พระศาสดาเมื่อประทับอยู่ ณ
พระเชตวันวิการ ทรง
ปรารภคนทั้งสอง
คือพระเทวทัตกับพระโกกาลิกะนั้นนั่นแหละ จึง
ตรัสเรื่องนี้ มีคำเริ่มต้นว่า อุสภสฺเสว เต ขนฺโธ ดังนี้. เรื่องอันเป็น
ปัจจุบันเหมือนกับเรื่องแรกนั่นเอง ส่วนเรื่องในอดีตมีดังต่อไปนี้.
ในอดีตกาล
เมื่อพระเจ้าพรหมทัตครองราชสมบัติในพระนคร
พาราณสี
พระโพธิสัตว์บังเกิดเป็นรุกขเทวดาอยู่ที่ต้นละหุ่ง ในบริเวณ
บ้านแห่งหนึ่ง. ในกาลนั้น ชาวบ้านลากโคแก่ซึ่งตายในบ้านนั้น ไป
ทิ้งที่ป่าละหุ่งใกล้ประตูบ้าน. มีสุนัขจิ้งจอกตัวหนึ่งมากินเนื้อของโค
แก่ตัวนั้น.
มีกาตัวหนึ่งบินมาจับอยู่ที่ต้นละหุ่งเห็นดังนั้นจึงคิดว่า ถ้า
กระไรเรากล่าวคุณกถาอันไม่มีจริงของสุนัขจิ้งจอกตัวนี้แล้วจะได้กิน
เนื้อ จึงกล่าวคาถาที่หนึ่งว่า :-
ข้าแต่พระยาเนื้อ ร่างกายของท่านเหมือน
ร่างกายโคอุสุภราช ความองอาจของท่าน
เหมือนดังราชสีห์ ข้าพเจ้าขอนอบน้อม
แก่ท่าน ทำอย่างไรข้าพเจ้าจึงจักได้อาหารสัก
หน่อย.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า นโม
ตฺยตฺถุ อันเป็น นโม เต อตฺถุ
แปลว่า ขอนอบน้อมแด่ท่าน.
สุนัขจิ้งจอกได้ฟังดังนั้น จึงกล่าวคาถาที่สองว่า :-
กุลบุตรย่อมรู้จักสรรเสริญกุลบุตร ดูก่อน
กาผู้มีสร้อยคองามดุจนกยูง เชิญท่านลงจาก
ต้นละหุ่งมากินเนื้อให้สบายเถิด.
บรรดาบทเหล่านั้น ด้วยบทว่า อิโต
ปริยาท นี้ สุนัขจิ้งจอก
กล่าวว่า ท่านลงจากต้นละหุ่ง คือมาจากต้นละหุ่งนี้จนถึงเรา แล้วจง
กินเนื้อ
รุกขเทวดาเห็นกิริยาของสัตว์ทั้งสองนั้นจึงกล่าวคาถาที่สามว่า :-
บรรดามฤคชาติทั้งหลาย สุนัขจิ้งจอก
เป็นเลวที่สุด บรรดาปักษีทั้งหลาย กาเป็น
เลวที่สุด บรรดารุกขชาติทั้งหลาย ต้นละหุ่ง
เป็นเลวที่สุด ที่สุดทั้ง ๓ ประเภทมาสมาคม
กันแล้ว.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า อนฺโต
แปลว่า เลว คือ ลามก.
พระศาสดาครั้นทรงนำพระธรรมเทศนานี้มาแล้ว จึงทรง
ประชุมชาดกว่า สุนัขจิ้งจอกในกาลนั้น ได้เป็นพระเทวทัต กาใน
กาลนั้น ได้เป็นพระโกกาลิกะ ส่วนรุกขเทวดา คือเราตถาคต
ฉะนี้แล.
จบ อรรถกถาอันตชาดกที่ ๕