อรรถกถาวัฑฒกีสูกรชาดกที่ 

          พระศาสดาเมื่อประทับอยู่    พระวิหารเชตวัน  ทรงปรารภ

พระธนุคคหติสสเถระ  จึงตรัสเรื่องนี้  มีคำเริ่มต้นว่า  วรํ  วรํ  ตฺวํ

ดังนี้.

          ได้ยินว่า  พระเจ้ามหาโกศลผู้เป็นพระชนกของเจ้าปัสเสน-

ทิโกศล  ได้พระราชทานนางโกศลเทวีราชธิดา  แก่พระเจ้าพิมพิสาร

ได้พระราชทานบ้านกาสิกคามอันเป็นบ้านที่มีรายได้เกิดขึ้นหนึ่งแสน

ให้เป็นมูลค่าแห่งจุรณสำหรับสรงสนานแก่พระราชธิดานั้น.  แต่เมื่อ

พระเจ้าอชาตศัตรูปลงพระชนม์พระบิดา  ฝ่ายพระนางโกศลเทวีถูก

ความโศกครอบงำก็ทิวงคต.  ลำดับนั้น  พระเจ้าปัสเสนทิโกศลทรง

พระดำริว่า  พระเจ้าอชาตศัตรูปลงพระชนม์พระบิดา  ฝ่ายพระภคินี

ของเรา  เมื่อพระสวามีสวรรคตแล้วก็ทิวงคต  เพราะความโศก  เรา

จักไม่ให้กาสิกคามแก่โจรผู้ฆ่าพ่อ.  ทรงดำริฉะนั้นแล้ว  ก็ไม่ยอม

ยกบ้านกาสิกคามนั้นให้พระเจ้าอชาตศัตรู.  เพราะอาศัยบ้านนั้นเอง

พระราชาแม้ทั้งสองพระองค์นั้น  จึงมีการรบกันตลอดเวลา.  พระเจ้า

อชาตศัตรูทรงเป็นหนุ่มเข้มแข็งสามารถ  ส่วนพระเจ้าปัสเสนทิโกศล

ทรงชราภาพแล้ว  พระองค์จึงรบแพ้อยู่เนืองๆ.  ผู้คนแม้ของพระเจ้า

มหาโกศลก็พ่ายแพ้อยู่โดยมาก.  ลำดับนั้น  พระราชาตรัสถามพวก

อำมาตย์ว่า  พวกเราแพ้พระเจ้าอชาตศัตรูนั้นเนืองๆ  ควรจะทำ

อย่างไรดีอำมาตย์ทั้งหลายกราบทูลว่า  ข้าแต่สมมติเทพ  ธรรมดาพระ-

ผู้เป็นเจ้าทั้งหลาย  ย่อมเป็นผู้ฉลาดในความคิดอ่าน  ควรจะฟังถ้อยคำ

ของภิกษุทั้งหลายในพระเชตวันมหาวิหาร.  พระราชาทรงสั่งบังคับจาร-

บุรุษทั้งหลายว่า  ถ้าอย่างนั้น  ท่านทั้งหลายจงฟังถ้อยคำสนทนาของ

ภิกษุทั้งหลายในเวลานั้น.  จารบุรุษเหล่านั้น  ได้กระทำอย่างนั้น

จำเดิมแต่นั้นมา.  ก็ในกาลนั้นพระเถระผู้เฒ่า    รูป  คือพระทันตเถระ

และพระธนุคคหติสสเถระ  อยู่ในบรรณศาลาท้ายวิหาร.  บรรดา

พระเถระ    รูปนั้น  พระธนุคคหติสสเถระ  หลับทั้งในปฐมยาม

และมัชฌิมยาม  แล้วตื่นขึ้นในตอนปัจฉิมยาม  นั่งเคาะดุ้นฟืนก่อไฟ

ให้สว่างแล้วกล่าวว่า  ท่านทันตเถระผู้เจริญ  ท่านนอนอยู่หรือว่านั่งอยู่.

พระทันตเถระกล่าวว่า  ผมไม่นอนแล้วจักทำอะไร.  พระธนุคคหติสส-

เถระกล่าวว่า  ลุกขึ้นนั่งก่อนเถอะขอรับ.  พระธนุคคหติสสเถระนั้น

ลุกขึ้นนั่งแล้วกล่าวว่า  ท่านทันตเถระผู้เจริญ  พระเจ้าโกศลท้องพลุ้ย

องค์นี้เขลา  กระทำพระกระยาหารที่เสวยในถาดให้เสียไปเปล่า  แต่

ไม่ทรงทราบการจัดกระบวนรบอะไรๆ  พระองค์ผู้เป็นจอมนรชนจึง

ทรงแพ้แล้วแพ้เล่า.  พระทันตเถระถามว่าก็อย่างนั้นควรจะทำอย่างไร  ?

ขณะนั้น  จารบุรุษเหล่านั้น  ได้ยืนฟังถ้อยคำของพระเถระทั้งสองนั้น.

พระธนุคคหติสสเถระวิจารณ์การรบว่า  ท่านผู้เจริญ  ชื่อว่าในการรบ

มีกระบวนจัดทัพอยู่    กระบวน  คือ  ปทุมพยูหะ  กระบวนทัพ

รูปดอกประทุม    จักกพยูหะ  กระบวนทัพรูปล้อรถ   สกฏพยูหะ

กระบวนทัพรูปเกวียน    ถ้าพระเจ้าปัสเสนทิโกศลมีพระประสงค์จะ

จับพระเจ้าอชาตศัตรู  ควรซุ่มคนไว้ที่เหลี่ยมเขาทั้งสองด้านไว้ในท้อง

ภูเขาชื่อโน้น  แสดงกำลังพลข้างหน้าให้รู้ว่าอ่อนแอ  อย่าให้พระเจ้า-

อชาตศัตรูทราบว่าเข้าไปในระหว่างภูเขา  แล้วสกัดกั้นทางเข้าไปเสีย

แล้วให้คนที่ซุ่มอยู่ที่เหลี่ยมเขาทั้งสองข้างโห่ร้องตีโอบเข้ามาทั้งข้าง

หน้าและข้างหลัง  ก็อาจสามารถจับพระเจ้าอชาตศัตรูได้  เหมือน

จับปลาที่เข้าไปในข่าย  และเหมือนจับลูกนกกระจาบไว้ในกำมือ

ฉะนั้น.  พวกจารบุรุษจึงกราบทูลข่าวนั้นแก่พระราชา.  พระราชาได้

ทรงสดับดังนั้น  จึงรับสั่งให้ลั่นกลองสงครามเภรี  แล้วเสด็จไปตั้ง

กระบวนรบสกฏพยูหะ  จับพระเจ้าอชาตศัตรูได้ทั้งเป็น  ได้ประทาน

ราชธิดาของพระองค์พระนามว่าวชิรกุมารีแก่พระภาคิไนย  และได้

ประทานบ้านกาสิกคามให้เป็นค่าสำหรับสรงสนานแก่พระราชธิดานั้น

แล้วทรงส่งไป.  ประพฤติเหตุนั้นได้ปรากฎในหมู่ภิกษุสงฆ์.  ครั้น

วันหนึ่ง  ภิกษุทั้งหลายนั่งสนทนากันในโรงธรรมสภาว่า  ดูก่อน

อาวุโสทั้งหลาย  ได้ยินว่าพระเจ้าโกศลทรงชนะพระเจ้าอชาตศัตรู

เพราะการวิจารณ์ของพระธนุคคหติสสเถระ.  พระศาสดาเสด็จมาแล้ว

ตรัสถามว่า  ภิกษุทั้งหลาย  บัดนี้เธอทั้งหลายนั่งสนทนากันด้วยเรื่อง

อะไรหนอ ?  เมื่อภิกษุทั้งหลายกราบทูลให้ทรงทราบแล้ว  จึงตรัสว่า

ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย  มิใช่บัดนี้เท่านั้น  แม้ในกาลก่อนพระธนุคคห-

ติสสะ  ก็เป็นผู้ฉลาดในการจัดการรบมาแล้วเหมือนกัน  แล้วทรงนำ

เอาเรื่องในอดีตมาสาธก  ดังต่อไปนี้  :-

          ในอดีตกาล  เมื่อพระเจ้าพรหมทัตครองราชสมบัติอยู่ใน

พระนครพาราณสี  พระโพธิสัตว์บังเกิดเป็นรุกขเทวดาอยู่ในป่า.

ในกาลนั้น  ช่างไม้คนหนึ่งจากหมู่บ้านช่างไม้ซึ่งตั้งอาศัยเมืองพาราณสี

อยู่  ไปป่าเพื่อต้องการไม้  เห็นลูกสุกรตกหลุมอยู่  จึงพาเอาไปเรือน

เลี้ยงไว้.  ลูกสุกรนั้นถึงความเติบโต  มีร่างกายใหญ่  มีเขี้ยวโง้ง

เป็นสัตว์เพียบพร้อมด้วยมารยาท.  ก็เพราะนายช่างไม้นำมาเลี้ยงไว้

จึงปรากฎชื่อว่าวัฑฒกีสุกร.  วัฑฒกีสุกรนั้น  ในเวลาช่างไม้ถากไม้

ก็เอาจะงอยปากพลิกไม้ให้  เอาปากคาบนำมีด  ขวาน  สิ่ว  และฆ้อน

มาให้  ช่วยยุดปลายเส้นบรรทัดให้.  ลำดับนั้น  ช่างไม้นั้น  จึงนำ

วัฑฒกีสุกรนั้นไปปล่อยป่า  เพราะกลัวว่า  ใครๆ  นั่นแหละจะฆ่ามัน

กินเสีย.  ฝ่ายวัฑฒกีสุกรนั้นก็เข้าป่าตรวจดูสถานที่อันผาสุกสำราญ

ปลอดภัย  ได้เห็นซอกเขาใหญ่ในระหว่างภูเขาแห่งหนึ่ง  บริบูรณ์ด้วย

เหง้ามันและรากไม้เป็นสถานที่อยู่น่าผาสุกคราคร่ำด้วยสุกรหลายร้อย.

สุกรเหล่านั้นเห็นวัฑฒกีสุกรนั้นแล้ว  จึงมายังสำนักของวัฑฒกีสุกร

นั้น.  ฝ่ายวัฑฒกีสุกรนั้นก็กล่าวกะสุกรเหล่านั้นว่า  เราเที่ยวมองหา

พวกท่านอยู่ทีเดียว  เออก็บัดนี้เราได้พบพวกท่านแล้ว  อนึ่ง  สถานที่

นี้ก็เป็นสถานที่น่ารื่นรมย์  และบัดนี้  เราก็จักอยู่ในที่นี้แล.  สุกร

ทั้งหลายกล่าวว่า  จริง  สถานที่นี้น่ารื่นรมย์  แต่ในที่นี้มีอันตราย

วัฑฒกีสุกรกล่าวว่า  แม้เราได้เห็นท่านทั้งหลายแล้วก็ได้รู้ถึงข้อนั้น

เมื่อท่านทั้งหลายอยู่ในที่อันสมบูรณ์ด้วยโคจรอย่างนี้  เนื้อและเลือด

ในร่างกายของท่านก็ไม่มี  พวกท่านมีภัยอะไรในที่นี้.  สุกรทั้งหลาย

กล่าวว่า  มีเสือโคร่งตัวหนึ่งมาแต่เช้าตรู่  ตะครุบเอาสุกรตัวใดตัวหนึ่ง

ที่มันพบเห็นเอาไป.  วัฑฒกีสุกรถามว่า  ก็เสือโคร่งนั้นมันตะครุบเอา

ไปทุกวันเป็นประจำ  หรือเว้นวันบ้าง  ?  สุกรทั้งหลายกล่าวว่า  มัน

ตะครุบเอาเป็นประจำทุกวัน.  วัฑฒกีสุกรถามว่า  เสือโคร่งนั้นมีเท่าไร.

สุกรทั้งหลายกล่าวว่า  ตัวเดียว.  วัฑฒกีสุกรกล่าวว่า  พวกท่านมี

ประมาณเท่านี้  ไม่สามารถเอาชนะเสือโคร่งตัวเดียวได้หรือ  ?  สุกร

ทั้งหลายกล่าวว่า  ไม่สามารถ.  วัฑฒกีสุกรกล่าวว่า  เราจักจับมัน

ขอให้พวกท่านกระทำตามคำของเราอย่างเดียว  เสือโคร่งตัวนั้นมันอยู่

ที่ไหน  ?  สุกรทั้งหลายกล่าวว่า  มันอยู่ที่ภูเขาลูกหนึ่ง.  วัฑฒกีสุกรนั้น

ในคืนนั้นเองให้จัดสุกรทั้งหลาย  เมื่อจะจัดแจงเฉพาะการสู้รบ  จึง

กล่าวว่า  ชื่อว่าการสู้รบมี    กระบวน  คือ  กระบวนปทุมพยูหะ 

กระบวนจักกพยูหะ    กระบวนสกฏพยูหะ    แล้วจัดโดยกระบวน

ปทุมพยูหะ.  ก็วัฑฒกีสุกรนั้นรู้จักที่อันเป็นชัยภูมิ  เพราะฉะนั้น

จึงคิดว่า  ควรจัดการสู้รบในที่นี้  จึงวางสุกรชั้นพ่อแม่ที่มีลูกอ่อนไว้

ในที่ท่ามกลางของสุกรเหล่านั้น  วางนางสุกรปูนกลางล้อมสุกรชั้นพ่อ

แม่ที่มีลูกอ่อนเหล่านั้น  วางสุกรหนุ่มล้อมนางสุกรวัยปูนกลางเหล่านั้น

วางสุกรแก่ล้อมสุกรหนุ่มเหล่านั้น  วางสุกรที่มีเขี้ยวยาวล้อมสุกรแก่

เหล่านั้น  แล้ววางสุกรที่มีพลกำลังสามารถในการสู้รบ  จัดทำให้

หมวดหมู่ในที่นั้นๆ  หมู่ละ  ๑๐  และ  ๒๐  ตัว  ล้อมพวกสุกรที่มี

เขี้ยวยาวเหล่านั้น.  ให้ขุดหลุมกลมไว้หลุมหนึ่ง  ข้างหน้าที่ที่ตนยืน

และให้ขุดหลุมหนึ่งไว้ข้างหลังที่ที่ตนยืน  ให้มีสัณฐานเหมือนกระด้ง

ฝัดข้าว  ลาดลึกไปโดยลำดับคล้ายเงื้อมเขา.  เมื่อวัฑฒกีสุกรนั้น

พาสุกรนักรบประมาณ  ๖๐-๗๐  ตัว  เที่ยวจัดแจงการงานในที่นั้นๆ

พร้อมกับพูดว่าพวกท่านอย่ากลัวเลย  ดังนี้  จนอรุณขึ้น.  ฝ่าย

เสือโคร่งลุกขึ้นแล้วรู้ว่าได้เวลา  ก็ไปยืนที่พื้นภูเขาซึ่งตั้งอยู่ตรงหน้า

สุกรเหล่านั้น  จ้องตาแลดูสุกรทั้งหลาย.  วัฑฒกีสุกรได้อาณัติสัญญาณ

แก่สุกรเหล่านั้นว่า  พวกท่านจงจ้องตาตอบมัน  สุกรเหล่านั้นก็จ้อง

ตาตอบ.  เสือโคร่งอ้าปากหายใจ  ฝ่ายสุกรทั้งหลายก็ได้กระทำเหมือน

อย่างนั้น  เสือโคร่งถ่ายปัสสาวะ  แม้พวกสุกรก็ถ่ายปัสสาวะบ้าง.

ดังนั้น  เสือโคร่งนั้นกระทำกิริยาอาการอย่างใด  สุกรทั้งหลายก็ทำ

กิริยาอาการอย่างนั้น.  เสือโคร่งนั้นคิดว่า  เมื่อก่อนในเวลาที่เรามองดู

สุกรทั้งหลายพากันหนีไป  วันนี้มันไม่หนีกลับเป็นศัตรูตอบเรา

กระทำล้อเลียนกิริยาอาการที่เรากระทำ  ในพื้นที่อันเป็นประธานนั้น

มีสุกรตัวหนึ่งยืนสั่งการสุกรเหล่านั้นอยู่  วันนี้ความปราชัยจะปรากฎ

แก่เราผู้มาแล้ว.  เสือโคร่งคิดังนี้แล้วจึงได้กลับไปยังที่อยู่ของตน

ทีเดียว.  อนึ่ง  มีชฎิลโกงคนหนึ่งผู้คอยกินเนื้อที่เสือโคร่งนั้นคาบเอา

มาแล้ว ๆ  ชฎิลโกงนั้น  เสือโคร่งกลับมามือเปล่า  เมื่อจะปราศรัย

กับเสือโคร่งนั้น  จึงกล่าวคาถาที่    ว่า  :-

          ดูก่อนเสือโคร่ง  วันก่อนๆ  ท่านเคย

          ย่ำยีหมูทั้งหลายในประเทศนี้  แล้วนำเอาหมู

          ตัวอ้วนๆ  มา  บัดนี้  ท่านเดินซบเซามาแต่

          ผู้เดียว  ดูก่อนเสือโคร่ง  ก็วันนี้  กำลังกาย

          ของท่านไม่มีหรือ.

          บรรดาบทเหล่านั้น  บทว่า  วรํ  วรํ  ตฺวํ  นิหนํ  ปุเร  จริ

อสฺมึ  ปเทเส  อภิภุยฺย  สูกเร  ความว่า  ดูก่อนเสือโคร่งผู้เจริญ

เมื่อก่อน  ท่านครอบงำสุกรทั้งปวงในประเทศนี้  บรรดาสุกรเหล่านี้

ท่านเที่ยวฆ่าสุกรตัวล่ำๆ  คือตัวอ้วนๆ  ได้แก่  ตัวที่อุดมสมบูรณ์.

บทว่า  โสทานิ  เอโก  พฺยคฺฆ  ปคมฺม  ฌายสิ  ความว่า  บัดนี้

ท่านไม่จับสุกรตัวอื่น  ตัวเดียวเท่านั้น  เดินซบเซาซึมมา.  บทว่า

พลนฺนุ  เต  พฺยคฺฆ    จชฺช  วิชฺชติ  ความว่า  ดูก่อนเสือโคร่ง

ผู้เจริญ  วันนี้  กำลังกายของท่านไม่มีหรือหนอ.

          เสือโคร่งได้ฟังดังนั้น  จึงกล่าวคาถาที่    ว่า  :-

                   ได้ยินว่า  วันก่อนๆ  หมูเหล่านี้เห็น

          ข้าพเจ้าแล้วก็กลัว  ต่างบ่ายหน้าหนีไปหาที่

          ซ่อนเร้นคนละทิศละทาง  บัดนี้  หมูเหล่านั้น

          มาประชุมกันเป็นหมวดเป็นหมู่  อยู่ในที่

          ชัยภูมิดี  ยากที่จะย่ำยีได้.

          บรรดาบทเหล่านั้น  บทว่า  อสฺสุตา  เป็นนิบาต.  ก็เนื้อ

ความย่อมีดังต่อไปนี้  :-  เมื่อก่อนสุกรเหล่านี้เห็นข้าพเจ้าแล้วถูกความ

กลัวกดขี่เบียดเบียน  แสวงหาที่ต้านทานที่ซ่อนเร้นของตนๆ  เป็นคน

ละพวกคือต่างแยกกันไปคนละทิศละทาง  คือบ่ายหน้าหนีไปยังทิศนั้นๆ

บัดนี้  สุกรเหล่านั้นแม้ทั้งหมดมาประชุมอยู่รวมกันบันลืออยู่  และ

อยู่ในชัยภูมิอันยากที่ข้าพเจ้าจะย่ำยีได้  คือว่า  วันนี้สุกรเหล่านี้ตั้งอยู่

ในชัยภูมิที่ข้าพเจ้าข่มขี่ย่ำยีได้ยาก.

          ลำดับนั้น  ชฎิลโกงเมื่อจะยังความอุตสาหะให้เกิดแก่เสือโคร่งนั้น

จึงกล่าวว่า  อย่ากลัว  ไปเถอะ  เมื่อท่านบันลือวิ่งเข้าไป  สุกรทั้งหมด

กลัว  จักพากันแตกหนีไป.  เมื่อชฎิลโกงนั้นทำให้เกิดความอุตสาหะ

เสือโคร่งก็มีใจกล้าหาญกลับไปยืนที่พื้นภูเขาอีก.  วัฑฒกีสุกรคงยืนอยู่

ระหว่างหลุมทั้งสอง.  ฝ่ายสุกรทั้งหลายก็กล่าวว่า  นาย  มหาโจรมาอีก

แล้ว.  วัฑฒกีสุกรกล่าวว่า  อย่ากลัว  อย่ากลัว  เราจักจับมันเดี๋ยวนี้.

เสือโคร่งบันลือแล้วกระโจนขึ้นเบื้องบนวัฑฒกีสุกร.  ในเวลาที่เสือ

โคร่งนั้นตกลงมาเหนือตน  วัฑฒกีสุกรก็กลิ้งตัวหลบลงไปในหลุมที่

ขุดไว้ตรงๆ  โดยส่วนเบื้องหลังของเสือโคร่ง  เสือโคร่งไม่อาจ

ยั้งความเร็วไว้ได้ก็เลยไปทางส่วนเบื้องบน  ตกลงไปในปากหลุมอัน

คับแคบที่ขุดขวางไว้อันมีปากคล้ายกระด้ง  ได้เป็นเหมือนกระทำให้

กองฉะนั้น.  วัฑฒกีสุกรขึ้นจากหลุมรีบไปโดยเร็วดุจสายฟ้า  เอาเขี้ยว

ขวิดเสือโคร่งเข้าในระหว่างขาอ่อน  ฉีกผ่าไปจนถึงม้าม  เอาเขี้ยวพัน

เนื้ออร่อย    อย่าง  ออกมาวงรอบหัวเสือโคร่งแล้วยกขึ้นทิ้งออกไป

นอกหลุมโดยกล่าวว่า  ท่านทั้งหลายจงจับปัจจามิตรของพวกท่าน.

พวกสุกรที่มาก่อนก็ได้กินเนื้อเสือโคร่ง  พวกที่มาภายหลังกล่าวว่า

ชื่อว่าเนื้อเสือโคร่งเป็นเช่นไร  ?  จึงเที่ยวดมปากของสุกรเหล่านั้น.

สุกรเหล่านั้นต่างก็ยังไม่พากันดีใจ.  วัฑฒกีสุกรเห็นอาการของสุกร

เหล่านั้นจึงกล่าวว่า  เพราะเหตุไรหนอ.  พวกท่านจึงไม่ยินดี.  สุกร

ทั้งหลายกล่าวว่า  นาย  ประโยชน์อะไรด้วยเสือโคร่งตัวเดียวที่ถูกฆ่า

ชฎิลโกงผู้สามารถจะนำเอาเสือโคร่งตัวอื่นๆ  ตั้ง  ๑๐  มาได้  ยังมีอยู่.

วัฑฒกีสุกรถามว่า  ชฎิลโกงนั้นคือใคร  ?  พวกสุกรกล่าวว่า  ดาบส

ทุศีลคนหนึ่ง.  วัฑฒกีสุกรกล่าวว่า  แม้เสือโคร่งเราก็ยังฆ่าได้  ดาบส

ทุศีลนั้นจะพออะไรเรา  มาเถิดท่านทั้งหลาย  พวกเราจักจับดาบสทุศีล

นั้น  ว่าแล้วก็ไปพร้อมหมู่สุกร.  ฝ่ายดาบสโกง  เมื่อเสือโคร่งชักช้าอยู่

ก็คิดว่า  พวกสุกรจับเสือโคร่งไปกระมังหนอ  จึงเดินสวนทางไป

ได้เห็นสุกรทั้งหลายกำลังเดินมา  จึงถือเอาบริขารของตนหนีไป  ถูก

สุกรเหล่านั้นติดตาม  จึงทิ้งบริขารทั้งหลายแล้วรีบขึ้นต้นมะเดื่อไป

โดยเร็ว.  สุกรทั้งหลายกล่าวว่า  นาย  บัดนี้ดาบสร้ายหนีขึ้นต้นไม้

ไปแล้ว.  วัฑฒกีสุกรถามว่า  ต้นไม้ชื่ออะไร  ?  สุกรทั้งหลายบอกว่า

ต้นมะเดื่อ.   วัฑฒกีสุกรนั้นจัดแจงว่า  นางสุกรจงไปนำน้ำมา  ลูกสุกร

จงขุด  สุกรที่มีเขี้ยวยาวจงกัดราก  ฝ่ายสุกรที่เหลือจงล้อมรักษาไว้

เมื่อสุกรเหล่านั้นกระทำอยู่อย่างนั้น  ตนเองก็งัดรากแก้วของต้นมะเดื่อ

ให้ต้นมะเดื่อล้มลงทันที  เหมือนคนเอาขวานฟันฉะนั้น.  พวกสุกร

ที่ยืนล้อมอยู่  ก็ทำให้ชฎิลโกงล้มลงบนภาคพื้นแล้วทำให้เป็นท่อนน้อย

ท่อนใหญ่แล้วกัดกินจนถึงกระดูก  เชิญให้วัฑฒกีสุกรนั่งบนลำต้น

มะเดื่อนั่นแหละ  แล้วให้เอาสังข์เครื่องใช้สอยของชฎิลโกงไปตักน้ำ

มาอภิเษกแต่งตั้งให้เป็นราชา  และแต่งตั้งนางสุกรรุ่นสาวตัวหนึ่ง

แต่งตั้งให้เป็นอัครมเหสีของวัฑฒกีสุกรนั้น.  ได้ยินว่า  จำเดิมแต่นั้นมา

อำมาตย์ราชเสวกทั้งหลาย  เชิญเสด็จพระราชาให้นั่ง    อุทุมพร-

ภัทรบิฐ  แล้วอภิเษกด้วยสังข์    ชนิด  สืบมาจนกระทั่งทุกวันนี้.

เทวดาผู้สิงสถิตอยู่ในไพรสณฑ์นั้น  เห็นความอัศจรรย์อันนั้น  จึง

เยี่ยมหน้าเฉพาะต่อสุกรทั้งหลาย    ค่าคบไม้แห่งหนึ่ง  กล่าวคาถา

ที่    ว่า  :-

                   ข้าพเจ้าขอนอบน้อม  แก่หมู่สุกรที่มา

          ประชุมกัน  ข้าพเจ้าได้เห็นมิตรภาพอันน่า

          อัศจรรย์ควรสรรเสริญ  จึงขอกล่าวสรรเสริญ

          ไว้  หมูทั้งหลายผู้มีเขี้ยวเป็นกำลัง  ได้ชนะ

          เสือโคร่งด้วยสามัคคีอันใด  ก็พากันพ้นมรณ-

          ภัย  ด้วยสามัคคีอันนั้น  ในเพราะกำลังแห่ง

          เขี้ยวทั้งหลาย.

          บรรดาบทเหล่านั้น  บทว่า  นมตฺถุ  สงฺฆานํ  ความว่า

การกระทำความนอบน้อมของเรานี้  จงมีแก่หมู่สุกรผู้มาประชุมกัน.

บทว่า  ทิสฺวา  สยํ  สขฺยํ  วทามิ  อพฺภุตํ  ความว่า  ข้าพเจ้า

ได้เห็นความเป็นสหาย  คือมิตรภาพอันไม่เคยมีในกาลก่อน  ชื่อว่า

ไม่เคยมีนี้จึงกล่าว.  บทว่า  พฺยคฺฆํ  มิคา  ยตฺถ  ชินึสุ  ทา€ิโน

ความว่า  ชื่อก็สุกรมฤคทั้งหลายผู้มีเขี้ยว  ชนะเสือโคร่งด้วยความ

สามัคคีใด.  อีกอย่างหนึ่งบาลีก็อันนี้แหละ.  บทว่า  สามคฺคิยา

ทา€พเลสุ  มุจฺจเร  ความว่า  ก็ความสามัคคี  คือความเป็นผู้มีอัธยาศัย

เป็นอันเดียวกันในหมู่สุกรผู้มีเขี้ยวเป็นกำลังนี้ใด  ด้วยความสามัคคี

ในหมู่สุกรอันนั้น  สุกรผู้มีเขี้ยวเป็นกำลังเหล่านั้น  จับปัจจามิตรได้

จึงพ้นจากมรณภัยในวันนี้.

       พระศาสดาครั้นทรงนำพระธรรมเทศนานี้มาแล้ว  จึงทรง

ประชุมชาดกว่า  พระธนุคคหติสสะ  ได้เป็นวัฑฒกีสุกรในครั้งนั้น

ส่วนรุกขเทวดาในครั้งนั้นได้เป็นเราตถาคต  ฉะนี้แล.

                           จบ  อรรถกถาวัฑฒกีสุกรชาดกที่