไร  เมื่อภิกษุทั้งหลาย

กราบทูลให้ทรงทราบแล้ว  จึงตรัสว่า  ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย  มิใช่ใน

บัดนี้เท่านั้น  แม้ในกาลก่อน  อาคันตุกะภิกษุนั้นก็ได้ฉุดคร่าภิกษุนี้ออก

จากที่อยู่มาแล้วเหมือนกัน  แล้วทรงนำเอาเรื่องในอดีตมาสาธก  ดัง

ต่อไปนี้  :-

       ในอดีตกาล  เมื่อพระเจ้าพรหมทัตครองราชสมบัติอยู่ในพระ-

นครพาราณสี  พระโพธิสัตว์บังเกิดเป็นรุกขเทวดาอยู่ในป่า.  ในฤดูฝน

ฝนตกในป่านั้น  ตลอด    สัปดาห์.  ครั้งนั้นมีลิงเล็กหน้าแดงตัวหนึ่ง

อยู่ในซอกเขาหินแห่งหนึ่งซึ่งไม่เปียกฝน  วันหนึ่ง  นั่งอยู่ในที่ที่ไม่

เปียก    ที่ประตูซอกเขา.  ลำดับนั้น  ลิงใหญ่หน้าดำตัวหนึ่ง  เปียก

ฝน  ถูกความหนาวเบียดเบียน  เที่ยวมา  เห็นลิงเล็กนั้นนั่งอยู่อย่างนั้น

จึงคิดว่า  เราจักนำเจ้าลิงนี้ออกไปด้วยอุบาย  แล้วจักอยู่ในที่นี้เสียเอง

จึงทำให้ท้องย้อยยานแสดงอาการอิ่มเหลือล้น  ไปยืนอยู่ข้างหน้าลิงเล็ก

นั้น  แล้วกล่าวคาถาที่หนึ่งว่า

              ต้นมะเดื่อ  ต้นไทร  และต้นมะขวิดนี้

       มีผลสุกแล้ว  เชิญท่านออกมากินเถิด  จะ

       ยอมตายเพราะความหิวทำไม.

       บรรดาบทเหล่านั้น  บทว่า  กปิตฺถนา  ได้แก่  ผลไม้เลียบ.

บทว่า  เอหิ  นิกฺขมฺม  ความว่า  ต้นมะเดื่อเป็นต้นเหล่านี้  วิจิตร

แล้วเพราะเต็มด้วยผล  แม้เราก็เคี้ยวกินจนอิ่มแล้วจึงมา  แม้ท่านก็

จงไปกินเสีย.

       ฝ่ายลิงเล็กนั้น  ได้ฟังคำของลิงใหญ่นั้นก็เชื่อ  ประสงค์จะ

เคี้ยวกินผลาผลทั้งหลายจึงได้ออกแล้วเที่ยวไปในที่นั้นๆ  เมื่อไม่ได้

อะไรๆ  จึงกลับมาอีก  เห็นลิงใหญ่นั้นเข้าไปนั่งในซอกเขาของตน

คิดว่า  จักลวงลิงใหญ่นั้น  จึงยืนอยู่ข้างหน้าลิงใหญ่นั้นแล้วกล่าวคาถา

ที่สองว่า

              ผู้ใดประพฤติอ่อนน้อมต่อผู้ใหญ่  ผู้นั้น

       ชื่อว่าเป็นผู้อิ่มแล้ว  เหมือนข้าพเจ้าเคี้ยวกิน

       ผลไม้สุกเป็นผู้อิ่มแล้วในวันนี้ฉะนั้น.

       บรรดาบทเหล่านั้น  บทว่า  ทุมปกฺกานิ  มาสิโต  ความว่า

ข้าพเจ้าเคี้ยวกินผลไม้มีผลมะเดื่อเป็นต้นเป็นผู้อิ่มแล้ว.

       ลิงใหญ่ได้ฟังดังนั้น  จึงกล่าวคาถาที่สามว่า

              ลิงเกิดในป่า  พึงหลอกลวงลิงที่เกิด

       ในป่า  เพราะเหตุใด  แม้ลิงหนุ่มก็ไม่พึงเชื่อ

       เหตุอันนั้น  ลิงที่แก่เฒ่าชราจะไม่เชื่อเลย.

       เนื้อความแห่งคาถานั้นว่า  ลิงผู้เกิดในป่า  พึงกระทำการหลอก

ลวงลิงผู้เกิดในป่า  เพราะเหตุใด  ลิงแม้หนุ่มเช่นท่าน  ก็จะไม่พึง

เชื่อ  เพราะเหตุอันนั้น  ลิงแก่ชรา  คือ  ลิงผู้เฒ่าแม้เช่นกับเรา  จะ

ไม่พึงเชื่อเลย  คือจะไม่เชื่อต่อลิงผู้หนุ่มเช่นกับท่าน  ผู้กล่าวตั้ง ๗  ครั้ง

ในหิมวันตประเทศ  มีผลาผลทั้งปวงอันเปียกชุ่มด้วยน้ำฝนหล่นลง

แล้วในสถานที่นี้  ไม่มีสำหรับท่านอีกต่อไป  ท่านจงไปเสียเถิด.  ลิงเล็ก

ตัวนั้น  จึงหลีกไปจากที่นั้นเอง.

       พระศาสดา  ครั้นทรงนำพระธรรมเทศนานี้มาแล้ว  จึงทรง

ประชุมชาดกว่า  ลิงเล็กในครั้งนั้น  ได้เป็นภิกษุผู้เป็นเจ้าถิ่นในบัดนี้

ลิงดำใหญ่ในครั้งนั้น  ได้เป็นอาคันตุกะภิกษุในบัดนี้  ส่วนรุกขเทวดา

คือ  เราตถาคต  ฉะนี้แล.

                           จบ  อรรถกถาอุทุมพรชาดกที่