พระศาสดาเมื่อประทับอยู่ ณ
พระวิหารเชตวัน ทรงปรารภ
การทะเลาะของกาและนกเค้า จึงตรัสเรื่องนี้ มีคำเริ่มต้นว่า สพฺเพหิ
กิร ญาตีหิ ดังนี้.
ได้ยินว่า ในกาลครั้งนั้น กาทั้งหลายพากันกินนกเค้าทั้งหลาย
ในตอนกลางวัน ฝ่ายนกเค้าทั้งหลาย จำเดิมแต่พระอาทิตย์อัศดงคต
ก็พากันเฉี่ยวศีรษะของพวกกาที่นอนอยู่ในที่นั้นๆ ทำให้พวกกาเหล่า-
นั้นถึงความสิ้นชีวิตไป. ศีรษะกาแม้มากมาย เปื้อนเลือดประมาณ
๗-๘ ทนาน หล่นจากต้นไม้
ภิกษุรูปหนึ่งผู้อยู่ในบริเวณแห่งหนึ่ง
ท้ายพระวิหารเชตวัน ต้องเก็บทิ้งในเวลากวาด. ภิกษุนั้นจึงบอกเนื้อ
ความนั้นแก่ภิกษุทั้งหลาย. ภิกษุเหล่านั้นนั่งสนทนากันในโรงธรรม-
สภาว่า ดูก่อนผู้มีอายุทั้งหลาย ได้ยินว่า ในเวลาที่ภิกษุรูปโน้นกวาด
จะต้องทิ้งศีรษะกาทั้งหลายมีประมาณเท่านี้ทุกวันๆ พระศาสดาเสด็จ
มาแล้วตรัสถามว่า ภิกษุทั้งหลาย บัดนี้พวกเธอนั่งประชุมกันด้วย
เรื่องอะไร?
เมื่อภิกษุเหล่านั้นกราบทูลให้ทรงทราบแล้ว จึงตรัสว่า
มิใช่ในบัดนี้เท่านั้นน่ะ ภิกษุทั้งหลาย แม้ในกาลก่อน
กากับนกเค้า
ก็ได้กระทำการทะเลาะกันมาแล้ว. ภิกษุทั้งหลายทูลถามว่า ข้าแต่
พระองค์ผู้เจริญ กากับนกเค้าก่อเวรแก่กันและกันขึ้นในคราวไร
พระเจ้าข้า?
พระศาสดาตรัสว่า
จำเดิมแต่กาลอันเป็นปฐมกัปทีเดียว
แล้วทรงนำเอาเรื่องในอดีตมาสาธก ดังต่อไปนี้ :-
ในอดีตกาล ครั้งปฐมกัป มนุษย์ทั้งหลายประชุมกัน คัด
เลือกบุรุษคนหนึ่งผู้มีรูปงาม ถึงความเป็นผู้เลิศด้วยความงาม สมบูรณ์
ด้วยมารยาท บริบูรณ์ด้วยอาการทั้งปวง แต่งตั้งให้เป็นพระราชา.
ฝ่ายสัตว์ ๔
เท้าก็ประชุมกันตั้งราชสีห์ให้เป็นพระราชา. พวกปลาใน
มหาสมุทรก็ได้ตั้งปลาอานนท์ให้เป็นพระราชา. ลำดับนั้น หมู่นก
พากันประชุมที่หินดาดแห่งหนึ่ง ในหิมวันตประเทศ ปรึกษากันว่า
ในหมู่มนุษย์พระราชาก็ปรากฏ ในสัตว์ ๔
เท้าและปลาทั้งหลาย ก็
ปรากฏเหมือนอย่างนั้น แต่ในระหว่างพวกเรา พระราชายังไม่มี
ธรรมดาว่า การอยู่โดยไม่มีที่พึ่ง ย่อมไม่ควร แม้พวกเราก็ควรจะ
ได้พระราชา
พวกเราจงกำหนดนกตัวหนึ่งผู้สมควรตั้งไว้ในตำแหน่ง
พระราชา. นกทั้งหลายพิจารณาหานกเช่นนั้น เห็นนกเค้าตัวหนึ่ง
ก็ชอบใจ จึงกล่าวว่า เราชอบใจนกตัวนี้.
ลำดับนั้น นกตัวหนึ่งจึง
ประกาศขึ้น ๓ ครั้ง เพื่อต้องการหยั่งดูอัธยาศัยใจคอของนกทุกตัว.
เมื่อนกตัวนั้นร้องประกาศอยู่ ๒
ครั้ง
ก็ยังสงบเงียบอยู่ ในเวลาจะ
ประกาศครั้งที่ ๓
กาตัวหนึ่งลุกขึ้นกล่าวว่า
ก่อนอื่น ในเวลาอภิเษก
เป็นพระราชาครั้งนี้ หน้าของนกเค้าผู้ยังไม่โกรธ ยังเห็นปานนี้ก่อน
เมื่อเขาโกรธ หน้าจักเป็นเช่นไร ก็พวกเขาผู้ถูกนกเค้าตัวนี้โกรธ
แลดูแล้วจักแตกตื่นกันในที่นั้นทันที เหมือนเกลือที่ใส่ในกระเบื้อง
ร้อนฉะนั้น การตั้งนกเค้านี้ให้เป็นพระราชา ข้าพเจ้าหาพอใจไม่
เมื่อจะประกาศเนื้อความนี้จึงกล่าวคาถาที่ ๑
ว่า :-
ได้ยินว่า พวกญาติทั้งปวงจะตั้งนก-
เค้าให้เป็นใหญ่ ถ้าพวกญาติอนุญาต ฉันจะ
ขอพูดสักคำหนึ่ง.
ความของคาถานั้นว่า ฉันได้ฟังการกล่าวประกาศ ซึ่งกำลัง
เป็นไปอยู่นั้น จึงขอกล่าว. ได้ยินว่าพวกญาติที่มาประชุมกันนี้ทั้งหมด
จะตั้งนกเค้าตัวนี้ให้เป็นพระราชา ก็ถ้าพวกญาติจะอนุญาตฉันไซร้
ฉันขอกล่าวอะไร
ๆ
สักคำหนึ่งที่จะพึงกล่าวในสมาคมนี้.
ลำดับนั้น นกทั้งหลายเมื่อจะอนุญาตกานั้น จึงกล่าวคาถาที่ ๒
ว่า :-
ดูก่อนสหาย เราทั้งหมดอนุญาตให้
ท่านพูด แต่จงพูดแต่ถ้อยคำที่เป็นอรรถและ
ธรรมอย่างเดียว เพราะว่านกหนุ่ม ๆ ที่มี
ปัญญาและทรงญาณอันรุ่งเรือง ยังมีอยู่.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ภณ สมฺม อนุญฺาโต ความว่า
ดูก่อนกาผู้สหาย พวกเราอนุญาต ท่านจงพูดสิ่งที่ควรพูดเถิด. บทว่า
อตฺถํ ธมฺมญฺจ เกวลํ
ความว่า
ก็เมื่อท่านจะกล่าวจงกล่าวอย่า
ให้ละเลยเหตุ และคำอันมีมาตามประเพณีเสีย. บทว่า ปญฺวนฺโต
ชุตินฺธรา ความว่า พวกนกแม้หนุ่ม ๆ
ที่สมบูรณ์ด้วยปัญญา และ
ทรงแสงสว่างแห่งญาณความรู้ยังมีอยู่เหมือนกัน.
กาตัวนั้นอันพวกนกอนุญาตอย่างนั้นแล้ว จึงกล่าวคาถาที่ ๓
ว่า :-
ขอความเจริญจงมีแก่ท่านทั้งหลาย
การแต่งตั้งนกเค้าให้เป็นใหญ่ ข้าพเจ้าไม่
ชอบใจ ท่านจงมองดูหน้าของนกเค้าผู้ไม่
โกรธเถิด นกเค้าโกรธแล้วจักทำหน้าตา
อย่างไร.
เนื้อความของคาถานั้นนั้นว่า ขอความเจริญจงมีแก่ท่านทั้ง
หลาย
การที่ท่านทั้งหลายทำการอภิเษกนกเค้าด้วยการประกาศ ๓
ครั้งนั้น ข้าพเจ้าไม่ชอบใจ ก็ท่านทั้งหลายจงมองดูหน้าของนกเค้านี้
ผู้ดีใจยังไม่โกรธขณะนี้ เราไม่รู้ว่า ก็นกเค้านี้โกรธแล้วจักกระ-
ทำหน้าอย่างไร การตั้งนกเค้าให้เป็นใหญ่นี้ ข้าพเจ้าจึงไม่ชอบโดย
ประการทั้งปวง.
กานั้นครั้นกล่าวอย่างนี้แล้วบินร้องไปในอากาศว่า ข้าพเจ้า
ไม่ชอบใจ ข้าพเจ้าไม่ชอบใจ. ฝ่ายนกเค้าก็บินขึ้นไล่ติดตามกานั้นไป.
ตั้งแต่นั้นมา กากับนกเค้าจึงได้ผูกเวรกันและกัน. นกทั้งหลายตั้ง
หงส์ทองให้เป็นพระราชา แล้วพากันหลีกไป.
พระศาสดาครั้นทรงนำพระธรรมเทศนานี้มาแล้ว ทรงประกาศ
สัจจะแล้วทรงประชุมชาดก. ในเวลาจบสัจจะ คนเป็นอันมากได้เป็น
พระโสดาบันเป็นต้น. หังสโปดกผู้ได้รับอภิเษกให้เป็นพระราชาใน
กาลนั้น ได้เป็นเราตถาคต ฉะนี้แล.
จบ อรรถกถาอุลูกชาดกที่ ๑๐