อรรถกถาทูตชาดกที่  ๑๐

       พระศาสดาเมื่อประทับอยู่    พระวิหารเชตวัน  ทรงปรารภ

ภิกษุโลเลรูปหนึ่ง  จึงตรัสเรื่องนี้มีคำเริ่มต้นว่า  ยสฺสตฺถา  ทูรมายนฺติ

ดังนี้.  เรื่องจักมีแจ้งในกากชาดก  นวกนิบาต.  ก็พระศาสดาตรัสเรียก

ภิกษุรูปนั้นมาตรัสว่า  ดูก่อนภิกษุ  เธอเป็นผู้โลเลเหลาะแหละเฉพาะ

ในบัดนี้เท่านั้นก็หามิได้  แม้ในกาลก่อน  เธอก็เป็นผู้โลเลเหลาะแหละ

ก็เพราะความเป็นผู้โลเลเหลาะแหละ  เธอจวนจะถูกตัดศีรษะด้วยดาบ.

แล้วทรงนำเรื่องในอดีตมาสาธก  ดังต่อไปนี้  :-

       ในอดีตกาล  เมื่อพระเจ้าพรหมทัตครองราชสมบัติอยู่ใน

พระนครพาราณสี  พระโพธิสัตว์เป็นโอรสของพระเจ้าพรหมทัตนั้น

พอเจริญวัยก็ได้เล่าเรียนศิลปศาสตร์ทั้งปวงในเมืองตักกศิลา  พอ-

พระชนกล่วงลับไป  ก็ได้ดำรงอยู่ในราชสมบัติ  ได้เสวยโภชนะอัน

บริสุทธิ์  ด้วยเหตุนั้น  พระองค์จึงมีพระนามว่า  พระเจ้าโภชน-

สุทธิกราช.  ได้ยินว่า  พระองค์ทรงดำรงอยู่ในวิธีการเห็นปานนั้น

เสวยพระกระยาหารซึ่งมีภาชนะใบหนึ่งสิ้นเปลืองค่าถึงแสนกหาปณะ

อนึ่ง  เมื่อเสวยก็ไม่เสวยภายในพระราชมณเฑียรเพราะมีพระประสงค์

จะให้มหาชนผู้ได้เห็นวิธีการเสวยของพระองค์ได้กระทำบุญ  จึงให้

สร้างรัตนมณฑปที่ประตูพระราชวัง  เวลาจะเสวยก็ให้ประดับประดา

รัตนมณฑปนั้น  แล้วประทับนั่งบนราชบัลลังก์อันล้วนด้วยทองคำ

ภายใต้เศวตรฉัตร  แวดล้อมด้วยนางกษัติรย์ทั้งหลาย  จึงเสวยพระ-

กระยาหารอันมีรสซึ่งมีค่าถึงแสนกหาปณะ  ด้วยภาชนะทองอันมีค่า

แสนกหาปณะ

       ครั้งนั้น  มีบุรุษโลเลคนหนึ่งได้เห็นวิธีเสวยพระกระยาหาร

ของพระราชานั้น  อยากจะบริโภคโภชนะนั้น  เมื่อไม่สามารถจะอดกลั้น

ความอยากได้  คิดว่าอุบายนี้ดี  จึงนุ่งผ้าให้มั่นคงแล้วยกมือขึ้นข้างหนึ่ง

ร้องเสียงดังๆ ว่า ท่านผู้เจริญทั้งหลาย  เราเป็นทูต  พลางเข้าไปเฝ้า

พระราชา.  ก็สมัยนั้น  ในชนบทนั้น  ใครๆ ย่อมห้ามคนที่กล่าวว่า

เราเป็นทูต  เพราะฉะนั้น  มหาชนจึงแยกออกเป็นสองฝ่ายให้โอกาส.

บุรุษผู้นั้นรีบไปคว้าเอาก้อนภัตรก้อนหนึ่งจากภาชนะทองของพระ-

ราชาใส่ปาก.  ลำดับนั้น  ทหารดาบชักดาบออกด้วยหมายใจจักตัดหัว

ของบุรุษนั้น.  พระราชาตรัสห้ามว่า  อย่าประหาร  แล้วตรัสว่า

เจ้าอย่ากลัว  จงบริโภคเถอะ  แล้วทรงล้างพระหัตถ์ประทับนั่ง.  และ

ในเวลาเสร็จสิ้นการบริโภค  พระราชาให้ประทานน้ำดื่มและหมากพลู

แก่บุรุษผู้นั้นแล้วตรัสถามว่า  บุรุษผู้เจริญ  เจ้ากล่าวว่าเป็นทูต  เจ้า

เป็นทูตของใคร.  บุรุษนั้นกราบทูลว่า  ข้าแต่มหาราช  ข้าพระองค์

เป็นทูตของตัณหา  ตัณหาตั้งข้าพระองค์ให้เป็นทูตแล้วบังคับส่งมาว่า

เจ้าจงไป  ดังนี้แล้วได้กล่าวคาถา ๒ คาถาแรกว่า :-

                     สัตว์เหล่านี้ย่อมไปสู่ประเทศอันไกล

              หวังจะขอสิ่งของตามแต่จะได้  เพื่อประโยชน์

              แก่ท้องใด  ข้าพระองค์เป็นทูตของท้องนั้น

              ข้าแต่พระองค์ผู้เป็นจอมทัพ  ขอพระองค์อย่า

              ได้ทรงพิโรธแก่ข้าพระองค์เลย.  อนึ่ง  มาณพ

              ทั้งหลาย  ย่อมตกอยู่ในอำนาจของท้องใด

              ทั้งกลางวันและกลางคืน  ข้าพระองค์ก็เป็น

              ทูตของท้องนั้น  ข้าแต่พระองค์ผู้เป็นจอมทัพ

              ขอพระองค์อย่าได้ทรงพิโรธแก่ข้าพระองค์

              เลย.

       บรรดาบทเหล่านั้น  บทว่า  ยสฺสตฺถา ทูรมายนฺติ ความว่า

สัตว์เหล่านี้เป็นผู้อยู่ในอำนาจของตัณหา  ย่อมไปแม้ไกลๆ เพื่อ

ประโยชน์แก่ท้องใด.  บทว่า รเถสภ  ได้แก่  ข้าแต่พระองค์ผู้เป็น

จอมทัพรถ.

       พระราชาได้ทรงสดับคำของบุรุษนั้นแล้วทรงพระดำริว่า  ข้อนี้

จริง  สัตว์เหล่านี้เป็นทูตของท้อง  เที่ยวไปด้วยอำนาจตัณหา  และ

ตัณหาก็ย่อมจัดแจงสัตว์เหล่านี้   บุรุษผู้นี้กล่าวถ้อยคำเป็นที่ชอบใจเรา

ยิ่งนัก  จึงทรงโปรดบุรุษผู้นั้น  ตรัสพระคาถาที่ ๓  ว่า :-

                     ดูก่อนพราหมณ์  เราจะให้โคสีแดง

              พันตัวพร้อมทั้งโคจ่าฝูงแก่ท่าน  แม้เราและ

              สัตว์ทั้งมวลก็เป็นทูตของท้องทั้งสิ้น  เพราะ

              เราก็เป็นทูต  ไฉนจะไม่ให้สิ่งของแก่ท่าน

              ผู้เป็นทูตเล่า.

       บทว่า  พราหมณ  นี้ในคาถานั้น  เป็นเพียงคำร้องเรียก.

บทว่า  โรหิณีนํ  แปลว่า  มีสีแดง.  บทว่า  สห  ปุงฺคเวน  ได้แก่

พร้อมกับโคผู้ซึ่งเป็นปริณายกจ่าฝูงผู้จะป้องกันอันตรายให้.  บทว่า

มยมฺปิ  ความว่า  เราและสัตว์ทั้งปวงที่เหลือ  ย่อมเป็นทูตของท้องนั้น

เหมือนกัน  เพราะฉะนั้น  เราเป็นทูตของท้องเสมอกันเพราะเหตุไร

จึงจะไม่ให้แก่ท่านผู้เป็นทูตของท้องเล่า.

       ก็แหละครั้นตรัสอย่างนี้แล้วทรงมีพระทัยยินดีว่า  บุรุษผู้เช่น

ท่านนี้แลให้เราได้ฟังเหตุที่ไม่เคยฟัง  จึงได้ประทานยศใหญ่แก่บุรุษ

ผู้นั้น.

       พระศาสดาครั้นทรงนำพระธรรมเทศนานี้มาแล้ว  ทรงประกาศ

สัจจะประชุมชาดก.  ในเวลาจบสัจจะ  ภิกษุผู้โลเลดำรงอยู่ในอนาคามิ-

ผล.  ชนเป็นอันมากได้เป็นพระโสดาบันเป็นต้น.  บุรุษผู้โลเลใน

กาลนั้น  ได้เป็นภิกษุผู้เหลาะแหละในบัดนี้  ส่วนพระเจ้าโภชนสุทธิก-

ราช  ได้เป็นเราตถาคต  ฉะนี้แล.

                           จบ  อรรถกถาทูตชาดกที่  ๑๐