พระศาสดาเมื่อประทับอยู่    พระวิหารเชตวัน  ทรงปรารภ

การที่ท่านพระอานนท์ได้ผ้า  ,๐๐๐  ผืน  คือได้จากมือแห่งพระสนม

ของพระเจ้าโกศล   ๕๐๐  ผืน  ได้จากพระหัตถ์ของพระราชา  ๕๐๐  ผืน

จึงตรัสเรื่องนี้  มีคำเริ่มต้นว่า  นยิมสฺส  วิชฺชา  ดังนี้.  เรื่องท่าน

กล่าวไว้พิสดารแล้ว  ในสิคาลชาดก  ทุกนิบาต  ในหนหลัง.  (ในที่

นี้ )  ทรงนำเอาเรื่องในอดีตมาสาธก  ดังต่อไปนี้  :-

       ในอดีตกาล  เมื่อพระเจ้าพรหมทัตครองราชสมบัติอยู่ในพระ-

นครพาราณสี  พระโพธิสัตว์บังเกิดในตระกูลพราหมณ์ในแคว้นกาสี

ในวันตั้งชื่อ  พวกญาติได้ตั้งชื่อว่า  ติรีติวัจฉกุมาร.  พระโพธิสัตว์นั้น

ได้ถึงความเจริญวัยโดยลำดับ  ได้เล่าเรียนศิลปศาสตร์ทุกอย่างในเมือง

ตักกศิลาแล้วอยู่ครองเรือน  เมื่อบิดามารดาทำกาลกิริยาตายไป

แล้วสลดใจ  จึงออกบวชเป็นฤาษี  มีรากไม้และผลไม้ในป่าเป็นอาหาร

สำเร็จการอยู่ในราวป่า.  เมื่อพระโพธิสัตว์อยู่ในราวป่านั้น  ท้องถิ่น

ชายอาณาเขตของพระเจ้าพาราณสี  เกิดกำเริบจลาจลขึ้น.  พระองค์

เสด็จไปในประเทศชายแดนนั้น  ทรงพ่ายแพ้ในการรบ  ทรงกลัวต่อ

มรณภัย  เสด็จขึ้นคอช้างตัวประเสริฐเท่านั้น  เสด็จหนีไปทางด้าน

หนึ่งท่องเที่ยวไปในป่า  พอดีเป็นเวลาเช้า  เป็นเวลาที่ติรีติวัจฉฤาษี

ออกไปเพื่อต้องการผลาผล  จึงเสด็จเข้าไปยังอาศรมของติรีติวัจฉฤาษี

นั้น.  พระราชานั้นทรงทราบว่าเป็นสถานที่อยู่ของดาบส  จึงเสด็จลง

จากคอช้าง  ทรงเหน็ดเหนื่อยเพราะลมและแดด  จึงทรงกระหายน้ำ

ทอดพระเนตรหาหม้อน้ำก็ไม่ทรงเห็นในที่ไหน  แต่ได้ทรงเห็นบ่อน้ำ

อยู่ในท้ายที่จงกรม  แต่เมื่อเที่ยวหาเชือกและกระออม  เพื่อต้องการ

จะตักน้ำ  ก็มิได้เห็น  เมื่อไม่ทรงสามารถจะอดกลั้นความกระหายน้ำ

จึงเอาเชือกที่รัดท้องช้างมา  ให้ช้างยืนอยู่ใกล้ปากบ่อน้ำ  เอาเชือกผูก

ที่เท้าช้างนั้นแล้วไต่เชือกลงบ่อน้ำ  เชือกก็ยังไม่พอ  จึงเสด็จกลับขึ้น

มาใหม่  ทรงเอาผ้าสาฎกสำหรับห่มต่อเข้ากับปลายเชือกแล้วเสด็จลงไป

อีก.  แม้ถึงอย่างนั้น  ก็ยังไม่พออยู่ดี.  พระองค์ทรงเอาปลายพระบาท

ทั้งสองแตะน้ำ  กลับทรงกระหายยิ่งขึ้น  บันเทาความกระหายไม่ได้

จึงทรงพระดำริว่า  แม้จะตายก็ตายดี  แล้วปล่อยให้ตกลงไปในบ่อน้ำ

ดื่มจนพอแก่ความต้องการ  เมื่อไม่สามารถจะกลับขึ้นมา  จึงได้ประทับ

ยืนอยู่ในบ่อน้ำนั้นนั่นเอง.  ในเวลาเย็น  พระโพธิสัตว์นำเอาผลาผล

ทั้งหลายมา  แลเห็นช้างจึงคิดว่า  พระราชาคงจักเสด็จมา  ช้างทรง

จึงปรากฏ  เหตุอะไรหนอ  จึงเข้าไปใกล้ช้าง.  ฝ่ายช้างรู้ว่าพระโพธิ-

สัตว์นั้นเข้ามาหา  จึงได้ยืนเสีย    ส่วนข้างหนึ่ง.  พระโพธิสัตว์เดิน

ไปยังปากบ่อน้ำ  แลเห็นพระราชา  จึงปลอบโยนว่า  ข้าแต่มหาราช

พระองค์อย่ากลัวเลย  แล้วผูกบันไดให้พระราชาเสด็จขึ้น  นวดฟั้น

พระวรกายของพระราชา  หาน้ำมันให้สรงสนาน  ให้เสวยผลไม้น้อย

ใหญ่  แล้วให้เปลื้องเครื่องผูกสอดช้าง.  พระราชาทรงพักอยู่  ๒-๓

วัน  ทรงถือเอาปฏิญญา  เพื่อให้พระโพธิสัตว์มาสำนักของพระองค์

แล้วเสด็จหลีกไป.  พลนิกายของพระราชาตั้งค่ายอยู่ในที่ไม่ไกลพระ-

นคร  เห็นพระราชาเสด็จมาจึงพากันห้อมล้อม.  พระราชาเสด็จเข้า

ยังพระนคร.  ฝ่ายพระโพธิสัตว์  ต่อล่วงเวลาไปกึ่งเดือน  ก็ไปยัง

นครพาราณสี  พักอยู่ในพระราชอุทยาน  วันรุ่งขึ้น  เที่ยวภิกขาจาร

ไปถึงประตูวัง.  พระราชาทรงเปิดพระแกลบานใหญ่ทอดพระเนตร

พระลานหลวง  ทรงเห็นพระโพธิสัตว์ก็จำได้  จึงเสด็จลงมาจากปรา-

สาท  ไหว้แล้วทรงพาขึ้นท้องพระโรง  ให้นั่งบนราชบัลลังก์ที่ยก

เศวตรฉัตร  ให้ฉันอาหารที่เขาจัดไว้สำหรับพระองค์  แม้พระองค์เอง

ก็เสวย  เสร็จแล้วนำไปยังพระราชอุทยาน  ให้สร้างสถานที่อยู่ประ-

กอบด้วยที่จงกรมเป็นต้นแก่พระโพธิสัตว์นั้น  ในพระราชอุทยานนั้น

แล้วถวายบริขารสำหรับบรรพชิตทุกอย่าง  ทรงมอบหมายให้นายอุท-

ยานบาลเป็นเวรดูแล  ไหว้แล้วเสด็จหลีกไป.  จำเดิมแต่นั้น  พระ-

โพธิสัตว์บริโภคเฉพาะในพระราชนิเวศน์  ได้มีสักการะและสัมมานะ

มากมาย.  อำมาตย์ทั้งหลายอดทนการกระทำอันนั้นไม่ได้พากันกล่าว

ว่า  สักการะเห็นปานนี้  ทหารแม้คนหนึ่งเมื่อจะได้  ควรกระทำอย่างไร

แล้วพากันเข้าไปเฝ้าอุปราช  ทำความเคารพแล้วทูลว่า  ขอเดชะ

พระราชาของข้าพระองค์  ยึดถือพระดาบสรูปหนึ่งว่าเป็นของเราเสีย

อย่างจริงจัง  ชื่อคุณอะไรที่พระราชานั้นได้ทรงเห็นในพระดาบสนั้น

ขอพระองค์โปรดทรงปรึกษาหารือกับพระราชาดูก่อน.  อุปราชรับคำ

แล้วเข้าไปเฝ้าพระราชาพร้อมกับพวกอำมาตย์  ถวายบังคมแล้วกล่าว

คาถาที่ ๑  ว่า  :-

              กรรมอะไร ๆ  ที่สำเร็จด้วยวิชาของ

       ดาบสนี้  มิได้มีเลย  อนึ่ง  ดาบสนั้น  ก็ไม่ใช่

       เผ่าพันธุ์  ไม่ใช่พระสหายของพระองค์  เมื่อ

       เป็นเช่นนั้นเพราะเหตุอะไร  ติรีติวัจฉดาบส

       ผู้มีมือถือไม้    อัน  จึงบริโภคก้อนข้าวอัน

       เลิศ.

       บรรดาบทเหล่านั้น  บทว่า  นยิมสฺส  วิชฺชามยมตฺถิ  กิญฺจิ

ความว่า  การงานอะไร    อันสำเร็จด้วยวิชาของดาบสนี้  มิได้มี.

บทว่า     พนฺธโว  ความว่า  บรรดาเผ่าพันธุ์ทางโอรส   เผ่าพันธุ์

ทางศิลปะ  เผ่าพันธุ์ทางพระโคตร  และเผ่าพันธุ์ทางพระญาติ  แม้

เผ่าพันธุ์ทางใดทางหนึ่ง  ก็มิได้มี.  บทว่า  โน  ปน  เต  สหาโย

ความว่า  ทั้งไม่ได้เป็นพระสหายผู้เล่นฝุ่นมากับพระองค์.  บทว่า

เกน  วณฺเณน  แปลว่า  เพราะเหตุไร.  คำว่า  ติรีติวัจโฉ  เป็นชื่อ

ของดาบสนั้น.  บทว่า  เตทณฺฑิโก  ความว่า  ผู้ถือไม้    อัน  เพื่อ

ต้องการวาง  (แขวน)  คณโฑน้ำเที่ยวไป.  บทว่า  อคฺคปิณฺฑํ  ความว่า

ย่อมบริโภคโภชนะอันเลิศสมบูรณ์ด้วยรส  อันควรแก่พระราชา.

       พระราชาได้ทรงสดับดังนั้นจึงตรัสเรียกพระโอรสมาแล้วตรัสว่า

ดูก่อนพ่อ  เจ้ายังจะระลึกได้ถึงคราวที่พ่อไปประเทศชายแดนรบแพ้

แล้วไม่ได้มา  ๒-๓  วัน  เมื่อพระโอรสทูลว่า  ระลึกได้พระเจ้าข้า

จึงตรัสว่า  ในคราวนั้นพ่ออาศัยดาบสนี้จึงได้รอดชีวิต  แล้วตรัสบอก

เรื่องราวทั้งหมด  แล้วตรัสต่อไปว่า  ดูก่อนพ่อ  เมื่อท่านผู้ให้ชีวิตเรา

มายังสำนักของเรา  แม้เมื่อจะให้ราชสมบัติ  เราก็ไม่อาจที่จะกระทำ

ให้สมควรแก่คุณที่ท่านดาบสนี้ได้กระทำไว้  ดังนี้แล้วจึงได้ตรัสคาถา

  คาถานี้ว่า  :-

              เมื่อเรารบพ่ายแพ้ตกอยู่ในอันตราย

       ทั้งหลาย  ติรีติวัจฉดาบสผู้นี้ได้กระทำความ

       อนุเคราะห์แก่เราผู้ตัวคนเดียวไม่มีเพื่อน  ใน

       ป่าที่ไม่มีน้ำอันทารุณร้ายกาจ  ได้เหยียดมือ

       ช่วยเราผู้ได้รับความลำบาก  เพราะเหตุนั้น

       เราแม้ถูกความทุกข์ครอบงำ  ก็ขึ้นจากบ่อน้ำ

       ได้.  เรามาถึงเมืองนี้ได้โดยความยากของ

       ดาบสผู้นี้  เราถึงจะเป็นอยู่ในมนุษยโลก  ก็

       เหมือนกับไปยังปรโลกอันเป็นวิสัยของพระ-

       ยม  ลูกรัก  ติรีติวัจฉดาบสเป็นผู้ควรแก่ปัจ-

       จัยลาภ  ท่านทั้งหลายจงถวายของควรบริโภค

       และยัญที่ควรบูชาแก่ติรีติวัจฉดาบสเถิด.

       บรรดาบทเหล่านั้น  บทว่า  อาปาสุ  ได้แก่  ในอันตราย

ทั้งหลาย.  บทว่า  เอกสฺส  ได้แก่  ไม่มีเพื่อน.  บทว่า  กตฺวา  ได้แก่

กระทำความอนุเคราะห์  คือทำความรักให้เกิดขึ้น.  บทว่า  วิวนสฺมึ

ได้แก่  ในป่าที่เว้นจากน้ำดื่ม.  บทว่า  โฆเร  แปลว่า  ร้ายกาจ.

บทว่า  ปสารยิ  กิจฺฉคตสฺส  ปาณึ  ความว่า  ติรีติวัจฉดาบสผูก

พะอง  เหยียดมืออันประกอบด้วยความเพียรออก  เพื่อช่วยเราผู้ตกบ่อ

ได้รับความทุกข์ให้ขึ้นจากบ่อ.  บทว่า  เตนุทฺธตารึ  ทุขสมฺปเรโต

ความว่า  เพราะเหตุนั้น  แม้เราจะถูกความทุกข์ครอบงำก็ขึ้นจากบ่อ

นั้นได้.  บทว่า  เอตสฺส  กิจฺเฉน  อิธานุปตฺโต  ความว่า  เรามา

ถึงเมืองนี้ได้ด้วยความยากของดาบสผู้นี้  คือด้วยอานุภาพแห่งความ

ยากที่ท่านดาบสผู้นี้กระทำ.  บทว่า  เวยฺยาสิโน  วีสยา  ความว่า

ท้าวยม  เรียกว่า  เวยยาสิ  วิสัยแห่งท้าวยมนั้น.  บทว่า  ชีวโลเก

ได้แก่  ในมนุษยโลก.  ท่านกล่าวอธิบายไว้ว่า  ด้วยว่าเราผู้ยังดำรงอยู่

ในมนุษยโลกนี้แหละ  แต่ก็ได้เป็นผู้ชื่อว่าไปยังปรโลกด้วยอันเป็นวิสัย

ของพระยม  คือเป็นวิสัยแห่งพระยามัจจุราช  เรานั้นเป็นผู้จากวิสัย

แห่งพระยมมาเมืองนี้ได้อีก  เพราะเหตุแห่งดาบสผู้นี้.  บทว่า  ลา-

ภารโห  แปลว่า  เป็นผู้ควรแก่ลาภ  คือ  เป็นผู้สมควรได้จตุปัจจัย

ทั้ง  ๔.  บทว่า  เทถสฺส  โภคํ  ความว่า  ท่านทั้งหลายจงให้เครื่อง

บริโภค  กล่าวคือสมณบริขารอันเป็นปัจจัย    ที่ดาบสนี้พึงใช้สอย

แก่ดาบสผู้นี้.  บทว่า  ยชิตญฺจ  ยญฺ  ความว่า  ท่านทั้งหลายแม้

ทั้งปวง  คือ  ตัวเจ้า  พวกอำมาตย์  และชาวนครจงให้เครื่องบริโภค

และบูชายัญแก่ดาบสนี้.  ด้วยว่า  ไทยธรรมที่ท่านทั้งหลายให้แก่ดาบส

นั้น  ย่อมชื่อว่าเป็นเครื่องบริโภค  เพราะเป็นของที่ดาบสนั้นจะต้อง

บริโภคใช้สอย  และชื่อว่าเป็นยัญ  เพราะเป็นยัญคือทานของคนนอก

นี้.  ด้วยเหตุนั้น  ท่านจึงกล่าวว่า  ท่านทั้งหลายจงพากันถวายของ

ควรบริโภคและของควรบูชาแก่ติรีติวัจฉดาบสเถิด.

       เมื่อพระราชาทรงประกาศคุณของพระโพธิสัตว์  ประดุจทำ

พระจันทร์ให้ลอยเด่นขึ้นในพื้นท้องฟ้า  ด้วยประการอย่างนี้  คุณของ

ติรีติวัจฉดาบสนั้น  ก็เกิดปรากฏมีประโยชน์ในทุกสถานที่ทีเดียว  และ

ลาภสักการะอันเหลือเฟือยิ่งก็เกิดขึ้นแก่ติรีติวัจฉดาบสนั้น  จำเดิมแต่

นั้นใคร    จะเป็นอุปราช  พวกอำมาตย์  หรือคนอื่นก็ตาม  ย่อมไม่อาจ

ว่ากล่าวอะไร ๆ  พระราชาได้.  พระราชาทรงดำรงอยู่ในโอวาทของ

พระโพธิสัตว์  บำเพ็ญบุญทั้งหลายมีทานเป็นต้น  ทรงทำให้สวรรค์

เต็มบริบูรณ์  ส่วนพระโพธิสัตว์ก็ทำอภิญญาและสมาบัติทั้งหลายให้

เกิดขึ้น  ได้มีพรหมโลกเป็นที่ไปในเบื้องหน้า.

       พระศาสดาครั้นทรงนำพระธรรมเทศนานี้ที่ว่า  แม้โบราณก-

บัณฑิตทั้งหลายก็กระทำการอุปการะ  ดังนี้มาแล้ว  ทรงประชุมชาดก

ว่า  พระราชาในกาลนั้น  ได้เป็นพระอานนท์ในบัดนี้  ส่วนพระดาบส

ในกาลนั้น  คือเราตถาคต  ฉะนี้แล.

                     จบ  อรรถกถาติรีติวัจฉชาดกที่