อรรถกถาอัพภันตรชาดกที่ 

       พระศาสดาเมื่อประทับอยู่    พระวิหารเชตวัน  ทรงปรารภการ

ที่พระสารีบุตรเถระถวายรสมะม่วงแก่พระพิมพาเถรีจึงตรัสเรื่องนี้  มี

คำเริ่มต้นว่า  อพฺภนฺตโร  นาม  ทุโม  ดังนี้.

       ได้ยินว่า  เมื่อพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงประกาศพระธรรม-

จักรอันควรแล้วประทับอยู่    กูฏาคารศาลาในเมืองเวสาลี  พระนาง

มหาปชาบดีโคตมีพานางสากิยานีจำนวน  ๕๐๐  นางไปขอบรรพชา

แล้วได้บรรพชาและอุปสมบท.  ในกาลต่อมา  ภิกษุณี  ๕๐๐  รูปเหล่า

นั้น  ได้ฟังโอวาทของพระนันทกะได้บรรลุพระอรหัต.  อนึ่งเมื่อพระ-

ศาสดาเสด็จเข้าไปอาศัยประทับอยู่ในเมืองสาวัตถี  พระเทวีชนนีของ

พระราหุลทรงดำริว่า  พระสวามีของเราบวชได้บรรลุพระสัพพัญญุต-

ญาณแล้ว  แม้โอรสของเราก็บวชอยู่ในสำนักของพระสวามีแห่งเรานั้น

เราจักกระทำอะไรอยู่ในท่ามกลางเรือน  แม้เราบวชแล้วไปอยู่ในเมือง

สาวัตถี  จักเห็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าและพระโอรสอยู่เป็นเนืองนิตย์

จึงเสด็จเข้าไปยังสำนักของนางภิกษุณี  บวชแล้วได้ไปยังเมืองสาวัตถี

พร้อมกับอุปัชฌาย์อาจารย์.  เห็นพระศาสดาและบุตรผู้เป็นที่รักสำเร็จ

การอยู่ในสำนักภิกษุณีแห่งหนึ่ง.  ราหุลสามเณรได้มาเยี่ยมพระชนนี.

ครั้นวันหนึ่ง  ลมในพระอุทรของพระเถรีกำเริบขึ้น.  เมื่อพระโอรส

เสด็จมาเพื่อจะเยี่ยมเยียน  พระเถรีนั้นไม่สามารถจะออกมาพบ

ได้  ภิกษุณีอื่นๆ  จึงมาบอกว่า  พระเถรีไม่สบาย.  ราหุลสามเณร

นั้นจึงไปยังสำนักของพระมารดา  แล้วทูลถามว่า  พระองค์ควรจะได้

ยาอะไร  ?  พระเถรีผู้ชนนีตรัสว่า  ดูก่อนพ่อ  ในคราวยังครองเรือน

มารดาดื่มรสมะม่วงที่เขาปรุงประกอบด้วยน้ำตาลกรวดเป็นต้น  โรค

ลมในท้องก็สงบระงับไป  แต่บัดนี้  พวกเราเที่ยวบิณฑบาตเลี้ยงชีพ

จักได้รสมะม่วงนั้นมาจากไหน.  ราหุลสามเณรทูลว่า  เมื่อหม่อมฉันได้

จักนำมา  แล้วก็ออกไป.  ก็ท่านผู้มีอายุนั้นมีสมบัติมากมาย  คือ  มีพระ-

ธรรมเสนาบดีเป็นอุปัชฌาย์  มีพระมหาโมคคัลลานะเป็นอาจารย์  มี

พระอานันทเถระเป็นอาว์  มีพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นบิดา.  แม้เมื่อ

เป็นอย่างนั้น  ท่านก็ไม่ไปยังสำนักอื่น  ได้ไปยังสำนักของอุปัชฌาย์

ไหว้แล้ว  ได้ยืนมีอาการหน้าเศร้าอยู่.  ลำดับนั้น  พระเถระจึงกล่าว

กะราหุลสามเณรนั้นว่า  ดูก่อนราหุล  เหตุไรหนอ  เธอจึงมีหน้าระทม

ทุกข์อยู่.  ราหุลสามเณรกล่าวว่า  ข้าแต่ท่านผู้เจริญ  โรคลมในท้องแห่ง

พระเถรีผู้เป็นมารดาของกระผม  กำเริบขึ้น.  พระเถระถามว่า  ได้อะไร

จึงจะควร  ?  ราหุลสามเณรเรียนว่า  พระมารดาเล่าให้ฟังว่า  มีความ

ผาสุกได้ด้วยรสมะม่วงที่ปรุงประกอบด้วยน้ำตาลกรวด.  พระเถระจึง

กล่าวว่า  ช่างเถอะ  เราจักได้มา  เธออย่าคิดไปเลย.  ในวันรุ่งขึ้น

พระเถระพาราหุลสามเณรนั้นเข้าไปในเมืองสาวัตถี  ให้สามเณรนั่งที่

โรงฉันแล้วได้ไปยังประตูพระราชวัง.  พระเจ้าโกศลเห็นพระเถระจึง

นิมนต์ให้นั่ง.  ในขณะนั้นเอง  นายอุยยานบาลนำเอามะม่วงหวาน

ที่สุกทั้งพวง  จำนวนห่อหนึ่งมาถวาย.  พระราชาทรงปอกเปลือก

มะม่วงแล้วใส่น้ำตาลกรวดลงไป  ขยำด้วยพระองค์เองแล้วได้ถวาย

พระเถระจนเต็มบาตร.  พระเถระออกจากพระราชนิเวศน์  ไปยังโรงฉัน

แล้วได้ให้แก่สามเณรโดยกล่าวว่า  เธอจงนำรสมะม่วงนั้นไปให้มารดา

ของเธอ.  ราหุลสามเณรนั้นได้นำไปถวายแล้ว.  พอพระเถรีบริโภค

แล้วเท่านั้น  โรคลมในท้องก็สงบ.  ฝ่ายพระราชาทรงส่งคนไปด้วย

ดำรัสสั่งว่า  พระเถระไม่นั่งฉันรสมะม่วงในที่นี้  เธอจงไปดูให้รู้ว่าพระ-

เถระให้ใคร.  ราชบุรุษคนนั้นจึงไปพร้อมกับพระเถระ  ทราบเหตุนั้น

แล้วจึงมากราบทูลพระราชาให้ทรงทราบ.  พระราชาทรงพระดำริว่า

ถ้าพระศาสดาจักอยู่ครองเรือน  จักได้เป็นพระเจ้าจักรพรรดิ  ราหุล

สามเณรจักได้เป็นขุนพลแก้ว  พระเถรีจักได้เป็นนางแก้ว  ราชสมบัติ

ในสกลจักรวาฬจักเป็นของท่านเหล่านี้ทีเดียว  ควรที่เราจะพึงอุปัฏฐาก

บำรุงท่านเหล่านี้  บัดนี้.  เราไม่ควรประมาทในท่านเหล่านี้  ผู้บวช

แล้วเข้ามาอาศัยเราอยู่.  จำเดิมแต่นั้น  พระเจ้าโกศลรับสั่งให้ถวาย

รสมะม่วงแก่พระเถรีเป็นประจำ.  ความที่พระสารีบุตรเถระถวายรส

มะม่วงแก่พระพิมพาเถรี  เกิดปรากฏในหมู่ภิกษุสงฆ์.  อยู่มาวันหนึ่ง

ภิกษุทั้งหลายนั่งสนทนากันในโรงธรรมสภาว่า  ดูก่อนอาวุโสทั้งหลาย

ได้ยินว่าพระสารีบุตรเถระ  ได้กระทำพระพิมพาเถรีให้อิ่มหนำด้วย

รสมะม่วง.  พระศาสดาเสด็จมาแล้วตรัสถามว่า  ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย

พวกเธอนั่งประชุมสนทนากันด้วยเรื่องอะไร  เมื่อภิกษุเหล่านั้นกราบ

ทูลให้ทรงทราบแล้ว  จึงตรัสว่า  ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย  สารีบุตรให้

มารดาของราหุลอิ่มหนำด้วยรสมะม่วง  ในบัดนี้เท่านั้นก็หามิได้  แม้

ในกาลก่อน  สารีบุตรนี้ก็ได้ให้มารดาของราหุลนี้อิ่มหนำมาแล้ว

เหมือนกัน  แล้วทรงนำเอาเรื่องในอดีตมาสาธก  ดังต่อไปนี้.

       ในอดีตกาล  เมื่อพระเจ้าพรหมทัตครองราชสมบัติในเมือง

พาราณสี  พระโพธิสัตว์บังเกิดในตระกูลพราหมณ์ในหมู่บ้านแคว้น

กาสี  พอเจริญวัยแล้วก็ไปเรียนสรรพศิลปศาสตร์ในเมืองตักกศิลา  แล้ว

ดำรงฆราวาสอยู่  ต่อมาบิดามารดาล่วงลับไป  จึงบวชเป็นฤาษีทำอภิญญา

และสมาบัติให้เกิดในหิมวันตประเทศ  อันคณะฤาษีห้อมล้อมเป็นครู

ของคณะ  ต่อเมื่อระยะกาลอันยาวนานล่วงไป  เพื่อต้องการจะเสพรส

เค็มและเปรี้ยว  จึงลงจากเชิงเขาเที่ยวจาริกไปจนถึงเมืองพาราณสี  จึง

สำเร็จการอยู่ในพระราชอุทยาน.  ครั้งนั้น  ภพของท้าวสักกะเทวราช

ก็สะท้านหวั่นไหวด้วยเดชแห่งศีลของคณะฤาษีนั้น.  ท้าวสักกะทรง

รำพึงอยู่ก็ได้ทรงทราบเหตุนั้น  จึงทรงดำริว่า  เราจักตะเกียก

ตะกายทำให้ดาบสเหล่านี้อยู่ไม่ได้  เมื่อเป็นเช่นนั้น  ดาบสเหล่านั้นถูก

ทำลายที่อยู่  ก็จะวุ่นวายเที่ยวไป  จักไม่ได้เอกัคคตาจิต  เมื่อเป็น

เช่นนั้น  ความผาสุกจักมีแก่เรา  แล้วทรงพิจารณาว่า  จะมีอุบาย

อย่างไรหนอ  ก็ได้ทรงเห็นอุบายข้อนี้ว่า  ในเวลาติดต่อกับมัชฌิมยาม

เราจักเข้าไปห้องสิริไสยาศน์ของพระอัครมเหสีของพระราชา  ยืนใน

อากาศบอกแก่พระนาง  ดูก่อนพระนางผู้เจริญ  ถ้าพระองค์จะได้เสวย

มะม่วงสุก  อันมีชื่อว่าอัพภันตระ  จักได้พระโอรส  และพระโอรสนั้น

จักได้เป็นพระเจ้าจักรพรรดิ  พระราชาได้ทรงสดับถ้อยคำของพระเทวี

แล้ว  จักส่งคนไปพระราชอุทยานเพื่อต้องการให้ได้เอามะม่วงสุกมา

เมื่อเป็นเช่นนั้น  เราก็จักทำให้มะม่วงอันตรธานหายไป  ราชบุรุษจัก

กลับมากราบทูลพระราชาว่า  มะม่วงในพระราชอุทยานไม่มี  เมื่อ

พระราชาตรัสถามว่า  ใครกินหมด  พวกราชบุรุษจักกราบทูลว่า  พวก

ดาบสกินหมด  ครั้นพระราชาทรงสดับดังนั้น  จักรับสั่งให้โบยตีพวก

ดาบสแล้วขับไล่ออกไป  แม้เมื่อเป็นอย่างนั้น  ดาบสเหล่านั้นจักเป็น

อันถูกเรารบกวนให้วุ่นวาย.  ในกาลติดต่อกับมัชฌิมยาม  ท้าวสักกะ

นั้นจึงเสด็จเข้าไปยังห้องสิริไสยาศน์ประทับยืนอยู่ในอากาศ  แสดงตน

ให้รู้ว่าเป็นท้าวเทวราช  เมื่อจะทรงปราศัยกับพระอัครมเหสีของพระ-

ราชานั้น  ได้ตรัสคาถา    คาถาแรกว่า  :-

              ผลของต้นไม้ชื่ออัพภันตระเป็นผลไม้

       ทิพย์  นารีผู้แพ้ท้องได้เสวยผลไม้ทิพย์

       นั้นแล้ว  จะประสูติพระโอรสเป็นพระเจ้าจักร-

       พรรดิ  ดูก่อนพระนางผู้เจริญ  แม้พระนางก็

       จะได้เป็นพระอัครมเหสี  ทั้งจะเป็นที่โปรด-

       ปรานของพระสวามี  พระราชาจักทรงนำผลไม้

       ชื่ออัพภันตระนี้มาให้แก่พระนาง.

       ในบรรดาบทเหล่านั้น  ด้วยบทว่า  อพฺภนฺตโร  นาม  ทุโม

นี้  ก่อนอื่น  ท้าวสักกะไม่ตรัสว่า  อัพภันตระ  คือภายในแห่งคามนิคม

ชนบท  และภูเขาเป็นต้น  ชื่อโน้น  ตรัสถึงต้นมะม่วงชื่ออัพภันตระ

ต้นหนึ่ง  อย่างเดียว.  บทว่า  ยสฺส  ทิพฺยมิทํ  ผลํ  ความว่า  ต้น

มะม่วงใดมีผลเป็นทิพย์ควรแก่การบริโภค  ของเทวดาทั้งหลาย.  บทว่า

อิทํ  เป็นเพียงนิบาตเท่านั้น.  บทว่า  โทหฬินี  แปลว่า  เกิดความ

แพ้ท้อง.  บทว่า  ตฺวมฺปิ  ภทฺเท  มเหสีสิ  ความว่า  พระองค์จะได้

เป็นมเหสีผู้งดงาม.  ส่วนในอรรถกถามีบาลีว่า  มเหสี    ดังนี้ก็มี.

บทว่า  สา  จาปิ  ปติโน  ปิยา  ความว่า  จะได้เป็นพระอัครมเหสี

ในภายในพระเทวีจำนวนหมื่นหกพันนาง  และจะได้เป็นที่โปรดปราน

รักใคร่ของพระสวามี.  บทว่า  อาหริสฺสติ  เต  ราชา  อิทํ  อพฺภนฺตรํ

ผลํ  ความว่า  พระราชาจักให้นำผลมีประการดังเรากล่าวแล้วนี้มาให้

แก่พระองค์นั้น  ผู้เป็นอัครมเหสีที่โปรดปรานรักใคร่.  พระองค์นั้น

เสวยผลไม้นั้นแล้ว  จักได้พระโอรสผู้เกิดในพระครรภ์  เป็นพระเจ้า

จักรพรรดิ.

       ท้าวสักกะตรัสคาถา    คาถานี้ด้วยประการอย่างนี้แล้ว  ทรง 

พร่ำสอนพระเทวีว่า  พระองค์จงอย่าประมาทอย่าได้ชักช้า  พึงกราบทูล

พระราชาให้ทรงทราบในวันพรุ่งนี้  แล้วเสด็จกลับไปสถานที่อยู่ของ

พระองค์ทีเดียว.  วันรุ่งขึ้น  พระนางแสดงอาการว่า  ทรงประชวร  ทรง

ให้สัญญาแก่นางบำเรอทั้งหลาย  แล้วทรงบรรทมอยู่.  พระราชาประทับ

นั่งบนสีหาศน์  ภายใต้เศวตรฉัตรที่ยกขึ้น  ทอดพระเนตรดูเหล่า

นางนักสนมทั้งหลาย  ไม่เห็นพระเทวี  จึงตรัสถามนางข้าบาทบริจาริกา

ทั้งหลายว่า  พระเทวีไปไหน  ?  นางข้าบาทบริจาริกาทั้งหลายกราบทูลว่า

พระนางทรงพระประชวร  พระเจ้าข้า.  พระราชาจึงเสด็จไปยังสำนักของ

พระเทวี  ประทับนั่งบนข้างพระที่บรรทมแล้ว  ทรงลูบพระปฤษฎางค์

ตรัสถามว่า  น้องนางผู้เจริญ  เธอไม่มีผาสุกสำราญอะไรหรือ  ?  พระ-

เทวีทูลว่า  ข้าแต่มหาราช  ชื่อว่าความไม่ผาสุกสำราญอย่างอื่นไม่มี  แต่

กระหม่อมฉันเกิดการแพ้พระครรภ์  พระเจ้าข้า.  พระราชาตรัสถามว่า

น้องนางผู้เจริญ  เธอต้องการอะไร  ?  พระเทวีทูลว่า  กระหม่อมฉัน

ต้องการผลมะม่วงชื่ออัพภันตระพระเจ้าข้า.  พระราชาตรัสถามว่า  เทวี

มะม่วงชื่ออัพภันตระมีอยู่ที่ไหน  ?  พระเทวีทูลว่าขอเดชะ  กระหม่อมฉัน

จะรู้จักมะม่วงชื่อว่าอัพภันตระก็หามิได้  เป็นแต่ว่า  เมื่อกระหม่อมฉัน

ได้ผลของต้นมะม่วงชื่อว่าอัพภันตระนั้น  ก็จะมีชีวิตอยู่  เมื่อไม่ได้  คง

จะไม่มีชีวิตพระเจ้าข้า.  พระราชาตรัสว่า.  ถ้าอย่างนั้น  เราจักให้นำมา

เธออย่าเสียใจไปเลย.  พระราชาครั้นทรงปลอบโยนพระเทวีให้เบา

พระทัยแล้ว  จึงเสด็จลุกขึ้นไปประทับนั่งบนราชบัลลังก์  รับสั่งให้

เรียกอำมาตย์ทั้งหลายมาแล้วตรัสถามว่า  พระเทวีเกิดการแพ้พระครรภ์

อยากจะเสวยมะม่วงชื่อว่าอัพภันตระ  ควรจะทำอย่างไร  ?  อำมาตย์

ทั้งหลายกราบทูลว่า  ข้าแต่สมมติเทพ  มะม่วงที่ตั้งอยู่ระหว่างกลาง

มะม่วง    ต้น  ชื่อว่ามะม่วงอัพภันตระ.  พวกข้าพระพุทธเจ้าจักส่งคน

ไปยังพระราชอุทยาน  ให้นำผลจากมะม่วงที่ตั้งอยู่ในระหว่างต้นมะม่วง

ทั้งสองต้นมาให้ประทานแก่พระเทวี.  พระราชาตรัสว่า  ดีแล้ว  พวก

ท่านจงนำเอาผลมะม่วงเห็นปานนั้นมา  แล้วทรงส่งราชบุรุษไปยัง

พระราชอุทยาน.  ท้าวสักกะทรงบรรดาลให้ผลมะม่วงทั้งหลายในพระ

ราชอุทยานอันตรธานไปเหมือนอย่างถูกคนเคี้ยวกินด้วยอานุภาพของ

พระองค์.  ราชบุรุษทั้งหลายผู้ไปเพื่อต้องการผลมะม่วง  เทียวไปตลอด

พระราชอุทยานทั้งสิ้น  ไม่ได้แม้มะม่วงกับผลเดียว  จึงกลับมากราบทูล

พระราชา  ถึงความที่ผลมะม่วงไม่มีในพระราชอุทยาน  พระราชา

ตรัสถามว่า  ใครกินมะม่วงหมด  ?  พวกราชบุรุษกราบทูลว่า  พวกดาบส

พระเจ้าข้า.  พระราชาตรัสว่า  พวกท่านจงโบยตีดาบสทั้งหลายนำออก

ไปจากพระราชอุทยาน.  พวกราชบุรุษรับพระบัญชาแล้วพากันนำ

พระดาบสทั้งหลายออกไปจากพระราชอุทยาน.  เป็นอันว่า  มโนรถ

ของท้าวสักกะบรรลุถึงที่สุดสมประสงค์.  พระเทวีก็ยังทรงบรรทมอยู่

นั่นแหละโดยผูกพระทัยเพื่อจะเสวยผลมะม่วงให้ได้.  เมื่อพระราชาไม่

ทรงเห็นลู่ทางที่จะพึงกระทำ  จึงสั่งให้อำมาตย์และพราหมณ์ทั้งหลาย

ประชุมกันแล้วตรัสถามว่า  ท่านทั้งหลายยังจะทราบว่ามะม่วงอัพภันตระ

มีอยู่หรือ  ?  พราหมณ์ทั้งหลายกราบทูลว่า  ขอเดชะ  ชื่อว่ามะม่วง

อัพภันตระเป็นเครื่องบริโภคของเทวดาทั้งหลาย  มีอยู่ภายในถ้ำทองใน

ป่าหิมพานต์  พวกข้าพระพุทธเจ้าได้ยินสืบๆ  กันมาดังนี้  พระราชาตรัส

ถามว่า  ก็ใครเล่าจักสามารถนำเอามะม่วงจากป่าหิมพานต์นั้นมาได้  ?

พวกพราหมณ์กราบทูลว่า  ผู้ที่เป็นมนุษย์ไม่สามารถจะไปในที่นั้นได้

ควรจะส่งสุวโปดกลูกนกแขกเต้าตัวหนึ่งไป.  ก็สมัยนั้น  ในราชสกุล

มีลูกนกแขกเต้าตัวหนึ่ง  ตัวใหญ่ประมาณเท่าดุมล้อแห่งยานของ

พวกเด็กๆ  สมบูรณ์ด้วยเรี่ยวแรงมีปัญญา  ฉลาดในอุบาย.  พระราชา

จึงให้นำสุวโปดกนั้นมาแล้วตรัสว่า  ดูก่อนพ่อสุวโปดก  เรามีอุปการะ

เป็นอันมากแก่เจ้า  เจ้าได้อยู่ในกรงทอง  กินข้าวตอกคลุกน้ำผึ้งในจาน

ทอง  ดื่มน้ำเจือน้ำตาลกรวด  แม้เจ้าก็ควรจะช่วยเหลือทำกิจอันหนึ่ง

ของเรา.  สุวโปดกถามว่า  ข้าแต่สมมติเทพ  กิจอะไร  พระเจ้าข้า  ?

พระราชาตรัสว่า  ดูก่อนพ่อ  พระเทวีเกิดแพ้พระครรภ์  อยากจะเสวย

มะม่วงอัพภันตระ  ก็มะม่วงนั้นมีอยู่ในระหว่างกาญจนบรรพต  ในป่า

หิมพานต์  เป็นเครื่องบริโภคของเทวดาทั้งหลาย  ผู้เป็นมนุษย์ไม่อาจ

ไปในที่นั้น  ท่านควรนำผลมะม่วงจากป่าหิมพานต์นั้นมา.  สุวโปดก

กราบทูลว่า  ข้าแต่สมมติเทพ  ได้พระเจ้าข้า  ข้าพระองค์จักนำมาถวาย.

ลำดับนั้น  พระราชาจึงให้สุวโปดกนั้นกินข้าวตอกเคล้าน้ำผึ้งในจานทอง

ให้ดื่มน้ำเจือน้ำตาลกรวด  ทาระหว่างปีกของสุวโปดกนั้นด้วยน้ำมัน

อันสุกได้ร้อยครั้ง  แล้วอุ้มเสด็จไปประทับยืนที่สีหบัญชรแล้วปล่อยไป

ในอากาศ.  ฝ่ายสุวโปดกนั้นแสดงการเคารพต่อพระราชาแล้วบินไปใน

อากาศ  ล่วงเลยถิ่นมนุษย์ไปถึงสำนักของนกแขกเต้าทั้งหลายผู้อยู่ใน

ระหว่างภูเขาที่หนึ่ง  ในหิมวันตประเทศ  แล้วถามว่า  มะม่วงชื่ออัพภัน-

ตระมีอยู่ที่ไหน  ท่านทั้งหลายจงบอกสถานที่นั้นแก่ข้าพเจ้า.  พวกนก

แขกเต้ากล่าวว่า  พวกเราไม่รู้จัก  พวกนกแขกเต้า  ในระหว่างภูเขาที่

สองคงจักรู้.  สุวโปดกนั้นได้ฟังดังนั้น  จึงได้บินจากนั้นไปถึงระหว่าง

เขาที่สอง  ที่สาม  ที่สี่  ที่ห้า  ที่หก  ก็ถามเหมือนอย่างนั้น.  นกแขกเต้า

ทั้งหลายในระหว่างภูเขาที่หกแม้นั้นกล่าวกะสุวโปดกนั้นว่า  พวกเรา

ไม่รู้  พวกนกแขกเต้า  ในระหว่างภูเขาที่  ๗ คงจักรู้.  สุวโปดกนั้น

จึงบินในระหว่างภูเขาที่    แม้นั้น  แล้วถามว่า  มะม่วงชื่ออัพภันตระ

มีอยู่ที่ไหน  ?  นกแขกเต้าเหล่านั้นกล่าวว่า  มีอยู่ในระหว่างกาญจน-

บรรพตในที่ชื่อโน้น.  สุวโปดกกล่าวว่า  ข้าพเจ้ามาเพื่อต้องการผล

ของมะม่วงอัพภันตระนั้น  ท่านทั้งหลายโปรดนำข้าพเจ้าไปที่นั้นแล้ว

จงให้ผลจากมะม่วงชื่อว่าอัพภันตระนั้นแก่ข้าพเจ้าด้วยเถิด.  หมู่นก

แขกเต้ากล่าวว่า  สหาย  มะม่วงอัพภันตระนั้น  เป็นเครื่องบริโภคของ

ท้าวเวสวัณมหาราช  ใครๆ  ไม่อาจเข้าไปใกล้  ต้นไม้ทั้งสิ้นล้อมด้วย

ตาข่ายเหล็ก    ชั้น  ตั้งแต่ราก  มีกุมภัณฑ์และรากษสจำนวนพัน

รักษาอยู่  ผู้ที่หมู่กุมภัณฑ์และรากษสเหล่านั้นเห็นแล้ว  จะไม่มีชีวิต

รอด  สถานที่นั้นเหมือนอเวจีมหานรก  ประดุจไฟลุกอยู่ตลอดกัป  ท่าน

อย่าได้กระทำความปรารถนาในที่นั้นเลย.  สุวโปดกกล่าวว่า  ถ้าท่าน

ทั้งหลายไม่ไปขอจงบอกที่นั้นแก่ข้าพเจ้า.  นกแขกเต้าทั้งหลายกล่าวว่า

ถ้าอย่างนั้น  ท่านจงไปทางโน้นๆ.  สุวโปดกนั้นทรงจำหนทางได้แม่น

ยำ  ตามที่นกแขกเต้าเหล่านั้นบอก  จึงบินไปยังที่นั้น  ไม่แสดงตน

ในตอนกลางวัน  ในระหว่างมัชฌิมยาม  ในเวลาที่พวกรากษสนอน

หลับ  จึงเข้าไปใกล้ต้นมะม่วงอัพภันตระเริ่มค่อย ๆ  ปีนขึ้นทางระหว่าง

โคนต้นหนึ่ง  ตาข่ายเหล็กก็กระทบกันเสียงดังกริ๊กๆ.  พวกรากษส

เหล่านั้นตื่นขึ้นแลเห็นสุวโปดกอยู่ข้างใน  จึงจับเอาไว้โดยหาว่าเป็น

โจรลักมะม่วง  แล้วจัดแจงจะลงเครื่องกรรมกรณ์.  รากษสตนหนึ่ง

กล่าวว่า  เราจะใส่ปากกลืนกินมัน.  รากษสอีกตนหนึ่งกล่าวว่า  เรา

จะขยี้ด้วยมือทั้งสอง  ทำมันให้แหลกกระจาย  รากษสอีกตนหนึ่ง

กล่าวว่า  เราจะผ่าให้เป็นสองซีกปิ้งที่ถ่านไฟแล้วกินเสีย.  สุวโปดก

นั้น  แม้จะได้ยินการจัดแจงลงกรรมกรณ์  ของรากษสเหล่านั้นก็มิได้

หวาดเสียวเลย  เรียกพวกรากษสเหล่านั้นมาแล้วกล่าวว่า  ท่านรากษส

ผู้เจริญ  พวกท่านเป็นราชบุรุษของใคร.  พวกรากษสกล่าวว่า  เป็น

ราชบุรุษของท้าวเวสวัณมหาราช.  สุวโปดกกล่าวว่า  แม้พวกท่านก็

เป็นราชบุรุษของพระราชาองค์หนึ่ง  แม้เราก็เป็นราชบุรุษของพระ-

ราชาผู้เป็นมนุษย์เหมือนกัน  พระเจ้าพาราณสีทรงส่งเรามาเพื่อต้อง

การผลมะม่วงอัพภันตระ  เรานั้นได้สละชีวิตเพื่อพระราชาของเราใน

เมืองพาราณสีนั้นนั่นแลจึงได้มา  ก็บุคคลใดสละชีวิตเพื่อประโยชน์

แก่บิดามารดาและเจ้านายของตน  บุคคลนั้นย่อมบังเกิดในเทวโลก

เที่ยงแท้  เพราะฉะนั้น  แม้เราพ้นจากกำเนิดดิรัจฉานนี้แล้ว  จัก

บังเกิดในเทวโลกเท่านั้น  แล้วกล่าวคาถาที่    ว่า  :-

              บุคคลผู้กล้าหาญ  ยอมเสียสละตน  พาก

       เพียรพยายามในประโยชน์ของท่านที่ได้เลี้ยง

       ตนมา  ย่อมถึงฐานะอันใด  ข้าพเจ้าเป็นผู้จะ

       ได้ฐานะอันนั้น.

       บรรดาบทเหล่านั้น  บทว่า  ภตฺตุรตฺเถ  ความว่า  บุคคลผู้

พอกเลี้ยงด้วยการเลี้ยงดูด้วยอาหารเป็นต้น  เรียกว่าผู้เลี้ยงดู.  บุคคล

ผู้กล้าหาญเพียรพยายามเพื่อประโยชน์  แก่ท่านที่เลี้ยงดูนั้นแม้    ท่าน

คือบิดา    มารดา    เจ้านาย    บทว่า  ปรกฺกนฺโต  ได้แก่  ผู้

กระทำความบากบั่นคือพยายาม.  บทว่า  ยํ  €านมธิคจฺฉติ  ความว่า

ย่อมบรรลุถึงเหตุแห่งความสุขใด  จะเป็นยศ  ลาภ  หรือสวรรค์สมบัติ

ก็ตาม.  บทว่า  สูโร  ได้แก่  ผู้ไม่ขลาด  คือ  เพียบพร้อมด้วยความ

พากเพียร.  บทว่า  อตฺตปริจฺจาคี  ความว่า  เป็นผู้ไม่ห่วงใยในกาย

และชีวิต  สละตน  เพราะประโยชน์ของท่านผู้ที่เลี้ยงดูตนแม้ทั้งสาม

ท่านนั้น.  บทว่า  ลภมาโน  ภวามหํ  ความว่า  บุคคลผู้กล้าหาญเห็น

ปานนี้นั้นย่อมได้ฐานะอันใด  จะเป็นเทวสมบัติหรือมนุษย์สมบัติก็ตาม

แม้เราก็จะเป็นผู้ได้ฐานะอันนั้น  เพราะฉะนั้น  เราจึงมีแต่ความร่าเริง

เท่านั้น  ไม่มีความสะดุ้งในเรื่องนี้  ก็ท่านทั้งหลายจะทำเราให้สะดุ้ง

หวาดเสียวได้อย่างไร.

       สุวโปดกนั้นแสดงธรรมแก่พวกรากษสเหล่านั้น  ด้วยคาถานี้

ด้วยประการอย่างนี้.  พวกรากษสเหล่านั้นฟังธรรมของสุวโปดกนั้น

แล้ว  มีจิตเลื่อมใสกล่าวว่า  สุวโปดกนี้เป็นผู้ตั้งอยู่ในธรรม  ใครๆ

ไม่อาจฆ่าให้ตาย  พวกเราจงปล่อยสุวโปดกนั้นเสียเถิด  ว่าแล้วก็ปล่อย

สุวโปดกพลางกล่าวว่า  ดูก่อนสุวโปดกผู้เจริญ  ท่านเป็นผู้พ้นภัยแล้ว

ท่านจงไปจากมือของพวกเราโดยความสวัสดีเถิด.  สุวโปดกกล่าวว่า

ท่านทั้งหลายอย่าได้กระทำการมาของข้าพเจ้าให้เปล่าประโยชน์เลย

จงให้ผลมะม่วงแก่ข้าพเจ้าสักผลหนึ่ง.  รากษสทั้งหลายกล่าวว่า.  ดูก่อน

สุวโปดก ชื่อว่าการให้ผลมะม่วงผลหนึ่งแก่ท่าน  หาได้เป็นภาระหน้าที่

ของพวกเรา  ด้วยว่ามะม่วงบนต้นนี้  ท้าวเวสวัณมานับไว้ๆ  เมื่อ

ขาดหายไม่มีแม้แต่ผลเดียว  ชีวิตของพวกเราก็จะไม่มี  เพราะเมื่อท้าว

เวสวัณโกรธแลดูคราวเดียว  พวกเราก็จะเป็นเหมือนเมล็ดงาที่ใส่ลง

ในกระเบื้องอันร้อน  กุมภัณฑ์ทั้งพันตนก็จะแตกละเอียดกระจายไป

ด้วยเหตุนั้น  พวกเราจึงไม่อาจให้แก่ท่าน  แต่พวกเราจักบอกสถานที่

ที่พอจะหาได้.  สุวโปดกกล่าวว่า  คนใดคนหนึ่งผู้สามารถจะให้ได้

ท่านทั้งหลายจงบอกสถานที่ที่ได้เถิด.  รากษสเหล่านั้นจึงบอกว่า  ใน

ระหว่างตาข่ายแห่งกาญจนบรรพตนี้  มีดาบสชื่อโชติรสท่านบูชาไฟ

อยู่ในบรรณศาลาชื่อว่ากาญจนปันตี  ท่านเป็นกุลุปกะ  คือนักบวช

ประจำตระกูลของท้าวเวสวัณ  และท้าวเวสวัณส่งผลมะม่วงไปถวาย

เป็นประจำวันละ    ผล  ท่านจงไปยังสำนักของพระดาบสนั้นเถิด.

สุวโปดกรับคำแล้วบินไปยังสำนักของดาบสนั้นไหว้แล้วจับอยู่    ที่

ควรส่วน ข้างหนึ่ง.  ลำดับนั้น  ดาบสจึงถามสุวโปดกนั้นว่า  เธอมาจาก

ไหน  ?  สุวโปดกเรียนว่า  มาจากสำนักของพระเจ้าพาราณสี.  พระ-

ดาบสถามว่า  มาเพื่อต้องการอะไร  ?  สุวโปดกเรียนว่า  พระเทวีของ

พระราชาแห่งกระผมเกิดความแพ้พระครรภ์  อยากเสวย  มะม่วง

สุกชื่ออัพภันตระ  กระผมจึงได้มาเพื่อต้องการมะม่วงชื่ออัพภันตระนั้น

แต่พวกรากษสจะให้มะม่วงสุกชื่อว่าอัพภันตระแก่ผมด้วยตนเองไม่

ได้  จึงส่งมายังสำนักของพระคุณเจ้า.  พระดาบสกล่าวว่า  ถ้าอย่างนั้น

เธอจงนั่งคอยก่อนจึงจักได้  ลำดับนั้น  ท้าวเวสวัณส่งผลมะม่วง   

ผล  มาถวายพระดาบสนั้น.  พระดาบสฉันไป    ผล  จาก    ผลนั้น

ได้ให้สุวโปดกกินผลหนึ่ง  เมื่อสุวโปดกนั้นกินมะม่วงผลนั้นแล้ว  พระ-

ดาบสจึงเอามะม่วงอีกผลหนึ่งใส่สาแหรกคล้องคอสุวโปดก  แล้วกล่าว

เธอจงไปในบัดเดี๋ยวนี้  แล้วก็ปล่อยสุวโปดกนั้นไป.  สุวโปดกนั้นได้

นำผลมะม่วงนั้นมาถวายพระเทวี.  พระเทวีเสวยผลมะม่วงนั้นแล้วก็ยัง

ความแพ้พระครรภ์ให้สงบระงับลงได้.  พระราชาทรงชื่นชมโสมนัส

อันมีการได้มะม่วงอัพภันตระนั้นมาเป็นเหตุ  แต่พระราชเทวีนั้นมิได้

มีพระราชโอรส.

       พระศาสดาครั้นทรงนำพระธรรมเทศนานี้มาแล้ว  ทรงประชุม

ชาดกว่า  พระเทวีในกาลนั้นได้เป็นราหุลมารดาในบัดนี้  สุวโปดกใน

กาลนั้น  ได้เป็นราหุล  พระราชาในกาลนั้นได้เป็นพระอานนท์  ดาบส

ผู้ให้มะม่วงสุกในกาลนั้น  ได้เป็นพระสารีบุตร  ส่วนดาบสผู้อยู่ใน

พระราชอุทยานในครั้งนั้น  ได้เป็นเราตถาคต  ฉะนี้แล.

                           จบ  อรรถกถาอัพภันตรชาดกที่