อรรถกถากามวิลาปชาดกที่ 

       พระศาสดาเมื่อประทับอยู่    พระวิหารเชตวัน  ทรงปรารภ

การประเล้าประโลมภรรยาเก่า  จึงตรัสเรื่องนี้  มีคำเริ่มต้นว่า  อุจฺเจ

สกุเณ  เฑมาน  ดังนี้. 

       เรื่องปัจจุบันได้กล่าวไว้แล้วในปุปผรัตตชาดก  เรื่องอดีตจักมี

แจ้งในอินทรียชาดก.

       แต่ในที่นี้  ราชบุรุษทั้งหลายทำให้บุรุษนั้นเร่าร้อน  เสียบ

ประจานไว้บนหลาวทั้งเป็นๆ.  บุรุษนั้นนั่งอยู่บนหลาวนั้น  เห็น

กาบินมาทางอากาศ  ไม่อนาทรถึงเวทนาทั้งที่แรงกล้าเห็นปานนั้น

เมื่อจะเรียกกานั้นมาเพื่อจะส่งข่าวสารถึงภรรยาผู้เป็นที่รัก  จึงได้กล่าว

คาถาเหล่านี้ว่า  :-

              ดูก่อนนกผู้มีปีกเป็นยาน  บินทะยาน

       ไปในเวหา  บินไปในอากาศอันสูง  ท่านช่วย

       บอกภรรยาของข้าพเจ้าผู้มีลำขาเสมอด้วยต้น

       กล้วยให้ทราบด้วย  ว่าข้าพเจ้าถูกเสียบอยู่บน

       หลาว  ภรรยาที่รักของข้าพเจ้านั้นเมื่อไม่ทราบ

       ข่าวคราวอันนี้  จักทำการรอคอยข้าพเจ้าตลอด

       กาลนาน.

              ภรรยาของข้าพเจ้านั้นยังไม่รู้ว่าหลาว

       และหอกนี้เขาวางไว้  เพื่อเสียบประจาน

       นางเป็นคนดุร้าย  ก็จะโกรธข้าพเจ้า  ความ

       โกรธแห่งภรรยาของข้าพเจ้านั้นจะทำข้าพเจ้า

       ให้เดือดร้อนไปด้วย  แต่หลาวนี้มิได้ทำให้

       ข้าพเจ้าเดือดร้อนในที่นี้เลย.

              หอกและเกราะนี้ข้าพเจ้าเก็บไว้ที่หัวนอน

       อนึ่ง  แหวนก้อยที่ทำด้วยทองคำเนื้อสุก  และ

       ผ้าแคว้นกาสีเนื้ออ่อน  ข้าพเจ้าเก็บไว้ที่หัว

       นอน  ขอภรรยาที่รักของข้าพเจ้า  ผู้มีความ

       ต้องการทรัพย์  จงยินดีด้วยทรัพย์นี้เถิด.

       บรรดาบทเหล่านั้น  บทว่า  เฑมาน  แปลว่า  บิน  คือไป.

บุรุษคนนั้นเรียกกาตัวนั้นแหละว่า  ปตฺตยาน  ผู้มีปีกเป็นยาน.  เรียก

ว่า  วิหงฺคม  ผู้ไปในเวหา  ก็เหมือนกัน.  จริงอยู่  กานั้น  ชื่อว่า

มีปีกเป็นยาน  เพราะกระทำการไปด้วยปีกทั้งหลาย  ชื่อว่าผู้ไปใน

เวหา  เพราะไปทางอากาศ.  บทว่า  วชฺชาสิ  แปลว่า  ท่านพึงบอก.

บทว่า  วามูรุํ   แปลว่า  ผู้มีขาอ่อนเสมอลำต้นกล้วย.  ท่านพึงบอกว่า

ข้าพเจ้านั่นอยู่บนหลาว.  บทว่า  จิรํ  โข  สา  กริสฺสติ  ความว่า

นางเมื่อไม่ทราบข่าวคราวนี้  จักกระทำการรอคอยการมาของข้าพเจ้า

ในเวลานาน  คือ  นางจักคิดอย่างนี้ว่า  สามีอันเป็นที่รักไปนานแล้ว

ยังไม่มา.  ด้วยบทว่า  อสิ  สตฺติ  แปลว่า  ดาบและหอก  นี้

บุรุษนั้นกล่าวหมายเอาเฉพาะหอกเท่านั้น  เพราะมันเสมอด้วยดาบ

และหอก  จริงอยู่หอกนั้น  เขาวางคือปักไว้  เพื่อเสียบประจานบุรุษ

นั้น.  บทว่า  จณฺฑี  ได้แก่  เป็นผู้มักโกรธ.  บทว่า  กาหตี  โกธํ

ความว่า  นางจักกระทำความโกรธต่อเราว่า  มัวชักช้าอยู่.  บทว่า  ตํ

เม  ตปฺปติ  ความว่า  ความโกรธของนางนั้น  ย่อมทำเราให้เดือด

ร้อน.  ด้วยบทว่า  โน  อิธ  นี้  บุรุษนั้นแสดงว่า  ก็หลาวนี้ย่อมไม่

ทำเราให้เดือดร้อนในที่นี้เลย.  ด้วยคำเป็นต้นว่า  นี้หอกและเกราะ

ดังนี้  บุรุษผู้นั้นบอกถึงสิ่งของของตนซึ่งวางไว้บนหัวนอนในเรือน.

บรรดาบทเหล่านั้น  บทว่า  อุปฺปลสนฺนาโห  ได้แก่  หอกและเกราะ

อธิบายว่า  หอกชนิดหนึ่งคล้ายดอกบัวและเกราะ.  บทว่า  นิกฺขญฺจ

ได้แก่  แหวนก้อยที่ทำด้วยทองเนื้อ  ๕.  ด้วยบทว่า  กาสิกญฺจ  มุทุํ

วตฺถํ  นี้  บุรุษนั้นกล่าว  หมายเอาผ้าสาฎกคู่หนึ่ง  ซึ่งทำจากแคว้น

กาสีมีเนื้ออ่อนนุ่ม.  ได้ยินว่า  สิ่งของมีประมาณเท่านี้  ที่บุรุษนั้นเก็บ

ไว้บนหัวนอน.  บทว่า  ตปฺเปตุ  ธนกามิยา  ความว่า  ภรรยาผู้เป็น

ที่รักของเรานั้นมีความต้องการทรัพย์  จงถือเอาทรัพย์ทั้งหมดนี้  จง

อิ่มเอิบ  บริบูรณ์  คือจงยินดีด้วยทรัพย์นี้.

       บุรุษนั้นคร่ำครวญอยู่อย่างนี้นั่นแล  ก็ตายไปบังเกิดในนรก

       พระศาสดาครั้นทรงนำพระธรรมเทศนานี้มาแล้ว  จึงทรงประ-

กาศสัจจะทั้งหลายแล้วทรงประชุมชาดก.  ในเวลาจบสัจจะ  ภิกษุผู้

กระสันจะสึก  ดำรงอยู่ในโสดาปัตติผล.  ภรรยาในครั้งนั้น  ได้มาเป็น

ภรรยาในครั้งนี้  เทวบุตรผู้เห็นเหตุการณ์นั้น  คือเราตถาคต  ฉะนี้แล.

                           จบ  อรรถกถากามวิลาปชาดกที่