พระศาสดาเมื่อประทับอยู่    พระวิหารเชตวัน  ทรงปรารภ

ภิกษุสัทธิวิหาริกของพระสารีบุตรเถระ  จึงตรัสเรื่องนี้  มีคำเริ่มต้นว่า

นานุมฺมตฺโต  ดังนี้.

       ได้ยินว่า  สัทธิวิหาริกของพระเถระ  เข้าไปหาพระเถระ  ไหว้

แล้ว  นั่ง    ส่วนข้างหนึ่ง  แล้วถามว่า  ท่านผู้เจริญ  ขอท่านโปรด

บอกปฏิปทาอันจะให้ลาภเกิดแก่กระผม  ภิกษุกระทำอะไรจึงจะได้ปัจจัย

มีจีวรเป็นต้น  ขอรับ.  ลำดับนั้น  พระเถระจึงบอกปฏิปทาอันจะให้

ลาภเกิดขึ้นแก่สัทธิวิหาริกนั้น  ดังนี้ว่า  ดูก่อนอาวุโส  ลาภสักการะ

ย่อมเกิดแก่ภิกษุผู้ประกอบด้วยองค์    คือ  ๑.  พึงทำลายหิริโอตตัปปะ

ภายในตนอันละสมณสัญญาเสีย  ไม่เป็นบ้าเลย  ทำเป็นเหมือนคนบ้า

  พึงกล่าววาจาส่อเสียด  ๓.  พึงเป็นเช่นกับนักฟ้อนรำ  และ  ๔.  พึง

เป็นคนเอิกเกริกมีวาจาพล่อยๆ.  สัทธิวิหาริกนั้นติเตียนปฏิปทานั้น

แล้วจึงลุกขึ้นหลีกไป.  พระเถระเข้าไปเฝ้าพระศาสดา  ถวายบังคมแล้ว

กราบทูลเรื่องนั้นให้ทรงทราบ. พระศาสดาตรัสว่า  ดูก่อนสารีบุตร

ภิกษุนั้นติเตียนลาภในบัดนี้เท่านั้นหามิได้  แม้ในกาลก่อน  ก็ได้

ติเตียนแล้วเหมือนกัน  อันพระเถระทูลอาราธนาแล้ว  จึงทรงนำเอา

เรื่องในอดีตมาสาธก  ดังต่อไปนี้.

       ในอดีตกาล  เมื่อพระเจ้าพรหมทัตครองราชสมบัติในพระนคร

พาราณสี  พระโพธิสัตว์บังเกิดในตระกูลพราหมณ์  พอเจริญวัยแล้ว

ในกาลมีอายุ  ๑๖  ปีเท่านั้น  ก็เรียนจบไตรเพท  และศิลปศาสตร์  ๑๘

ประการ  ได้เป็นอาจารย์ทิศาปาโมกข์บอกศิลปะแก่มาณพ  ๕๐๐  คน  ใน

จำนวนมาณพเหล่านั้น  มีมาณพคนเพียบพร้อมด้วยศิลาจารวัตร

วันหนึ่งเข้าไปหาอาจารย์  แล้วถามปฏิปทาอันเป็นเครื่องให้เกิดลาภว่า

ขอท่านจงบอก  ลาภเกิดขึ้นแก่สัตว์เหล่านี้ได้อย่างไร ๆ อาจารย์กล่าว

ว่า  ดูก่อนพ่อมหาจำเริญ  ลาภย่อมเกิดขึ้นแก่สัตว์เหล่านี้  ด้วยเหตุ

  ประการ  แล้วกล่าวคาถาที่    ว่า  :-

              ไม่ใช่คนบ้าทำเป็นเหมือนคนบ้า  ไม่ใช่

       คนส่อเสียดทำเป็นเหมือนคนส่อเสียด  ไม่

       ใช่นักฟ้อนรำทำเป็นเหมือนนักฟ้อนรำ  ไม่

       ใช่คนตื่นข่าวทำเป็นเหมือนคนตื่นข่าว  ย่อม

       จะได้ลาภในหมู่คนหลงงมงาย  นี้เป็นคำสอน

       สำหรับท่าน.

       บรรดาบทเหล่านั้น  บทว่า  นานุมฺมตฺโต  ตัดเป็น น อนุมฺมตฺโต

แปลว่า  ไม่ใช่คนบ้า.  ท่านกล่าวอธิบายไว้ว่า  ชื่อว่าคนบ้าเห็นเด็กหญิง

เด็กชายแล้ว  แย่งเอาผ้าและเครื่องประดับเป็นต้นของเด็กเหล่านั้น

ถือเอาเนื้อ  ปลา  และขนมเป็นต้นจากที่นั้น ๆ  โดยพลการมาเคี้ยวกิน

ฉันใด  คนใดเป็นคฤหัสถ์  ละทิ้งหิริโอตตัปปะอันตั้งขึ้นภายในและ

ภายนอก  ไม่เอื้อเฟื้อกุศลและอกุศล  ไม่กลัวภัยในนรก  ถูกความโลภ

ครอบงำ  ถูกตัณหาครอบงำจิต  มัวเมาในกามทั้งหลาย  กระทำกรรม

อันสาหัสมีตัดช่องย่องเบาเป็นต้น  แม้เป็นบรรพชิตก็ละหิริโอตตัปปะ

เสีย  ไม่เอื้อเฟื้อกุศลและอกุศล  ไม่กลัวภัยในนรก  ย่ำยีสิกขาบท

ที่พระศาสดาบัญญัติไว้  ถูกความโลภครอบงำ  อันตัณหาครอบงำจิต

อาศัยเพียงผ้าจีวรเป็นต้น  ละทิ้งความเป็นสมณะของตนเสีย  เป็นคน

ประมาทมัวเมา  กระทำเวชชกรรมและทูตกรรมเป็นต้น  อาศัยอเนสนา

การแสวงหาอันไม่สมควรมีการให้ไม้ไผ่เป็นต้นเลี้ยงชีวิต  ก็ฉันนั้น

เหมือนกัน  บุคคลนี้แม้จะไม่เป็นบ้าก็ชื่อว่าเป็นคนบ้า  เพราะเป็น

เหมือนคนบ้า  ลาภย่อมเกิดขึ้นแก่คฤหัสถ์หรือบรรพชิตเห็นปานนี้โดย

พลัน  ส่วนบุคคลใด  ไม่เป็นคนบ้าอย่างนั้น  มีความละอาย  มีความ

รังเกียจ  บุคคลนี้ย่อมไม่ได้ลาภในหมู่คนผู้งมงายมิใช่บัณฑิต  เพราะ

ฉะนั้น  บุคคลผู้ต้องการลาภ  พึงทำเป็นเหมือนคนบ้า.

       แม้ในบทว่า  ไม่เป็นคนส่อเสียด  นี้  พึงทราบความอย่างนี้ว่า

ส่วนบุคคลใดเป็นคนส่อเสียด  นำความส่อเสียดเข้าไปในราชสกุลว่า

บุคคลโน้นกระทำกรรมชื่อนี้  บุคคลนั้นแย่งชิงยศของคนอื่นถือเอามา

เพื่อตนเอง  ฝ่ายพระราชาทั้งหลายก็คิดว่า  ผู้นี้มีความเสน่หาในพวก

เรา  จึงตั้งบุคคลนั้นไว้ในตำแหน่งสูง ๆ  ฝ่ายอำมาตย์เป็นต้นย่อม

สำคัญสิ่งที่จะพึงให้แก่บุคคลนั้น  เพราะกลัวว่า  ผู้นี้จะทำพวกเราให้

แตกร้าวในราชสกุล  ลาภย่อมเกิดแก่คนผู้ส่อเสียดในทันที  ด้วย

ประการอย่างนี้  ส่วนคนใดไม่ส่อเสียด  คนนั้นย่อมไม่ได้ลาภในหมู่

ชนผู้งมงาย.

       บทว่า  นานโฏ  ความว่า  อันผู้จะทำลาภให้เกิดขึ้น  พึงเป็น

เหมือนนักฟ้อนรำ.  อธิบายว่า  นักฟ้อนรำทั้งหลายละทิ้งหิริโอตตัปปะ

เสีย  กระทำการเล่นด้วยฟ้อนรำ  ขับร้อง  และการประโคมรวบรวม

ทรัพย์อยู่  ฉันใด  ผู้ต้องการลาภก็ฉันนั้นเหมือนกัน  ต้องทำลายหิริ-

โอตตัปปะเสีย  เป็นเหมือนสหายนักเลงของสตรี  บุรุษ  เด็กชาย  และ

เด็กหญิงทั้งหลาย  เที่ยวแสดงการเล่น  มีประการต่าง ๆ  ส่วนบุคคลใด

ไม่เป็นนักฟ้อนรำอย่างนี้  บุคคลนั้นย่อมไม่ได้ลาภในหมู่คนงมงาย.

       บทว่า  นากุตูหโล  ความว่า  คนผู้มีวาจาพล่อย ๆ  ชื่อว่าคน

ตื่นข่าว.  จริงอยู่  พระราชาทั้งหลายแวดล้อมด้วยหมู่อำมาตย์  ตรัสถาม

อำมาตย์ทั้งหลายว่า  เราได้ฟังมาว่า  ในที่โน้น  คนถูกฆ่า  ถูกปล้น

เรือน  ลูกเมียของคนอื่นถูกข่มขืน  นี้เป็นกรรมของพวกไหนนะ  ?

ในหมู่อำมาตย์เหล่านั้น  เมื่ออำมาตย์ที่เหลือไม่ทูลอะไรเลย  ผู้ใดลุกขึ้น

กราบทูลว่า  คนชื่อโน้น ๆ  กระทำดังนี้  ผู้นี้ชื่อว่าคนตื่นข่าว.  พระ-

ราชาทั้งหลาย  ก็จะส่งราชบุรุษเหล่านั้นไปสืบสวน  ห้ามปรามตามคำ

ของอำมาตย์ผู้นั้น  ย่อมประทานยศใหญ่โตให้แก่อำมาตย์ผู้นั้น  ด้วย

ทรงพระดำริว่า  เพราะอาศัยผู้นี้  บ้านเมืองของเราจึงปราศจากโจร

ผู้ร้าย.  ฝ่ายชนที่เหลือก็ให้ทรัพย์แก่ผู้นั้นเหมือนกัน  เพราะกลัวว่า  ผู้

นี้ถูกราชบุรุษไต่ถาม  จะกล่าวมิดีมิร้ายให้.  ลาภย่อมเกิดแก่คนตื่นข่าว

ด้วยประการอย่างนี้.  ส่วนผู้ที่ไม่ตื่นข่าวย่อมไม่ได้ลาภในหมู่ชนที่

งมงาย.  บทว่า  เอสา  เต  อนุสาสนี  ความว่า  นี้เป็นการพร่ำสอน

ในเรื่องการจะได้ลาภแก่เจ้า  จากสำนักของเรา.

       อันเตวาสิกได้ฟังคาถาของอาจารย์แล้ว  เมื่อจะติเตียนลาภ  จึง

กล่าวคาถา    คาถาว่า  :-

  ข้าแต่ท่านพราหมณ์  น่าติเตียนความ

 ประพฤติอันเป็นเหตุให้ได้ลาภและยศ  โดย

 การทำชื่อเสียงให้ตกไปหรือโดยไม่เป็นธรรม.

 อนึ่ง  หากจะถือบาตรออกไปบวชเสีย  ความ

 เป็นอยู่นี้แล  ประเสริฐกว่าการแสวงหาโดย

 ไม่เป็นธรรม.

       บรรดาบทเหล่านั้น  บทว่า  ยา  วุตฺติ  ได้แก่  การประพฤติ

เลี้ยงชีพอันใด  บทว่า  วินิปาเตน  คือ  โดยการทำตนให้เสื่อมเสียไป.

บทว่า  อธมฺมจริยาย  วา  ได้แก่  ด้วยการประพฤติไม่เป็นธรรม  และ

ด้วยการกระทำอันไม่สม่ำเสมอ.  อธิบายว่า  ความประพฤติอันใด  โดย

ทำตนให้เสื่อมเสียด้วยการถูกฆ่า  ถูกจองจำ  และถูกติเตียนเป็นต้น

และโดยประพฤติไม่เป็นธรรม  ดังเราจะติเตียน  คือนินทา  ครหาความ

ประพฤตินั้น  และการได้ยศและทรัพย์ทั้งปวง  เราไม่ต้องการความ

ประพฤติเลี้ยงชีพอันนั้น.  บทว่าปตฺตมาทาย  ได้แก่  ถือภาชนะ

สำหรับเที่ยวภิกขาจาร.  บทว่า  อนาคาโร  ปริพฺพเช   ความว่า  พึง

เป็นบรรพชิตไม่มีเหย้าเรือนเที่ยวไป.  และเป็นสัปบุรุษไม่ประพฤติ

อธรรมด้วยกายทุจริตเป็นต้น.  เพราะเหตุไร  ?  เพราะความเป็นอยู่แล

ประเสริฐกว่าการแสวงหาโดยไม่เป็นธรรม.  ด้วยบทว่า  เอสาว  ชีวิกา

เสยฺยา  ยา  จาธมฺเมน  เอสนา  นี้  ท่านแสดงว่า  การที่บรรพชิต

มีบาตรในมือเที่ยวภิกขาจารในตระกูลอื่นๆ  เท่านั้น  ประเสริฐกว่า

การแสวงหาเลี้ยงชีพโดยอธรรม  คือ  ดีกว่าร้อยเท่า  พันเท่า.

       มาณพครั้นพรรณนาคุณของบรรพชาอย่างนี้แล้ว  จึงออกบวช

เป็นฤาษี  แสวงหาภิกษาโดยธรรม  ยังสมาบัติทั้งหลายให้เกิดขึ้น  ได้

มีพรหมโลกเป็นที่ไปในเบื้องหน้า.

       พระศาสดา  ครั้นทรงนำพระธรรมเทศนานี้มาแล้ว  จึงทรง

ประชุมชาดกว่า  มาณพในครั้งนั้น  ได้เป็นภิกษุผู้ติเตียนลาภในบัดนี้

ส่วนอาจารย์คือเราตถาคต  ฉะนี้แล.

                           จบ  อรรถกถาลาภครหิกชาดกที่