พระศาสดาเมื่อประทับอยู่    พระเชตวันวิหาร  ทรงปรารภ

การสมาคมแห่งนางสุนทรี  จึงตรัสเรื่องนี้  มีคำเริ่มต้นว่า  ทริยา

สตฺต  วสฺสานิ  ดังนี้.

       ก็สมัยนั้นแล  พระผู้มีพระภาคเจ้าเป็นผู้อันเทวดาและมนุษย์

สักการะ  เคารพ  นับถือ  บูชา  ยำเกรง  ทรงได้จีวร  บิณฑบาต

เสนาสนะ  และคิลานปัจจัยเภสัชบริขารเป็นปกติ.  แม้ภิกษุสงฆ์ก็

เป็นผู้อันเทวดาและมนุษย์สักการะ  เคารพ  นับถือ  บูชา  ยำเกรง

และเป็นผู้ได้จีวรบิณฑบาต  เสนาสนะ  คิลานปัจจัยเภสัชบริขารเป็น

ปกติ.  ฝ่ายพวกอัญญเดียรถีย์ปริพาชก  ใครๆ  ไม่สักการะ  เคารพ

นับถือ  บูชา  ยำเกรง  ไม่ได้จีวร  บิณฑบาต  เสนาสนะ  คิลานปัจจัย

เภสัชบริขาร.  ได้ยินว่า  เมื่อลาภสักการะประดุจห้วงน้ำใหญ่แห่ง

แม่น้ำใหญ่    สาย  เกิดขึ้นแก่พระผู้มีพระภาคเจ้าและภิกษุสงฆ์  พวก

อัญญเดียรถีย์  เสื่อมลาภสักการะ  เป็นผู้อับรัศมี  ประดุจหิ่งห้อยใน

เวลาพระอาทิตย์ขึ้น  จึงมาร่วมประชุมหารือกันว่า  จำเดิมแต่พระสมณ-

โคดมเกิดขึ้นแล้ว  พวกเราเป็นผู้เสื่อมลาภสักการะ  ใครๆ  ย่อมไม่รู้

แม้ความที่พวกเรามีอยู่  พระสมณโคดมถึงความเป็นผู้เลิศด้วยลาภ

พวกเราจะร่วมกับใครดีหนอ  จึงจะยังโทษมิใช่คุณ  ให้เกิดขึ้นแก่

พระสมณโคดม  ทำลาภสักการะ  ของพระสมณโคดมนั้นให้อันตรธาน

ไป.  ลำดับนั้น  พวกเดียรถีย์เหล่านั้นได้มีความคิดดังนี้ว่า  พวกเรา

ร่วมกับนางสุนทรี  จักสามารถทำได้.  วันหนึ่ง  พวกเดียรถีย์เหล่านั้น

ไม่พูดจากะนางสุนทรีผู้เข้าไปยังอารามของเดียรถีย์  ไหว้แล้วยืนอยู่.

นางสุนทรีนั้นถึงจะพูดจาบ่อยๆ  ก็ไม่ได้คำตอบ  จึงถามว่า  เออก็

พระผู้เป็นเจ้าทั้งหลายถูกใครๆ  เบียดเบียนหรือ  ?  พวกอัญญเดียรถีย์

กล่าวว่า  น้องหญิงเธอไม่เห็นหรือ  พระสมณโคดมเที่ยวเบียดเบียน

พวกเรา  กระทำให้เสื่อมลาภสักการะ.  นางสุนทรีนั้นจึงกล่าวอย่างนี้

ว่า  ในเรื่องนี้  ดิฉันควรจะทำอย่างไร.   อัญญเดียรถีย์ทั้งหลายกล่าวว่า

น้องหญิง  เจ้าแล  เป็นผู้มีรูปร่างงดงาม  ถึงความเป็นผู้เลิศด้วยความ

งาม  จงยกโทษมิใช่ยศขึ้นแก่พระสมณโคดม  ให้มหาชนเชื่อถือคำ

ของเจ้า  แล้วกระทำให้เสื่อมลาภสักการะ.  นางสุนทรีนั้นรับคำว่าได้

จึงไหว้แล้วหลีกไป  จำเดิมแต่นั้นมา  นางก็ถือดอกไม้  ของหอม

เครื่องลูบไล้  กระบูร  และผลเผ็ดร้อนเป็นต้น  แล้วบ่ายหน้าตรงไป

ยังพระเชตวันวิหารในตอนเย็น  เวลาที่มหาชนฟังพระธรรมเทศนา

ของพระศาสดาแล้วเข้าเมือง  และถูกถามว่า  เธอจะไปไหน  ?  ก็กล่าวว่า

ไปสำนักพระสมณโคดม.  ด้วยว่าเราอยู่ในพระคันธกุฎีเดียวกันกับ

พระสมณโคดม  แล้วก็ไปอยู่เสียในอารามของอัญญเดียรถีย์แห่งหนึ่ง

พอเช้าตรู่  ก็ย่างลงหนทางสายที่จะไปพระเชตวัน  บ่ายหน้ามุ่งไป

พระนคร  และถูกถามว่า  สุนทรี  เธอไปไหนมาหรือ  ?  จึงกล่าวว่า   เรา

อยู่ในพระคันธกุฎีหลังเดียวกันกับพระสมณโคดม  ให้พระสมณโคดม

รื่นรมย์ยินดีด้วยกิเลสแล้วจึงมา.  ครั้นล่วงไป  ๒-๓  วัน  พวกอัญญ-

เดียรถีย์ให้กหาปณะแก่พวกนักเลง  แล้วกล่าวว่า  พวกท่านจงไปฆ่า

นางสุนทรี  แล้วหมกไว้ในระหว่างกองหยากเยื่อดอกไม้ใกล้ๆ  กับ

พระคันธกุฎีของพระสมณโคดมแล้วจงมา.  พวกนักเลงเหล่านั้นได้

กระทำอย่างนั้น.  ลำดับนั้น  พวกอัญญเดียรถีย์พากันทำความโกลาหลว่า

เราทั้งหลายไม่เห็นนางสุนทรีจึงกราบทูลพระราชา  เป็นผู้อันพระราชา

ตรัสถามว่า  ท่านทั้งหลาย  มีความรังเกียจแหนงใจที่ไหน  จึงกราบทูล

ว่า  ทุกวันนี้  นางสุนทรีอยู่ในพระเชตวัน  ข้าพระพุทธเจ้าทั้งหลาย

ไม่ทราบความเป็นไปของนางในพระเชตวันนั้น  พระราชาทรงอนุญาต

ว่า  ถ้าอย่างนั้น  พวกท่านจงไปค้นหานาง  จึงพาคนผู้เป็นอุปัฏฐาก

ของตนไปยังพระเชตวันค้นหาอยู่  เห็นนางสุนทรีอยู่ในระหว่างกอง

ขยะดอกไม้  จึงให้ยกศพนางสุนทรีขึ้นวางบนเตียงน้อยแล้วเข้าไปยัง

พระนคร  กราบทูลแก่พระราชาว่า  พวกสาวกของพระสมณโคดมคิดว่า

จักปกปิดกรรมชั่วที่พระศาสดาของตนกระทำ  จึงฆ่านางสุนทรีแล้ว

หมกไว้ในระหว่างกองขยะดอกไม้.  พระราชาตรัสว่า  ถ้าอย่างนั้น  ท่าน

ทั้งหลายจงไปเที่ยว  ประกาศให้ทั่วพระนคร  เดียรถีย์เหล่านั้นจึง

เที่ยว  ประกาศ  ในถนน  ทั่วพระนคร  โดยนัยเป็นต้นว่า  ท่าน

ทั้งหลายจงดูกรรมของพวกสมณะ  ศากยบุตร  ดังนี้แล้วก็กลับมายัง

ประตูพระราชนิเวศน์อีก.  พระราชารับสั่งให้ยกร่างของนางสุนทรีขึ้นสู่

เตียงน้อยในป่าช้าผีดิบแล้วให้อารักขาไว้.  ชาวเมืองสาวัตถี  ยกเว้น

พระอริยสาวก  ที่เหลือโดยมาก  กล่าวคำเป็นต้นว่า  ท่านทั้งหลาย  จง

ดูการกระทำของพวกสมณะ  ศากยบุตรดังนี้  แล้วเที่ยวด่าภิกษุทั้งหลาย

ทั้งภายในเมืองและนอกเมือง.  ภิกษุทั้งหลายจึงกราบทูลเรื่องนั้นแก่

พระตถาคตเจ้า.  พระศาสดาตรัสว่า  ถ้าอย่างนั้น  แม้เธอทั้งหลาย

จงโจทย์ท้วงตอบพวกมนุษย์เหล่านั้นอย่างนี้  แล้วตรัสพระคาถานี้ว่า.

              บุคคลผู้พูดคำไม่จริง  ย่อมเข้าถึงนรก

       หรือแม้บุคคลใดทำแล้วกล่าวว่า  ข้าพเจ้าไม่

       ได้ทำ  ชนแม้ทั้งสองนั้น  เป็นมนุษย์มีกรรม

       เลวทราม  ละไปในโลกอื่นแล้ว  ย่อมเป็นผู้

       เสมอกัน.

       พระราชาทรงส่งพวกราชบุรุษไปโดยรับสั่งว่า  พวกท่านจงรู้ว่า

นางสุนทรีถูกคนอื่นฆ่า.  ลำดับนั้น  พวกนักเลงแม้เหล่านั้น  ดื่มสุรา

ด้วยกหาปณะเหล่านั้น  กระทำการทะเลาะกันและกันอยู่.  ในนักเลง

เหล่านั้น  นักเลงคนหนึ่งพูดอย่างนี้ว่า  ท่านฆ่านางสุนทรีด้วยการประ-

หารคราวเดียวเท่านั้น  แล้วหมกไว้ในระหว่างกองขยะดอกไม้  จึงได้

ดื่มสุราด้วยกหาปณะที่ได้จากการฆ่านางสุนทรีนั้น.  พวกราชบุรุษจึง

จับนักเลงเหล่านั้นแสดงแก่พระราชา.  ลำดับนั้น  พระราชาตรัสถาม

นักเลงเหล่านั้นว่า  พวกเจ้าฆ่าหรือ  ?  พวกนักเลงกราบทูลว่า  พระ-

เจ้าข้า  ข้าแต่พระองค์ผู้สมมติเทพ.  พระราชาตรัสถามว่า  ใครใช้ให้ฆ่า  ?

นักเลงทั้งหลายกราบทูลว่า  ขอเดชะ  พวกอัญญเดียรถีย์ใช้ให้ฆ่า

พระเจ้าข้า.  พระราชารับสั่งให้เรียกพวกอัญญเดียรถีย์มาแล้วตรัสว่า

พวกเจ้าจงให้หามนางสุนทรีไป  จงเที่ยวไปตลอดทั่วพระนคร  กล่าว

อย่างนี้ว่า  นางสุนทรีนี้พวกเราประสงค์จะยกโทษพระสมณโคดม  จึง

ให้ฆ่าเสีย  โทษแห่งสาวกทั้งหลายของพระสมณโคดมไม่มีเลย  เป็น

โทษของเราทั้งหลาย  พวกอัญญเดียรถีย์เหล่านั้นได้กระทำอย่างนั้น

ตามรับสั่ง.  ในกาลนั้น  มหาชนผู้เขลาเชื่อ.  ฝ่ายพวกอัญญเดียรถีย์ถูก

ลงอาญาในฐานฆ่าคน.  จำเดิมแต่นั้น  พระพุทธเจ้าทั้งหลาย  ได้มี

สักการะมากยิ่งขึ้น.  ภายหลังวันหนึ่ง  ภิกษุทั้งหลายนั่งสนทนากันใน

โรงธรรมสภาว่า  ดูก่อนอาวุโสทั้งหลาย  พวกเดียรถีย์คิดว่า  จักยัง

ความมัวหมองให้เกิดแก่พระพุทธเจ้า  ตนเองกลับเป็นฝ่ายมัวหมอง

อนึ่ง  ลาภสักการะใหญ่ยิ่งเกิดขึ้นแก่พระพุทธเจ้า.  พระศาสดาเสด็จ

มาแล้วตรัสถามว่า  ภิกษุทั้งหลาย  บัดนี้  พวกเธอนั่งสนทนากันด้วย

เรื่องอะไร  ?  เมื่อภิกษุทั้งหลายกราบทูลให้ทรงทราบแล้ว  จึงตรัสว่า

ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย  ใครๆ  ไม่อาจทำความมัวหมองให้เกิดขึ้นแก่

พระพุทธเจ้า  ชื่อว่าการกระทำความเศร้าหมองแก่พระพุทธเจ้า  ก็เป็น

เช่นกับทำความเศร้าหมองแก่แก้วมณีชาติ.  ในกาลก่อน  สุกรทั้งหลาย

แม้พยายามอยู่ด้วยหวังว่าจักทำแก้วมณีชาติ  คือมณีโดยกำเนิด  ให้

เศร้าหมอง  ก็ไม่ได้อาจทำให้เศร้าหมอง  อันภิกษุทั้งหลายทูลอ้อนวอน

แล้ว  จึงทรงนำเอาเรื่องในอดีตมาสาธก  ดังต่อไปนี้  :-

       ในอดีตกาล  เมื่อพระเจ้าพรหมทัตครองราชสมบัติอยู่ในกรุง-

พาราณสี  พระโพธิสัตว์บังเกิดในตระกูลพราหมณ์  ในหมู่บ้านแห่ง

หนึ่ง  พอเจริญวัยแล้ว  เห็นโทษในกามทั้งหลายจึงออกจากเรือนข้าม

ทิวเขา    ลูกในหิมวันตประเทศ  ไปเป็นดาบสอยู่ในบรรณศาลา.  ได้

มีถ้ำแก้วมณีอยู่ในที่ไม่ไกลบรรณศาลานั้น.  สุกรประมาณ  ๓๐  ตัว

อยู่ในถ้ำแก้วมณีนั้น  มีราชสีห์ตัวหนึ่งเที่ยวไปในที่ไม่ไกลถ้ำนั้น.  เงา

ของราชสีห์นั้นย่อมปรากฎที่แก้วมณี.  สุกรทั้งหลายเห็นเงาราชสีห์

ตกใจกลัวสดุ้ง  จึงได้มีเนื้อและเลือดน้อย.  สุกรเหล่านั้นคิดกันว่า

เพราะแก้วมณีนี้ใส  เงานี้จึงปรากฎ  พวกเราจงทำแก้วมณีนี้  ให้

เศร้าหมอง  ไม่มีสี  จึงไปยังสระแห่งหนึ่งในที่ไม่ไกล  กลิ้งเกลือกใน

เปือกตมแล้วมาสีที่แก้วมณีนั้น.  แก้วมณีนั้นถูกขนสุกรทั้งหลายเสียดสี

อยู่กลับใสแจ๋วยิ่งขึ้น  ประหนึ่งพื้นสุทธากาสอันบริสุทธิ์  สุกรทั้งหลาย

มองไม่เห็นอุบาย  จึงตกลงกันว่า  จักถามอุบายเป็นเครื่องทำแก้วมณีนี้

ให้ปราศจากสีกะพระดาบส  จึงเข้าไปหาพระโพธิสัตว์ไหว้แล้วยืน 

ส่วนข้างหนึ่ง  กล่าวคาถา    คาถาแรกว่า  :-

              พวกข้าพเจ้าประมาณ  ๓๐  ตัว  อาศัยอยู่

       ในถ้ำแก้วมณี    ปี  ได้ปรึกษากันว่า  จะช่วย

       กันกำจัดแสงแก้วมณีให้เศร้าหมอง.  พวก

       ข้าพเจ้าช่วยกันเสียดสีแก้วมณี  แก้วมณี

       กลับมีสีสุกใสขึ้นกว่าเก่า  บัดนี้  พวกข้าพเจ้า

       ขอถามท่านถึงเหตุนั้น  ท่านย่อมสำคัญกิจใน

       เรื่องนี้อย่างไร.

       บรรดาบทเหล่านั้น  บทว่า  ทริยา  แปลว่า  ในถ้ำแก้วมณี.

บทว่า  วสามเส  แปลว่า  ย่อมอยู่.  บทว่า  หญฺาม  ความว่า  พวก

ข้าพเจ้าจักขจัด  คือ  แม้พวกข้าพเจ้าก็จักกระทำให้หมดสี.  บทว่า

อิทญฺจิทานิ  ปุจฺฉาม  ความว่า  บัดนี้  พวกข้าพเจ้าขอถามท่านถึง

ข้อนี้ว่า  เพราะเหตุไร  ?  แก้วมณีนี้อันพวกข้าพเจ้าทำให้เศร้าหมองอยู่

ยังกลับสุกใส.  บทว่า  กึ  กิจฺจํ  อิธ  มญฺสิ  ความว่า  ในเรื่องนี้

ท่านสำคัญกิจนี้ว่าอย่างไร.

       ลำดับนั้น  พระโพธิสัตว์  เมื่อจะบอกแก่สุกรเหล่านั้น  จึงกล่าว

คาถาที่    ว่า  :-

              ดูก่อนหมูทั้งหลาย  แก้วไพฑูรย์นี้เป็น

       ของบริสุทธิ์งามผ่องใส  ใครๆ  ไม่อาจกำจัด

       แสงแก้วไพฑูรย์นั้นให้เศร้าหมองได้  ท่าน

       ทั้งหลายจงพากันหลีกหนีไปอยู่ที่อื่นเสียเถิด.

       บรรดาบทเหล่านั้น  บทว่า  อกาโจ  แปลว่า  ไม่กระด้าง.  บทว่า

สุโภ  แปลว่า  งาม.  บทว่า  สิรึ  แปลว่า  รัศมี.  บทว่า  อปกฺกมถ

ความว่า  ใครๆ  ไม่อาจทำแสงของแก้วมณีนี้ให้พินาศไปได้  ก็พวก

ท่านแหละ  จงละถ้ำแก้วมณีนี้ไปอยู่ที่อื่นเสียเถิด.

       สุกรเหล่านั้นได้ฟังถ้อยคำของพระโพธิสัตว์นั้นแล้วได้กระทำ

เหมือนอย่างนั้น.  พระโพธิสัตว์ทำฌานให้เกิดขึ้นแล้ว  ในเวลาสิ้น

อายุขัย  ได้มีพรหมโลกเป็นที่ไปในเบื้องหน้า.

       พระศาสดา  ครั้นทรงนำพระธรรมเทศนานี้มาแล้ว  จึงทรง

ประชุมชาดกว่า  พระดาบสในครั้งนั้น  คือเราตถาคต  ฉะนี้แล.

                           จบ  อรรถกถามณิสูกรชาดกที่