พระศาสดาเมื่อประทับอยู่    พระวิหารเชตวัน  ทรงปรารภ

ภิกษุผู้กระสันจะสึกรูปหนึ่ง  จึงตรัสเรื่องนี้  มีคำเริ่มต้นว่า  ยาวตา

จนฺทิมสุริยา  ดังนี้

ได้ยินว่า  ภิกษุรูปนั้นเที่ยวบิณฑบาตในพระนครสาวัตถี  เห็น

สตรีผู้หนึ่งตกแต่งประดับประดาสวยงาม  จึงเกิดความกระสันรัญจวน

ใจ.  ลำดับนั้น  ภิกษุทั้งหลายจึงนำภิกษุรูปนั้นมายังธรรมสภา  แล้ว

แสดงแก่พระศาสดาว่า  ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ  ภิกษุนี้  กระสันอยาก

จะสึก  พระเจ้าข้า.  พระศาสดาตรัสถามว่า  ได้ยินว่า  เธอกระสัน

อยากจะสึกจริงหรือภิกษุ.  เมื่อภิกษุนั้นทูลรับว่า  จริงพระเจ้าข้า  จึง

ตรัสว่า  ดูก่อนภิกษุ  เมื่อเธออยู่ครองเรือน  จักอาจทำตัณหาให้เต็ม

ได้  เมื่อไร  เพราะขึ้นชื่อว่ากามตัณหานี้  เต็มได้ยาก  ประดุจมหา-

สมุทร   ด้วยว่าโปราณกบัณฑิตทั้งหลายครองราชย์เป็นพระเจ้าจักร-

พรรดิในมหาทวีปทั้ง    มีทวีปน้อย  ,๐๐๐  เป็นบริวาร  ได้ครองราชย์

ในเทวโลกชั้นจาตุมมหาราชิกา  มีมนุษย์เป็นบริวารเท่านั้น  ทั้งครอง

เทวราชสมบัติในสถานที่ประทับอยู่ของท้าวสักกะ  ๓๖  พระองค์  ใน

เทวโลกชั้นดาวดึงส์  ไม่สามารถเลยที่จะทำกามตัณหาของตนให้เต็ม

ก็ได้ทำกาลกิริยาตายไป  ก็เธอเล่า  เมื่อไรอาจทำกามตัณหานั้นให้เต็ม

ได้แล้วทรงนำเอาเรื่องในอดีตมาสาธก  ดังต่อไปนี้  :-

          ในอดีตกาล  ครั้งปฐมกัป  ได้มีพระราชาพระนามว่า  พระ-

เจ้ามหาสมมตราช  โอรสของพระองค์พระนามว่า  โรชะ.  โอรสของ

พระเจ้าโรชะ  พระนามว่า  วรโรชะ.  โอรสของพระเจ้าวรโรชะ

พระนามว่า  กัลยาณะ.  โอรสของพระเจ้ากัลยาณะ  พระนามว่า

วรกัลยาณะ.  โอรสของพระเจ้าวรกัลยาณะ  พระนามว่า  อุโปสถ.

โอรสของพระเจ้าอุโปสถ  พระนามว่า  วรอุโปสถ.  โอรสของพระ-

เจ้าวรอุโปสถ  ได้มีพระนามว่า  มันธาตุ  พระเจ้ามันธาตุนั้นทรง

ประกอบด้วยรัตนะ    และอิทธิฤทธิ์    ครองราชย์เป็นพระเจ้าจักร-

พรรดิ.  ในเวลาที่พระองค์ทรงคู้พระหัตถ์ซ้ายปรบด้วยพระหัตถ์ขวา

ฝนรัตนะ    ก็ตกลงมาประมาณเข่า  ดุจเมฆฝนทิพย์ในอากาศ  พระ-

เจ้ามันธาตุได้เป็นมนุษย์อัศจรรย์เห็นปานนี้.  ก็พระเจ้ามันธาตุนั้น

ทรงเล่นเป็นเด็กอยู่แปดหมื่นสี่พันปี  ทรงครองความเป็นอุปราชอยู่

แปดหมื่นสี่พันปี  ทรงครองราชย์เป็นพระเจ้าจักรพรรดิแปดหมื่นสี่

พันปี.  ก็พระองค์ทรงมีพระชนมายุหนึ่งอสงไขย.  วันหนึ่งพระเจ้า

มันธาตุนั้นไม่สามารถทำกามตัณหาให้เต็มได้  จึงทรงแสดงอาการ

ระอาพระทัย.  อำมาตย์ทั้งหลายทูลถามว่า  ข้าแต่สมมติเทพพระองค์

ทรงระอาเพราะเหตุอะไร?  พระเจ้ามันธาตุตรัสว่า  เมื่อเรามองเห็น

กำลังบุญของเราอยู่  ราชสมบัตินี้จักทำอะไรได้  สถานที่ไหนหนอ

จึงจะน่ารื่นรมย์  อำมาตย์ทั้งหลายกราบทูลว่า  ข้าแต่มหาราช  เทว-

โลกน่ารื่นรมย์  พระเจ้าข้า.  ท้าวเธอจึงทรงพุ่งจักรรัตนะไปยังเทว-

โลกชั้นจาตุมมหาราชิกาพร้อมด้วยบริษัท.  ลำดับนั้น  ท้าวมหาราช

ทั้ง    ทรงถือดอกไม้และของหอมอันเป็นทิพย์  ห้อมล้อมด้วยหมู่เทพ

กระทำการต้อนรับ  นำพระเจ้ามันธาตุนั้นไปยังเทวโลกชั้นจาตุมมหา-

ราชิกา  ได้ถวายราชสมบัติในเทวโลก.  เมื่อพระเจ้ามันธาตุนั้นห้อม

ล้อมด้วยบริษัทของพระองค์ครองราชสมบัติอยู่ในชั้นจาตุมมหาราชิกา

นั้น  กาลเวลาล่วงไปช้านาน  พระองค์ไม่สามารถทำตัณหาให้เต็มใน

ชั้นจาตุมมหาราชิกานั้นได้  จึงทรงแสดงอาการเบื่อระอา.  ท้าวมหาราช

ทั้ง    จึงทูลถามว่า  ข้าแต่มหาราช  พระองค์ทรงเบื่อระอาเพราะ

อะไรหนอ.  พระเจ้ามันธาตุตรัสว่า  จากเทวโลกนี้  ที่ไหนน่ารื่นรมย์

กว่า.  ท้าวมหาราชทูลว่า  ข้าแต่พระองค์ผู้ประเสริฐ  พวกข้าพระองค์

เป็นบริษัทผู้คอยอุปัฏฐากผู้อื่น    ขึ้นชื่อว่าเทวโลกชั้นดาวดึงส์น่ารื่นรมย์

พระเจ้ามันธาตุจึงพุ่งจักรรัตนะออกไป  ห้อมล้อมด้วยบริษัทของพระ-

องค์  บ่ายหน้าไปยังภพดาวดึงส์.  ลำดับนั้น  ท้าวสักกะเทวราชทรง

ถือดอกไม้และของหอมทิพย์ห้อมล้อมด้วยหมู่เทพ  ทรงทำการต้อนรับ

รับพระเจ้ามันธาตุนั้น  ทรงจับพระองค์ที่พระหัตถ์แล้วตรัสว่า  ข้าแต่

มหาราช  ขอพระองค์จงเสด็จมาทางนี้.  ในเวลาที่พระราชาอันหมู่

เทพห้อมล้อมเสด็จไป  ปริณายกขุนพลพาจักรแก้วลงมายังถิ่นมนุษย์

พร้อมกับบริษัท  เข้าไปเฉพาะยังนครของตนๆ.  ท้าวสักกะทรงนำ

พระเจ้ามันธาตุไปยังภพดาวดึงส์  ทรงทำเทวดาให้เป็น    ส่วน  ทรง

แบ่งเทวราชสมบัติของพระองค์กึ่งหนึ่งถวายพระเจ้ามันธาตุ.  ตั้งแต่

นั้นมาพระราชา    พระองค์  ทรงครองราชสมบัติ  (ในภพดาวดึงส์

นั้น ).  เมื่อกาลเวลาล่วงไปด้วยประการอย่างนี้  ท้าวสักกะทรงให้

พระชนมายุสั้นไปสามโกฏิหกหมื่นปีก็จุติ.  ท้าวสักกะพระองค์อื่นก็มา

บังเกิดแทน.  แม้ท้าวสักกะพระองค์นั้นก็ครองราชสมบัติในเทวโลก

แล้วก็จุติไป  โดยสิ้นพระชนมายุ.  โดยอุบายนี้  ท้าวสักกะถึง  ๓๖

พระองค์จุติไปแล้ว.  ส่วนพระเจ้ามันธาตุยังคงครองราชสมบัติใน

เทวโลกโดยร่างกายของมนุษย์นั่นเอง.  เมื่อเวลาล่วงไปด้วยประการ

อย่างนี้  กามตัณหาก็ยังเกิดขึ้นแก่พระองค์โดยเหลือประมาณยิ่งขึ้น

พระองค์จึงทรงดำริว่า  เราจะได้ประโยชน์อะไรด้วยราชสมบัติในเทว-

โลกกึ่งหนึ่ง  เราจักฆ่าท้าวสักกะเสีย  ครองราชสมบัติในเทวโลกคน

เดียวเถิด.  ท้าวเธอไม่อาจฆ่าท้าวสักกะได้.  ก็ตัณหาคือความอยากนี้

เป็นมูลรากของความวิบัติ.  ด้วยเหตุนั้น  อายุสังขารของท้าวเธอจึง

เสื่อมไป  ความชราก็เบียดเบียนพระองค์.  ก็ธรรมดาร่างกายมนุษย์

ย่อมไม่แตกดับในเทวโลก.  ลำดับนั้น  พระเจ้ามันธาตุนั้นจึงพลัดจาก

เทวโลกตกลงในพระราชอุทยาน.  พนักงานผู้รักษาพระราชอุทยาน

จึงกราบทูลความที่พระเจ้ามันธาตุนั้นเสด็จมาให้ราชตระกูลทราบ.

ราชตระกูลเสด็จมา  พากันปูลาดที่บรรทมในพระราชอุทยานนั่นเอง

พระราชาทรงบรรทมโดยอนุฏฐานไสยาศน์  อำมาตย์ทั้งหลายทูลถาม

ว่า  ขอเดชะ  ข้าพระองค์ทั้งหลาย  จะกล่าวว่าอย่างไร  เฉพาะพระ-

พักตร์ของพระองค์  พระเจ้าข้า.  พระเจ้ามันธาตุตรัสว่า  ท่านทั้งหลาย

พึงบอกข่าวสาสน์นี้แก่มหาชนว่า  พระเจ้ามันธาตุมหาราชครองราช-

สมบัติเป็นพระเจ้าจักรพรรดิในมหาทวีปทั้ง    มีทวีปน้อยสองพันเป็น

บริวาร  ครองราชสมบัติในเทวโลกชั้นจาตุมมหาราชิกาตลอดกาลนาน

แล้วได้ครองราชสมบัติในเทวโลกตามปริมาณพระชนมายุของท้าว-

สักกะถึง  ๓๖  องค์  ยังทำตัณหาคือความอยากให้เต็มไม่ได้เลย  ได้

สวรรคตไปแล้ว  ครั้นพระองค์ตรัสอย่างนี้แล้วก็สวรรคตเสด็จไปตาม

ยถากรรม.

          พระศาสดาครั้นทรงนำพระธรรมเทศนานี้มาแล้วเป็นผู้ตรัสรู้ยิ่ง

แล้วได้ตรัสพระคาถาเหล่านี้ว่า  :-

                   พระจันทร์  พระอาทิตย์  (  ย่อมเวียน

          รอบเขาสิเนรุราช  )  ส่องรัศมีสว่างไสวไปทั่ว

          ทิศโดยที่มีกำหนดเท่าใด  สัตว์ทั้งหลายที่

          อาศัยแผ่นดินอยู่ในที่มีกำหนดเท่านั้น  ล้วน

          เป็นทาสของพระเจ้ามันธาตุราชทั้งสิ้น.ความ

          อิ่มในกามทั้งหลายย่อมไม่มี  เพราะฝนคือ

          กหาปณะ  กามทั้งหลายมีความยินดีน้อย  มี

          ทุกข์มาก  บัณฑิตย่อมรู้ชัดอย่างนี้.  ภิกษุผู้

          เป็นสาวกของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า  ย่อม

          ไม่ถึงความยินดีในกามทั้งหลาย  แม้ที่เป็น

          ทิพย์  เป็นผู้ยินดีในความสิ้นไปแห่งตัณหา.

          บรรดาบทเหล่านั้น  บทว่า  ยาวตา  เป็นคำกล่าวถึงกำหนด

เขต.  บทว่า  ปริหรนฺติ  ความว่า  ย่อมหมุนเวียนเขาพระสิเนรุ  โดย

กำหนดมีประมาณเท่าใด.  บทว่า  ทิสา  ภนฺติ  ความว่า  ย่อมส่อง

สว่างในทิศทั้งสิบ.  บทว่า  วิโรจนา  ความว่า  ชื่อว่า  มีสภาพสว่าง

ไสว  เพราะกระทำความสว่าง.  บทว่า  สพฺเพว  ทาสา  มนฺธาตุ

เย  ปาณา  €วิสฺสิตา  ความว่า  ก็สัตว์ทั้งหลาย  คือหมู่มนุษย์

ชาวชนบทเหล่าใด  ผู้อาศัยแผ่นดินอยู่ในประเทศมีประมาณเท่านี้  สัตว์

เหล่านั้นทั้งหมดเมื่อเข้าไปเฝ้าด้วยคิดอย่างนี้ว่า  พวกเราเป็นทาสของ

พระเจ้ามันธาตุ  พระเจ้ามันธาตุเป็นปู่ของพวกเรา  แม้เป็นไท  ก็

ชื่อว่าเป็นทาสเหมือนกัน.  ในบทว่า    กหาปณวสฺเสน  นี้  พระ-

เจ้ามันธาตุทรงปรบพระหัตถ์ทำให้ฝนคือรัตนะ    อันใดตกลงมา  เพื่อ

ทรงสงเคราะห์พวกหมู่มนุษย์ผู้เป็นทาสเหล่านั้น  ฝนคือรัตนะ ๗  นั้น

ท่านเรียกว่า  ฝนคือกหาปณะในพระคาถานี้.  บทว่า  ติตฺติ  กาเมสุ

ความว่า  ขึ้นชื่อว่าความอิ่มในวัตถุกามและกิเลสกามทั้งหลาย  เพราะ

ฝนคือกหาปณะแม้นั้น  ย่อมไม่มี  ตัณหานั้นทำให้เต็มได้ยากอย่างนี้.

บทว่า  อปฺปสฺสาทา  ทุกฺขา  กามา  ความว่า  ขึ้นชื่อว่ากามทั้งหลาย

เปรียบเหมือนความฝัน  มีความยินดีน้อย  คือมีความสุขน้อย  ก็ใน

กามนี้มีแต่ทุกข์เท่านั้น  มากมาย  ทุกข์นั้นพึงแสดงโดยกระบวนแห่ง

ทุกขักขันธสูตร.  บทว่า  อิติ  วิญฺาย  ได้แก่  กำหนดรู้อย่างนี้.

บทว่า  ทิพฺเพสุ  ได้แก่  ในอารมณ์ทั้งหลายมีรูปเป็นต้น  อันเป็น

เครื่องบริโภคของเทวดาทั้งหลาย.  บทว่า  รตึ  โส  ความว่า  ภิกษุ

ผู้เห็นแจ้งนั้น  แม้ถูกเชื้อเชิญด้วยกามทั้งหลายอันเป็นทิพย์  ก็ย่อม

ไม่ถึงความยินดีในกามเหล่านั้น  เหมือนท่านพระสมิทธิ.  บทว่า

ตณฺหกฺขยรโต  ได้แก่  ผู้ยินดีแล้วในพระนิพพาน.  จริงอยู่  ตัณหา

มาถึงพระนิพพานย่อมหมดสิ้นไป  เพราะฉะนั้น  พระนิพพานนั้น

ท่านจึงเรียกว่า  ตัณหักขยะ  ธรรมเป็นที่สิ้นตัณหา  เป็นผู้ยินดีแล้ว

ยินดียิ่งแล้วในธรรมเป็นที่สิ้นตัณหานั้น.  บทว่า  สมฺมาสมฺพุทฺธ-

สาวโก  ความว่า  ชื่อว่าสัมมาสัมพุทธะ  เพราะตรัสรู้สัจจะโดยชอบ

ด้วยพระองค์เอง  ชื่อว่าสาวก  เพราะเกิดในที่สุดแห่งการสดับฟัง

คือเป็นโยคาวจรบุคคลผู้ได้สดับตรับฟังมาก.

       พระศาสดาครั้นทรงนำพระธรรมเทศนานี้มาแล้ว  ทรงประกาศ

สัจจะ    แล้วทรงประชุมชาดก.  ในเวลาจบสัจจะ  ภิกษุผู้กระสันจะ

สึกตั้งอยู่ในโสดาปัตติผล  คนเป็นอันมากแม้เหล่าอื่นก็ได้บรรลุโสดา-

ปัตติผลเป็นต้น.  พระเจ้ามันธาตุมหาราชในกาลนั้น  คือเราตถาคต

ฉะนี้แล.

                           จบ  อรรถกถามันธาตุราชชาดกที่