พระศาสดาเมื่อประทับอยู่    พระวิหารเชตวัน  ทรงปรารภ

ภัตข้าวสาลี  เจือด้วยเนยใสใหม่ในรสปลาตะเพียนแดง  ที่พระ-

สารีบุตรเถระถวายแก่พระพิมพาเทวี  จึงตรัสเรื่องนี้  มีคำเริ่มต้นว่า

พาราณสฺสํ มหาราช  ดังนี้.  เรื่องนี้เป็นเหมือนเรื่องในอัพภันตรชาดก

ซึ่งได้กล่าวไว้ในหนหลังนั่นแล.

       ก็แม้ในกาลนั้น  โรคลมในท้องของพระเถรีกำเริบขึ้น.  พระ-

ราหุลภัทระจึงบอกแก่พระเถระ.  พระเถระให้พระราหุลภัทระนั่งใน

โรงฉันแล้วไปยังพระราชนิเวศน์ของพระเจ้าโกศลราช  นำเอาภัตข้าว-

สาลีเจือด้วยเนยใสใหม่ในรสปลาตะเพียนแดง  แล้วได้ให้แก่พระ-

ราหุลภัทระนั้น.  พระราหุลภัทระได้นำไปถวายพระเถรีผู้เป็นพระชนนี.

พอพระเถรีนั้นเสวยเท่านั้น  โรคลมในท้องก็สงบระงับ.  พระราชา

ทรงส่งพวกราชบุรุษไปให้สอดแนมดู  ตั้งแต่นั้นมาได้ถวายภัตเห็น

ปานนั้นแก่พระเถรี.  อยู่มาวันหนึ่ง  ภิกษุทั้งหลายนั่งสนทนากันใน

โรงธรรมสภาว่า  ดูก่อนอาวุโสทั้งหลาย  พระธรรมเสนาบดี  ยัง

พระเถรีให้อิ่มหนำด้วยโภชนะเห็นปานนี้.  พระศาสดาเสด็จมาแล้ว

ตรัสถามว่า  ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย  บัดนี้  พวกเธอนั่งสนทนากันด้วย

เรื่องอะไร  เมื่อภิกษุทั้งหลายกราบทูลให้ทรงทราบแล้ว  จึงตรัสว่า

ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย  สารีบุตรให้สิ่งที่มารดาของราหุลปรารถนา

ในบัดนี้เท่านั้นก็หามิได้  แม้ในกาลก่อนก็ได้ให้แล้วเหมือนกัน  แล้ว

ทรงนำเอาเรื่องในอดีตมาสาธก  ดังต่อไปนี้  :-

       ในอดีตกาล  เมื่อพระเจ้าพรหมทัตครองราชสมบัติอยู่ใน

พระนครพาราณสี  พระโพธิสัตว์บังเกิดในกำเนิดกา  พอเจริญวัย  ได้

เป็นหัวหน้ากาแปดหมื่นตัว  ได้เป็นพระยาชื่อว่าสุปัตต์  ส่วนอัครมเหสี

ของพระยากาสุปัตต์  ได้เป็นนางกาชื่อว่าสุปัสสา.  เสนาบดี  ชื่อว่า

สุมุขะ  พระยากาสุปัตต์นั้นแวดล้อมด้วยกาแปดหมื่นตัว  อาศัยเมือง

พาราณสีอยู่  วันหนึ่ง  พระยากาสุปัตต์พานางกาสุปัสสาไปหาอาหาร

ได้บินไปทางเหนือโรงครัวของพระเจ้าพาราณสี.  พ่อครัวปรุงโภชนะ

อันมีปลาและเนื้อชนิดต่างๆ  เป็นเครื่องประกอบ  เมื่อพระราชาเสด็จ

แล้ว  เปิดภาชนะไว้หน่อยหนึ่ง  ให้ไอร้อนระเหยออกไปอยู่.  นางกา-

สุปัสสาสูดกลิ่นปลาและเนื้อแล้ว  ประสงค์จะกินโภชนะของพระราชา

ตลอดวันนั้นไม่พูดเลย  ในวันที่สองอันพระยากาสุปัตต์กล่าวว่า  มาเถิด

นางผู้เจริญ  พวกเราจักไปหากินกัน  จึงกล่าวว่า  ท่านไปเถิด  ดิฉัน

มีการแพ้ท้องอย่างหนึ่ง  เมื่อพระยากาสุปัตต์กล่าวว่า  แพ้ท้องอะไร

นางจึงกล่าวว่า  ดิฉันอยากกินโภชนะของพระเจ้าพาราณสี  แต่ไม่

สามารถจะได้โภชนะนั้น  ข้าแต่ท่านผู้ประเสริฐ  เพราะฉะนั้น

ดิฉันจึงจักสละชีวิต.  พระโพธิสัตว์กำลังนั่งคิดอยู่  พอดีสุมุขเสนาบดี

มาถามว่า  ข้าแต่มหาราช  ท่านไม่สบายใจเพราะอะไร  ?  พระราชา

จึงบอกเนื้อความนั้น.  เสนาบดีจึงทูลให้พระราชาและพระอัครมเหสี

แม้ทั้งสองนั้นเบาใจว่า  ข้าแต่มหาราช  พระองค์อย่าคิดร้อนใจไปเลย

แล้วทูลไปว่า วันนี้ท่านทั้งสองจงอยู่ที่นี้แหละข้าพเจ้าจักไปนำภัต

นั้นมา  แล้วก็หลีกไป.  เสนาบดีนั้นให้พวกกาประชุมกันแล้วบอก

เหตุนั้นให้ทราบแล้วกล่าวว่า  มาเถอะท่านทั้งหลาย  พวกเราจักไป

นำภัตมา  จึงพร้อมกับพวกกาบินเข้าไปยังพระนครพาราณสี  แบ่งกา

เป็นพวกๆ  ไว้ในที่ไม่ไกลโรงครัว  แล้ววางไว้  เพื่อต้องการอารักขา

ในที่นั้นๆ  ส่วนตนเองนั่งจับอยู่บนหลังคาโรงครัวพร้อมกับกานักสู้

รบ    ตัว.  และเมื่อกำลังคอยเวลาที่พ่อครัวจะนำพระกระยาหาร

ไปถวายพระราชา  ได้กล่าวกะกาเหล่านั้นว่า  เมื่อพ่อครัวนำพระกระ-

ยาหารของพระราชามาอยู่  เราจักทำภาชนะให้ตกลงมา  ก็เมื่อภาชนะ

ตกลงไปแล้ว  ชีวิตของเราจะไม่มี  ท่านทั้งหลาย    ตัวจงคาบภัต

ให้เต็มปาก  อีก    ตัว  จงคาบปลาและเนื้อ  แล้วนำไปให้พระยากา

พร้อมทั้งภรรยาบริโภค  เมื่อพระราชาถามว่า  เสนาบดีไปไหน  พวก

ท่านพึงบอกว่า  จักมาข้างหลัง.  ลำดับนั้น  พ่อครัวจัดแจงชนิดโภชนะ

ของพระราชาเสร็จแล้ว  จึงเชิญภาชนะไปด้วยหาบ  เข้าไปยังราช-

ตระกูล.  ในเวลาที่พ่อครัวไปถึงพระลานหลวง  กาเสนาบดีจึงให้สัญญา

แก่กาทั้งหลาย  แล้วตนเองโฉบลงจับที่อกของคนเชิญเครื่องกระหน่ำ

ด้วยกรงเล็บ  เอาจงอยปากเช่นกับปลายหอกจิกปลายจมูกของคนเชิญ

เครื่องนั้น  บินขึ้นเอาปีกและเท้าทั้งสองปิดปากของเขาไว้.  พระราชา

เสด็จดำเนินอยู่บนท้องพระโรง  ทอดพระเนตรไปทางพระแกลใหญ่

ทรงเห็นกิริยาของกานั้น  จึงทรงให้เสียงแก่คนเชิญเครื่องตรัสว่า

แน่ะภัตตาหารกะผู้เจริญ  เจ้าจงทิ้งภาชนะทั้งหลายเสีย  จับเอาเฉพาะ

กาเท่านั้น.  คนเชิญเครื่องนั้นจึงทิ้งภาชนะทั้งหลายแล้วจับกาไว้แน่น.

ฝ่ายพระราชาก็ตรัสว่า  จงมาทางนี้.  ขณะนั้น  กาเหล่านั้นมากินจน

เพียงพอแก่ตน  แล้วได้คาบเอาส่วนที่เหลือไปโดยทำนองที่กล่าวแล้ว

นั่นแหละ.  ลำดับนั้น  พวกกาที่เหลือจึงมากินส่วนที่เหลือ.  ส่วนกา

ทั้ง    ตัวนั้นบินไปให้พระยากาพร้อมทั้งปชาบดีบริโภคภัตนั้น.  ความ

แพ้ท้องของนางกาสุปัสสาก็สงบลง.  คนเชิญเครื่องนำกาเข้าไปถวาย

พระราชา.  ลำดับนั้น  พระราชาได้ตรัสถามกานั้นว่า  กาผู้เจริญ

เจ้าไม่ละอายเราทั้งยังจิกจมูกของคนเชิญเครื่องให้แหว่งด้วย  ทำลาย

ภาชนะภัตตาหารให้แตกด้วย  และไม่รักษาชีวิตของตนด้วย  เพราะ

เหตุไรเจ้าจึงได้กระทำกรรมเห็นปานนี้.  กากราบทูลว่า  ข้าแต่มหาราช

ราชาของพวกข้าพระพุทธเจ้าอาศัยกรุงพาราณสีอยู่  ข้าพระพุทธเจ้า

เป็นเสนาบดีของพระราชานั้น  ภรรยานามว่าสุปัสสาของพระราชานั้น

แพ้ท้อง  ประสงค์จะบริโภคโภชนะของพระองค์  พระราชาจึงบอก

การแพ้ท้องของภรรยานั้นแก่ข้าพระพุทธเจ้า.  ข้าพระพุทธเจ้าจึงสละ

ชีวิตเพื่อพระราชานั้นนั่นแลจึงได้มา  บัดนี้  ข้าพระพุทธเจ้าได้ส่งโภชนะ

ไปให้แก่ภรรยาของพระยากานั้นแล้ว  ความปรารถนาแห่งใจของ

ข้าพระพุทธเจ้าถึงที่สุดแล้ว  ด้วยเหตุนี้ข้าพระพุทธเจ้าจึงได้กระทำ

กรรมปานนี้  เมื่อจะแสดงเนื้อความให้แจ่มแจ้ง  จึงกล่าวคาถาเหล่านี้ว่า  :-

              ข้าแต่มหาราช  พระยากาชื่อสุปัตตะ

       เป็นกาอยู่ในเมืองพาราณสี  อันกาแปดหมื่น

       แวดล้อมแล้ว.

              นางกาสุปัสสาชายาของพระยากานั้น

       แพ้ท้อง  ปรารถนาจะกินพระกระยาหารอัน

       มีค่ามากที่คนหุงต้มแล้วในห้องเครื่อง.

              ข้าพระพุทธเจ้าเป็นทูตของพระยากา

       ทั้งสองนั้น  ถูกนายใช้ให้มาจึงได้เป็นผู้มา

       ในที่นี้  ข้าพระพุทธเจ้าจะกระทำความจงรัก

       ต่อเจ้านาย  จึงได้จิกจมูกของคนเชิญเครื่อง

       ให้เป็นแผล.

       บรรดาบทเหล่านั้น  บทว่า  พาราณสฺสํ  แปลว่า  ในเมือง

พาราณสี.  นิวาสิโก  แปลว่า  ผู้อยู่ประจำ.  บทว่า  ปกฺกํ  ได้แก่

จัดแจงแล้วโดยประการต่างๆ.  อาจารย์บางพวกสาธยายว่า  สิทฺธํ

แปลว่า  สำเร็จแล้ว.  บทว่า  ปจฺจคฺฆํ  ได้แก่  อันร้อนยิ่ง  ไม่ได้ครอบไว้.

อีกอย่างหนึ่ง  ชื่อว่า  ปัจจัคฆะ  เพราะบรรดาชนิดของปลาและเนื้อ

ทั้งหลาย  ปลาและเนื้อที่เขาให้สุกแต่ละอย่างมีค่ามาก  ดังนี้ก็มี.  บทว่า

เตสาหํ  ปหิโต  ทูโต  รญฺโ  จมฺหิ  อิธาคโต  ความว่า

ข้าพระพุทธเจ้าเป็นทูต  คือเป็นผู้กระทำตามคำสั่งของพระยากาแม้

ทั้งสองนั้น  ทั้งพระยากาก็ส่งมาด้วย  เพราะฉะนั้น  จึงได้มาในที่นี้.

บทว่า  ภตฺตุ  อปจิตึ  กุมฺมิ  ความว่า  ข้าพระพุทธเจ้านั้นได้มา

อย่างนี้แล้ว  ย่อมจะกระทำความจงรัก  คือสักการะและสัมมานะแก่

เจ้านายของตน.  บทว่า  นาสายมกรํ  วณํ  ความว่า  ข้าแต่มหาราช

เพราะเหตุนี้  ข้าพระพุทธเจ้าจึงไม่ย่นย่อ  ต่อพระองค์และชีวิตของตน

จึงได้เอาจงอยปากจิกจมูกของคนเชิญเครื่องให้เป็นแผล  เพื่อจะทำให้

ภาชนะภัตตาหารตกไป  ข้าพระพุทธเจ้าได้กระทำจงรักต่อพระราชา

ของข้าพระพุทธเจ้าแล้ว  บัดนี้  ขอพระองค์จงลงพระอาญาแก่

ข้าพระพุทธเจ้า  ตามที่ทรงพระประสงค์เถิด  พระพุทธเจ้าข้า.

       พระราชาได้สดับคำของกานั้นแล้ว  ทรงพระดำริว่า  ก่อนอื่น

พวกเราก็เป็นมนุษย์เหมือนกัน  ให้ยศใหญ่แก่คนผู้เป็นมนุษย์  ก็ยัง

ไม่อาจทำความสบายใจแก่เราได้  แม้จะให้บ้านเป็นต้นก็ยังไม่ได้บุคคล

ผู้จะเสียสละชีวิตให้แก่เรา  สัตว์นี้เป็นกา  ยังสละชีวิตแก่พระราชา

ของตนได้  นับว่าเป็นสัปบุรุษชั้นเยี่ยม  มีเสียงไพเราะ  เป็นธรรมกถึก

จึงทรงเลื่อมใสในคุณทั้งหลายของกานั้น  และทรงบูชากานั้นด้วย

เศวตฉัตร.  กานั้นก็บูชาพระราชานั้นแหละด้วยเศวตฉัตรของตนที่ได้

แล้วกล่าวคุณทั้งหลายของพระโพธิสัตว์.  พระราชารับสั่งให้เรียก

พระโพธิสัตว์นั้นมาแล้วทรงสดับธรรม  ได้ทรงตั้งภัตตาหารตาม

ทำนองเครื่องเสวยของพระองค์  เพื่อพระยากาและประชาบดีแม้ทั้งสอง

นั้น  ทรงให้หุงข้าวสุกจากข้าวสารทนานหนึ่งทุกวัน  เพื่อพวกกาที่เหลือ

นอกนี้  และพระองค์เองทรงตั้งอยู่ในโอวาทของพระโพธิสัตว์  ทรง

ประทานอภัยแก่สัตว์ทั้งปวง  ทรงรักษาศีลห้าเป็นประจำ.  อนึ่ง

โอวาทของพระยากาสุปัตต์  ดำเนินไปอยู่ถึง  เจ็ดร้อยปี

       พระศาสดาครั้นทรงนำพระธรรมเทศนานี้มาแล้ว  จึงทรง

ประชุมชาดกว่า  พระราชาในครั้งนั้น  ได้เป็นพระอานนท์ในบัดนี้

กาเสนาบดีในครั้งนั้น  ได้เป็นพระสารีบุตรในบัดนี้  กาสุปัสสาใน

ครั้งนั้น  ได้เป็นมารดาพระราหุลในบัดนี้  ส่วนกาสุปัตตะ  คือเรา

ตถาคต  ฉะนี้แล.

                           จบ  อรรถกถาสุปัตตชาดกที่