อรรถกถากัจฉปชาดกที่ 

       พระศาสดาเมื่อประทับอยู่    พระวิหารเชตวัน  ทรงปรารภการ

สงบระงับความทะเลาะแห่งอำมาตย์ทั้งสองของพระเจ้าโกศล  จึงตรัส

เรื่องนี้  มีคำเริ่มต้นว่า  โก  นุ  วฑฺฒิตภตฺโตว  ดังนี้.  ก็เรื่องที่เกิดขึ้น

ในปัจจุบัน  ได้กล่าวไว้แล้วในทุกนิบาตนั่นแล.

       ในอดีตกาล  เมื่อพระเจ้าพรหมทัตครองราชสมบัติอยู่ใน

พระนครพาราณสี  พระโพธิสัตว์บังเกิดในตระกูลพราหมณ์  ในแคว้น

กาสิกรัฐ  พอเจริญวัยแล้ว  เล่าเรียนศิลปศาสตร์ทุกอย่างในเมือง

ตักกศิลา  แล้วละกามทั้งหลายออกบวชเป็นฤาษี  สร้างอาศรมบทอยู่

ที่ฝั่งแม่น้ำคงคาใกล้หิมวันตประเทศ  ทำอภิญญาและสมาบัติให้บังเกิด

ในที่นั้นแล้วเล่นฌานสำเร็จการอยู่ในที่นั้น.  ได้ยินว่า  ในชาดกนี้

พระโพธิสัตว์เป็นผู้มีตนเป็นกลางอย่างยิ่ง  ทรงบำเพ็ญอุเบกขาบารมี.

เมื่อพระโพธิสัตว์นั้นนั่งอยู่ที่ประตูบรรณศาลา  ลิงทุศีลซุกซนตัวหนึ่ง

มาถึงก็เอาองคชาตสอดเข้าในช่องหูทั้งสองข้าง  ฝ่ายพระโพธิสัตว์ก็ไม่

ได้ห้ามวางเฉยอยู่นั่นแหละ.  อยู่มาวันหนึ่ง  เต่าตัวหนึ่งขึ้นมาจากน้ำ

นอนผิงแดดอ้าปากอยู่ที่ฝั่งแม่น้ำคงคา.  ลิงโลเลตัวนั้นเห็นดังนั้น

จึงได้สอดองคชาตเข้าในปากของเต่านั้น.  ลำดับนั้น  เต่าตื่นขึ้นจึงงับ

องคชาตของลิงนั้นไว้  เหมือนกับใส่ไว้ในสมุคฉะนั้น.  เวทนามีกำลัง

เกิดขึ้นแก่ลิงนั้น  มันไม่สามารถจะอดกลั้นเวทนาได้จึงคิดว่า  ใครหนอ

จักปลดเปลื้องเราจากทุกข์นี้  เราจักไปหาใครดี  แล้วมาคิดว่า  คนอื่น

ชื่อว่าผู้สามารถปลดเปลื้องเราจากทุกข์นี้  ยกเว้นพระดาบสเสีย  ย่อม

ไม่มี  เราควรจะไปหาพระดาบสเท่านั้น  คิดแล้วจึงเอามือทั้งสองอุ้มเต่า

ไปหาพระโพธิสัตว์.  พระโพธิสัตว์เมื่อจะทำการเยาะเย้ยลิงทุศีลตัวนั้น

จึงกล่าวคาถาที่    ว่า  :-

              ใครหนอเดินมา  เหมือนบุคคลผู้รวย

       อาหาร  เหมือนพราหมณ์ผู้ได้ลาภมาเต็มมือ

       ท่านไปเที่ยวภิกขาจารที่ไหนหนอ  หรือท่าน

       เข้าไปหาผู้มีศรัทธาคนไรมา.

       บรรดาบทเหล่านั้น  บทว่า  โก  นุ  วฑฺฒิตภตฺโตว  ความว่า

นั่นใคร  เหมือนคนร่ำรวยภัต  คือ  นั่นใครหนอเหมือนเอามือทั้งสอง

ประคองถาดเต็มด้วยภัตที่เขาคดไว้พูนถาดหนึ่งเดินมา.  บทว่า  ปูรหตฺ-

โถว  พฺราหฺมโณ  ความว่า  นั่นใครหนอ  เหมือนพราหมณ์มีลาภ

เต็มมือ  เพราะได้ร่ายเวทในเดือน  ๑๒.  พระโพธิสัตว์หมายเอาวานร

จึงกล่าวดังนี้.  บทว่า  กหนฺนุ  ภิกฺขํ  อจริ  ความว่า  วานรผู้เจริญ

วันนี้ท่านไปเที่ยวภิกขาจารในถิ่นไหน.  ด้วยบทว่า  กํ  สทฺธํ  อุปสงฺกมิ

นี้พระโพธิสัตว์แสดงว่า  ภัตของผู้มีศรัทธาที่เขาทำอุทิศบุรพเปตชน

ชื่อไร  หรือบุคคลผู้มีศรัทธาคนไหนที่ท่านเข้าไปหา  คือว่าไทยธรรมนี้

ท่านได้มาแต่ไหน.

       วานรทุศีลได้ฟังดังนั้นจึงกล่าวคาถาที่    ว่า  :-

              ดูก่อนท่านผู้เจริญ  ข้าพเจ้าเป็นลิง

       ทรามปัญญาจับต้องสิ่งที่ไม่ควรจับต้อง  ขอ

       พระคุณเจ้าโปรดเปลื้องข้าพเจ้าให้พ้นทุกข์

       ด้วยเถิด  ขอความเจริญจงมีแก่พระคุณเจ้า

       ข้าพเจ้าพ้นจากความฉิบหายนี้แล้วจะไปอยู่

       ที่ภูเขา.

       บรรดาบทเหล่านั้น  บทว่า  อหํ  กปิสฺมิ  ทุมฺเมโธ  ความว่า

ขอความเจริญจงมีแก่พระคุณเจ้า  ข้าพเจ้าเป็นลิงทรามปัญญามีใจ

รวนเร.  บทว่า  อนามาสานิ  อามสึ  ได้แก่  จับต้องฐานะที่ไม่

ควรจับต้อง.  บทว่า  ตฺวํ  มํ  โมเจยฺย  ภทฺทนฺเต  ความว่า  ขอความ

เจริญจงมีแก่พระคุณเจ้าผู้มีความเอ็นดูกรุณาปลดเปลื้องข้าพเจ้าให้พ้น

จากทุกข์นี้.  บทว่า  มุตฺโต  คจฺเฉยฺย  ปพฺพตํ  ความว่า  ข้าพเจ้า

นั้นพ้นจากความฉิบหายนี้ด้วยอานุภาพของท่านจะไปอยู่ยังภูเขา  จะ

ไม่แสดงตนในคลองจักษุของท่านอีก.

       พระโพธิสัตว์  เพราะความกรุณาในลิง  เมื่อจะเจรจากับเต่า

จึงกล่าวคาถาที่  ๓ ว่า :-

              เต่าทั้งหลายเป็นสัตว์สืบเนื่องมาจาก

       กัสสปโคตร  ลิงทั้งหลายเป็นสัตว์สืบเนื่อง

       มาจากโกณฑัญญโคตร  ดูก่อนเต่าผู้เทือก

              แถวกัสสปโคตร  ท่านจงปล่อยลิงผู้เทือก

       แถวโกณฑัญญโคตรเสียเถิด  ท่านคงเคยทำ

       เมถุนธรรมกันแล้ว.

       คาถานั้นมีใจความว่า  ธรรมดาเต่าทั้งหลายเป็นกัสสปโคตร

ส่วนลิงทั้งหลายเป็นโกณฑัญญโคตร  ก็กัสสปโคตรกับโกณฑัญญโคตร

ต่างมีความสัมพันธ์กันและกันโดยอาวาหะและวิวาหะ  คือนำเจ้าสาว

มาบ้านเจ้าบ่าว  และนำเจ้าบ่าวไปบ้านเจ้าสาว  ลิงโลเลกับท่าน  หรือ

ท่านกับลิงทุศีลตัวนี้  คงจะได้  กระทำเมถุนธรรม  กล่าวคือกรรมของ

ผู้ทุศีล  อันสมควรแก่เมถุนธรรม  คือที่เหมือนกับโคตรทำมาแล้ว

เป็นแน่  เพราะฉะนั้น  ดูก่อนเต่าผู้เป็นกัสสปโคตรท่านจงปล่อยลิง

ผู้เป็นโกณฑัญญโคตรเสียเถิด.

       เต่าได้ฟังคำของพระโพธิสัตว์มีความเลื่อมใสในเหตุผล  จึง

ปล่อยองคชาตของลิง.  ฝ่ายลิงพอหลุดพ้นเท่านั้น  ได้ไหว้พระโพธิสัตว์

แล้วหนีไป  ทั้งไม่กลับมามองดูสถานที่นั้นอีก.  ฝ่ายเต่า  ไหว้

พระโพธิสัตว์แล้วได้ไปยังที่อยู่ของตนทันที.  แม้พระโพธิสัตว์ก็มิได้

เสื่อมจากฌาน  ได้มีพรหมโลกเป็นที่ไปในเบื้องหน้า.

       พระศาสดาครั้นทรงนำพระธรรมเทศนานี้มาแล้ว  ทรงประกาศ

อริยสัจ    แล้วทรงประชุมชาดกว่า  เต่าและลิงในครั้งนั้นได้เป็น

อำมาตย์    คน  ในบัดนี้  ส่วนดาบสในครั้งนั้น  ได้เป็นเราตถาคต

ฉะนี้แล

                           จบ  อรรถกถากัจฉปชาดกที่