พระศาสดาเมื่อประทับอยู่    พระวิหารเชตวัน  ทรงปรารภ

ภิกษุผู้กระสันจะสึกรูปหนึ่ง  จึงตรัสเรื่องนี้มีคำเริ่มต้นว่า  ปาณิ  เจ

มุทุโก  จสฺส  ดังนี้

       ได้ยินว่า  พระศาสดาตรัสถามภิกษุนั้นผู้ที่ถูกนำมายังโรงธรรม-

สภาว่า  ดูก่อนภิกษุ  ได้ยินว่าเธอเป็นผู้กระสันจะสึกจริงหรือ  เมื่อ

ภิกษุนั้นทูลรับว่า  จริงพระเจ้าข้า  จึงตรัสว่า  ดูก่อนภิกษุ  ขึ้นชื่อว่า

หญิงทั้งหลายนี้ใครๆ  ไม่ควรจะรักษา  เพราะตามอำนาจของกิเลส

แม้โบราณกบัณฑิตทั้งหลาย  ทั้งที่จับมือธิดาของตนรักษาอยู่ก็ไม่อาจ

รักษาไว้ได้  ธิดายืนจับมือบิดาอยู่  ไม่ให้บิดารู้ตัวเลย  หนีไปกับบุรุษ

ด้วยอำนาจกิเลส  ครั้นตรัสดังนี้แล้วได้ทรงนิ่งเสีย  อันภิกษุเหล่านั้น

อ้อนวอนจึงทรงนำเอาเรื่องในอดีตมาสาธก  ดังต่อไปนี้  :-

       ในอดีตกาล  เมื่อพระเจ้าพรหมทัตครองราชสมบัติอยู่ในนคร

พาราณสี  พระโพธิสัตว์บังเกิดในพระครรภ์ของพระอัครมเหสีของ

พระเจ้าพรหมทัตนั้น  พอทรงเจริญวัยก็เล่าเรียนศิลปศาสตร์ทุกอย่าง

ในเมืองตักกศิลา  เมื่อพระราชบิดาสวรรคตแล้ว  ก็ดำรงอยู่ในราช-

สมบัติทรงครองราชย์โดยธรรม.  พระองค์ทรงเลี้ยงดูคนทั้งสอง  คือ

พระราชธิดา  และพระราชภาคิไนย  ไว้ในพระราชนิเวศน์ของพระองค์

วันหนึ่ง  ประทับอยู่กับพวกอำมาตย์  ดำรัสว่า  เมื่อเราล่วงไป  หลาน

ของเราจักได้เป็นพระราชา  ฝ่ายธิดาของเราจักได้เป็นอัครมเหสีของ

พระราชานั้น  ในกาลต่อมา  ในเวลาที่พระธิดาและพระภาคิไนยนั้น

เจริญวัย  ประทับอยู่กับพวกอำมาตย์อีกหนหนึ่ง  ตรัสว่า  เราจักนำ

ธิดาของพระราชาอื่นมาให้หลานเรา  และจักให้ธิดาของเราในราช-

ตระกูลอื่น  เมื่อเป็นอย่างนี้ญาติทั้งหลายของเราจักมากขึ้น.  อำมาตย์

เหล่านั้น  ก็รับพระบัญชา.  ลำดับนั้น  พระราชาจึงรับสั่งให้ประทาน

วังข้างนอกแก่พระภาคิไนย  ให้พระธิดาประทับอยู่ภายในพระราช-

นิเวศน์.  แต่คนทั้งสองนั้นได้มีจิตปฏิพัทธ์แก่กันและกันอยู่.  พระ-

กุมารคิดอยู่ว่า  ด้วยอุบายอะไรหนอ  จึงจะให้นำพระราชธิดามาไว้

ภายนอกได้  ทรงคิดได้ว่า  มีอุบาย  จึงให้สินจ้างแก่แม่นม  เมื่อแม่-

นมทูลว่า  ข้าแต่พระลูกเจ้า  มีกิจอะไร  จึงตรัสว่า  ข้าแต่แม่  เรา

ทั้งหลายใคร่จะนำพระราชธิดาไว้ภายนอกวัง  จะมีช่องทางอย่างไร

หนอ.  แม่นมทูลว่า  หม่อมฉันจักพูดกับพระราชธิดาแล้วจักรู้ได้.

พระกุมารตรัสว่า  ดีละแม่.  แม่นมนั้นไปแล้วทูลว่า  มาซิแม่หม่อมฉัน

จักจับเหาที่ศีรษะแม่  แล้วให้พระราชธิดานั้นประทับบนตั่งน้อยตัวเตี้ย

ตนเองนั่นบนตั่งน้อยตัวสูง  ให้ศีรษะของพระราชธิดานั้นซบอยู่ที่ขา

อ่อนทั้งสองของตน  จับเหาอยู่  จึงเอาเล็บของตนจิกศีรษะของพระ-

ราชธิดา.  พระราชธิดาทรงทราบว่า  แม่นมนี้ย่อมไม่เอาเล็บของตน

จิกเรา  แต่เอาเล็บคือความคิดอ่านแห่งพระกุมารผู้เป็นโอรสของพระ-

ปิตุจฉาของเราจิก  จึงตรัสถามว่า  แม่ได้ไปเฝ้าพระราชกุมาร

หรือจ๊ะแม่.  แม่นมทูลว่าจ้ะ  แม่ไปมา.  พระราชธิดาตรัสว่า  พระ-

ราชกุมารบอกข่าวอะไรมาแก่แม่หรือ.  แม่นมทูลว่า  พระราชกุมาร

ถามถึงอุบายที่พระองค์ให้เสด็จอยู่ภายนอกจ้ะแม่.  พระราชธิดาคิดว่า

พระราชกุมารแม้เป็นบัณฑิตมีปัญญาก็จักทรงรู้  จึงตรัสว่า  แม่จ๋า

แม่จงเรียนเอาคาถานี้ไปบอกพระราชกุมารเถิด  แล้วจึงตรัสคาถาที่ 

ว่า  :-

              ถ้าคนใช้ของท่านพึงมีฝ่ามืออ่อน 

       ช้างของท่านฝึกดีแล้ว    เวลามืด    ฝนตก 

       จะพึงมีในกาลใด  ความปรารถนาของท่านก็

       จะสมประสงค์ในกาลนั้นเป็นแน่.

       แม่นมนั้นเรียนเอาคาถานั้นแล้วไปเฝ้าพระกุมาร  เมื่อพระ-

กุมารตรัสว่า  พระราชธิดาตรัสอะไรจ๊ะแม่.  ทูลว่า  ข้าแต่พระลูกเจ้า

พระราชธิดาไม่ได้ตรัสคำอะไรๆ  อื่นเลย  ส่งแต่คาถานี้มา  แล้วยก

คาถานั้นขึ้นมา.  ฝ่ายพระกุมารทรงทราบเนื้อความของคาถานั้น.  จึง

สั่งแม่นมนั้นไปด้วยดำรัสว่า  ไปเถอะแม่.

       คาถานั้นมีความว่า  ถ้าคนใช้คนหนึ่งของพระองค์มีมืออ่อน

เหมือนมือของหม่อมฉัน    ถ้าช้างเชือกหนึ่งของพระองค์ฝึกให้ทำเหตุ

แห่งการไม่หวั่นไหวได้อย่างดี    วันนั้นมีความมืดจัดประดุจประกอบ

ด้วยองค์สี่    และฝนตก    เมื่อเป็นเช่นนั้น  ความปรารถนาของ

ท่านก็จะสมประสงค์ในกาลนั้นแน่  อธิบายว่า  เพราะอาศัยปัจจัย 

ประการนี้  ความปรารถนาแห่งใจของท่านก็จะถึงที่สุดโดยเด็ดขาดใน

กาลเช่นนั้น.

       พระกุมารทรงทราบความนั้นโดยถ่องแท้  จึงทรงทำการตระ-

เตรียมคนใช้คนหนึ่งมีรูปงามมืออ่อน  ให้สินจ้างแก่นายหัตถาจารย์ผู้

รักษามงคลหัตถี  ให้ฝึกช้างกระทำอาการไม่หวั่นไหวแล้วทรงรอคอย

เวลาอยู่.  ครั้นในวันอุโบสถข้างแรมวันหนึ่ง  เมฆฝนดำทมึนตกลงมา

ในระหว่างมัชฌิมยาม.  พระกุมารนั้น  ทรงกำหนดว่า  วันนี้  เป็น

วันที่พระราชธิดากำหนดไว้  จึงเสด็จขึ้นช้าง  ให้คนใช้มืออ่อนนั้นนั่ง

บนหลังช้าง  เสด็จไปประทับ    ที่ตรงกับเนินช่องว่างของพระราช-

นิเวศน์  ให้ช้างเบียดติดกับฝาใหญ่  ได้ประทับเปียกชุ่มอยู่    ที่ใกล้

พระแกล.  ฝ่ายพระราชาเมื่อจะรักษาพระธิดา  จึงมิให้บรรทมที่อื่นให้

บรรทมอยู่บนที่บรรทมน้อยใกล้กับพระองค์.  ฝ่ายพระธิดารู้ว่า  วันนี้

พระกุมารจะเสด็จมาก็บรรทมไม่หลับเลย  ทูลว่า  ข้าแต่พระบิดา

หม่อมฉันจะอาบน้ำ.  พระราชาตรัสว่า  มาเถิดแม่  แล้วจับพระหัตถ์

พระธิดาพาไปใกล้พระแกล  ตรัสว่า  อาบเถิดแม่  แล้วยกขึ้นให้ยืน

ที่ชานด้านนอกพระแกล  ประทับยืนจับพระหัตถ์ข้างหนึ่ง.  พระธิดา

นั้น  แม้กำลังอาบน้ำ  ก็เหยียดพระหัตถ์ให้แก่พระกุมารๆ  เปลื้อง

เครื่องอาภรณ์จากพระหัตถ์ของพระธิดานั้นแล้วประดับที่มือของคนใช้

นั้น  แล้วยกคนใช้นั้นขึ้นให้ยืนที่ชานเกาะพระธิดา.  พระธิดานั้น

จับมือของคนใช้นั้นวางที่พระหัตถ์ของพระบิดา.  พระราชานั้นทรงจับ

มือข้างหนึ่งของคนใช้นั้น  แล้วปล่อยมือข้างหนึ่งของพระธิดา  พระ-

ธิดานั้นเปลื้องเครื่องอาภรณ์จากมืออีกข้างหนึ่ง  เอาประดับมือที่สอง

ของคนใช้นั้นแล้ววางที่พระหัตถ์ของพระบิดา  ตนเองได้ไปกับพระ-

กุมาร.  พระราชาทรงสำคัญว่า  ธิดาของพระองค์  จึงให้ทารกนั้นนอน

ในห้องอันเป็นสิริ  ในเวลาเสร็จสิ้นการอาบน้ำ  ปิดประตู  ลั่นกุญแจ

ให้การอารักขาแล้ว  เสด็จไปบรรทมยังที่บรรทมของพระองค์.  เมื่อ

ราตรีสว่างแจ้งแล้ว  พระราชานั้นทรงเปิดประตูเห็นทารกนั้น  จึง

รับสั่งถามว่า  นี่อะไรกัน  ทารกนั้นกราบทูลความที่พระธิดานั้นเสด็จ

ไปกับพระกุมาร.  พระราชาทรงเดือดร้อนพระทัย  ทรงพระดำริว่า

เราแม้จับมือเที่ยวไป  ก็ไม่อาจรักษามาตุคามได้  ชื่อว่าหญิงทั้งหลาย

ใครๆ  รักษาไม่ได้อย่างนี้  จึงได้ตรัสคาถา    คาถานอกนี้ว่า  :-

              หญิงทั้งหลายบุรุษไม่สามารถจะรักษา

       ไว้ได้ด้วยถ้อยคำอันอ่อนหวาน  ยากที่จะให้

       เต็มได้  เปรียบเสมอด้วยแม่น้ำ  ย่อมจมลง

       ในนรก  บัณฑิตรู้ชัดอย่างนี้แล้ว  พึงเว้นเสีย

       ให้ห่างไกลหญิงเหล่านี้  ย่อมเข้าไปคบหา

       บุรุษใด  เพราะความรักใคร่ก็ตาม  เพราะ

       ทรัพย์ก็ตาม  เขาย่อมเผาบุรุษนั้นเสียฉับพลัน

       เปรียบเหมือนไฟไหม้ที่ของตนเองฉะนั้น.

       บรรดาบทเหล่านั้น  บทว่า  อนลา  มุทุสมฺภาสา  ความว่า

บุรุษทั้งหลายไม่อาจ  คือไม่สามารถที่จะยึดเหนี่ยวไว้ได้  แม้ด้วยถ้อยคำ

อันไพเราะอ่อนหวาน.  อีกอย่างหนึ่ง  ชื่อว่าไม่อาจรักษาได้  เพราะ

บุรุษทั้งหลายไม่อาจรักษาหญิงเหล่านี้.  บทว่า  มุทุสมฺภาสา  ความว่า

ชื่อว่ามีถ้อยคำอ่อนหวาน  เพราะแม้เมื่อหัวใจกระด้าง  ก็มีน้ำคำอ่อน-

โยน.  บทว่า  ทุปฺปูรา  ตา  นทีสมา  ความว่า  ชื่อว่ายากที่จะให้

เต็มได้  เพราะไม่รู้จักพอใจด้วยเมถุนเป็นต้น  ที่เสพแล้วเนืองๆ

เหมือนแม่น้ำชื่อว่ายากที่จะให้เต็มได้  เพราะน้ำที่หลั่งไหลมาๆ  ด้วย

เหตุนั้น  พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสว่า  ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย  มาตุคาม

ไม่อิ่ม  ไม่แจ่มแจ้งธรรม    ประการ  ย่อมตายไป  เสียก่อน  ธรรม

  ประการเป็นไฉน  ?  คือความเข้าเสพเมถุนธรรม    ความ

ดิ้นรน    การแต่งตัว    ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย  มาตุคามยังไม่ทันจะ

อิ่มไม่ทันจะแจ่มแจ้งธรรม    ประการเหล่านี้แล  ก็ตายเสียก่อน

บทว่า  สีทนฺติ  ความว่า  ย่อมจมคือมุดลงมหานรก    และอุสสุทนรก

๑๖.  บทว่า  นํ  เป็นเพียงนิบาต.  บทว่า  วิทิตฺวาน  แปลว่า  รู้ชัด

แล้วอย่างนี้.  บทว่า  อารกา  ปริวชฺชเย  นี้  ท่านแสดงว่า  บุรุษผู้

เป็นบัณฑิตรู้อย่างนี้ว่า  ธรรมดาหญิงเหล่านี้  ไม่อิ่มเมถุนธรรมเป็นต้น

ตายแล้วย่อมจมลงในนรกเหล่านี้  เมื่อตนจมลงอย่างนี้  จักเกิดมีความ

สุขแก่ใครอื่น  พึงเว้นหญิงแม้เหล่านี้เสียให้ห่างไกลทีเดียว.  บทว่า

ฉนฺทสา  วา  ธเนน  วา  ความว่า  หญิงเหล่านี้ย่อมเข้าไปเสวนา

คือคบหาบุรุษใด  เพราะความพอใจ  คือความชอบใจ  ความรักใคร่

ของตน  หรือเพราะทรัพย์ที่ได้ด้วยการจ้าง.  บทว่า  ชาตเวโท  แปลว่า

ไฟ.  จริงอยู่ไฟนั้น  ชื่อว่า  ชาตเวโท  เพราะพอเกิดเท่านั้นก็เสวย

ได้เป็นสภาพที่เสวยคือปรากฎ.  ไฟนั้นย่อมไหม้  ฐานที่คือเหตุได้แก่

ที่ของตนฉันใด  แม้หญิงเหล่านั้นก็ฉันนั้นเหมือนกัน  ย่อมส้องเสพ

กัษบุรุษใด  ย่อมไหม้คือเผาทันทีซึ่งบุรุษนั้นแม้ผู้ประกอบด้วยทรัพย์

ยศ  ศีล  และปัญญา  กระทำให้สมบัตินั้นไม่ควรเกิดขึ้นอีก  โดยทำ

ทรัพย์เป็นต้น  เหล่านั้นให้พินาศไป.  สมจริงดังที่ท่านกล่าวไว้ว่า  :-

              ชนผู้ตกอยู่ในอำนาจของมาตุคาม  ถึง

       มีกำลังก็เป็นผู้หมดกำลัง  แม้มีเรี่ยวแรงก็

       เสื่อมถอย  มีตาก็เป็นคนตาบอด.  ชนผู้ตก

       อยู่ในอำนาจของมาตุคาม  ถึงมีคุณความดีก็

       หมดคุณความดี  แม้มีปัญญาก็เสื่อมถอย

       เป็นผู้ประมาท  ติดพันอยู่ในบ่วง  มาตุคาม

       ย่อมปล้นเอาการศึกษาเล่าเรียน  ตบะ  ศีล

       สัจจะ  จาคะ  สติ  และมติความรู้ของคนผู้

       ประมาท  เหมือนพวกโจรคอยดักทำร้ายใน

       หนทาง.  ย่อมทำยศ  เกียรติ  ฐิติความทรงจำ

       ความกล้าหาญ  ความเป็นพหูสูต  และความ

       รู้ของคนผู้ประมาทให้เสื่อมไป  เหมือนไฟผู้

       ชำระทำกองฟืนให้หมดไปฉะนั้น.

       พระมหาสัตว์ครั้นกล่าวอย่างนี้แล้ว  ทรงดำริว่า  แม้หลาน

เราก็ต้องเลี้ยงดู  ธิดาเราก็ต้องเลี้ยงดู  จึงพระราชทานพระธิดา  ให้แก่

พระภาคิไนยนั้นนั่นแหละด้วยสักการะอันใหญ่หลวง  แล้วทรงตั้ง

พระภาคิไนยนั้นให้ดำรงอยู่ในตำแหน่งอุปราช.  เมื่อพระเจ้าลุง

สวรรคต  แม้อุปราชนั้นก็ดำรงอยู่ในราชสมบัติ.

       พระศาสดาครั้นทรงนำพระธรรมเทศนานั้นมาแล้ว  ทรงประ-

กาศสัจจะแล้วประชุมชาดก.  ในเวลาจบสัจจะ  ภิกษุผู้กระสันจะสึก

ดำรงอยู่ในโสดาปัตติผล  พระราชาในกาลนั้น  ได้เป็นเราตถาคต

ฉะนี้แล.

                           จบ  อรรถกถามุทุปาณิชาดกที่