อรรถกถามณิกัณฐชาดกที่ 

          พระศาสดาเมื่ออาศัยเมืองอาฬวีประทับอยู่    อัคคาฬวเจดีย์

ทรงปรารภกุฏิการสิกขาบท  จึงตรัสเรื่องนี้  มีคำเริ่มต้นว่า  มมนฺนปานํ

ดังนี้.

          ได้ยินว่า  ภิกษุชาวเมืองอาฬวีพากันสร้างกุฏิ  ด้วยการ

เที่ยวขอ  มากด้วยการขอ  มากด้วยการทำวิญญัติการขอร้อง  พูดคำ

เป็นต้นว่า  ท่านทั้งหลายจงให้คน  ท่านทั้งหลายจงให้คนชี้แจงแนะนำ

พวกมนุษย์ถูกเบียดเบียนด้วยการขอ  ถูกเบียดเบียนด้วยการขอร้อง

เห็นภิกษุเข้าก็หวาดเสียวสะดุ้งตกใจหลีกหนีไป.  ครั้งนั้น  ท่าน

พระมหากัสสป  เข้าไปจนถึงเมืองอาฬวีแล้วเข้าไปบิณฑบาต.  พวก

มนุษย์เห็นแม้แต่พระเถระก็พากันหวาดกลัวเหมือนอย่างนั้น.  พระ-

เถระกลับจากบิณฑบาตภายหลังภัตตาหารแล้วจึงเรียกภิกษุทั้งหลายมา

ถามว่า  ผู้มีอายุทั้งหลาย  เมื่อก่อน  เมืองอาฬวีนี้หาภิกษาหารได้ง่าย

เพราะเหตุไร  บัดนี้จึงหาภิกษาหารได้ยาก  ครั้นได้เหตุการณ์นั้น

จึงเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้าเมื่อเสด็จมาเมืองอาฬวี  ประทับอยู่ที่

อัคคาฬวเจดีย์  แล้วกราบทูลเนื้อความนั้นให้ทรงทราบ  ในเพราะ

เหตุนั้น  พระศาสดาจึงรับสั่งให้ประชุมภิกษุสงฆ์แล้วทรงสอบถาม

พวกภิกษุชาวเมืองอาฬวี  จริงหรือที่มีข่าวว่า  พวกเธอให้เขาสร้าง

กุฏิด้วยการเที่ยวขอ  เมื่อภิกษุเหล่านั้นกราบทูลรับว่า  จริงพระเจ้าข้า

จึงทรงติเตียนภิกษุเหล่านั้นแล้วตรัสว่า  ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย  ขึ้นชื่อ

ว่าการขอนี้  ย่อมไม่เป็นที่ชอบใจแม้ของพวกนาคทั้งปวงผู้อยู่ในนาค-

พิภพอันบริบูรณ์ด้วยรัตนะ    จะป่วยกล่าวไปใยถึงพวกมนุษย์ผู้ทำ

ทรัพย์ให้เกิดขึ้นสัก    กหาปณะ  ก็ยังยาก  เป็นประหนึ่งทำ

เนื้อให้เกิดขึ้นจากหินดังนี้แล้ว  ทรงนำเอาเรื่องอดีตมาสาธก  ดัง

ต่อไปนี้  :-

          ในอดีตกาล  เมื่อพระเจ้าพรหมทัตครองราชสมบัติอยู่ใน

พระนครพาราณสี  พระโพธิสัตว์บังเกิดในตระกูลพราหมณ์ซึ่งมีทรัพย์

สมบัติมาก.  แม้ในเวลาพระโพธิสัตว์นั้นเที่ยววิ่งเล่นได้  สัตว์ผู้มีบุญ

อีกผู้หนึ่งก็บังเกิดในครรภ์มารดาของพระโพธิสัตว์นั้น.  พี่น้องทั้งสอง

นั้นเจริญวัยแล้ว  มารดาบิดาก็ทำกาลกิริยา  จึงมีความสังเวชสลดใจ

พากันบวชเป็นฤาษีสร้างบรรณศาลาอยู่ที่ฝั่งแม่น้ำคงคา.  บรรดาฤาษี

ทั้งสองนั้น  บรรณศาลาของฤาษีผู้พี่ชายอยู่เหนือแม่น้ำคงคา  บรรณ-

ศาลาของฤาษีผู้น้องชายอยู่ใต้แม่น้ำคงคา.  อยู่มาวันหนึ่ง  พระยานาค

นามว่ามณิกัฏฐะออกจากนาคพิภพ  จำแลงเพศเป็นมาณพน้อยเที่ยวไป

ตามฝั่งแม่น้ำคงคา  ไปถึงอาศรมของฤาษีผู้น้อง  จึงไหว้แล้วนั่ง

  ส่วนข้างหนึ่ง  ต่างกระทำสัมโมทนียกถาได้เป็นผู้สนิทสนมคุ้นเคย

กัน.  ไม่อาจเว้นว่างห่างกัน.  มณิกัณฐนาคมายังสำนักของพระดาบส

ผู้น้องแล้วนั่งสนทนาปราศัยกันเมื่อเวลาจะไป  ด้วยความสิเนหา

พระดาบส  จึงเปลี่ยนแปลงอัตตภาพแล้วเอาขนดหางตระหวัดรัดรอบ

พระดาบส  แล้วแผ่พังพานใหญ่ไว้เหนือศีรษะ  นอนพักอยู่หน่อยหนึ่ง

พอบรรเทาความสิเนหานั้นแล้วจึงคลายร่างไหว้พระดาบสแล้วกลับไป

นาคพิภพของตน.  เพราะความกลัวพระยานาคนั้น  พระดาบสจึงซูบ-

ผอมเศร้าหมอง  ผิวพรรณไม่ผ่องใส  เกิดเป็นโรคผอมเหลือง  มีเนื้อตัว

สะพรั่งไปด้วยแถวเส้นเอ็น.  วันหนึ่ง  จึงไปหาดาบสผู้พี่ชาย.  ลำดับ

นั้น  ดาบสผู้พี่ชายจึงได้ถามดาบสผู้น้องชายนั้นว่า  ดูก่อนท่านผู้เจริญ

เพราะเหตุไรท่านจึงซูบผอม  เศร้าหมอง  มีผิวพรรณทราม  เกิดเป็น

โรคผอมเหลือง  เนื้อตัวสะพรั่งด้วยแถวเส้นเอ็น.  ดาบสผู้น้องชายจึง

บอกเรื่องราวนั้นแก่ดาบสผู้พี่ชาย  ผู้อันดาบสผู้พี่ชายถามว่า  ท่าน

ผู้เจริญ  ก็ท่านไม่ต้องการให้พระยานาคนั้นมาหรือ  จึงตอบว่า  ไม่ต้อง

การ  เมื่อดาบสผู้พี่ชายกล่าวว่า  ก็พระยานาคนั้น  เมื่อมายังสำนัก

ของท่านประดับเครื่องประดับอะไรมา  จึงกล่าวตอบว่า  ประดับ

แก้วมณีมา.  ดาบสผู้พี่ชายกล่าวว่า  ถ้าอย่างนั้น  เมื่อพระยานาคนั้นมา

ไหว้ท่านแล้วยังไม่ทันนั่ง  จงรีบขอว่า  ท่านจงให้แก้วมณี  เมื่อขอ

อย่างนั้น  พระยานาคนั้นจักไม่รัดท่านด้วยขนดเลย  จักไปทันที

วันรุ่งขึ้นพระยานาคนั้นมายืนที่ประตูอาศรมบทยังไม่ทันเข้าไป  ท่าน

พึงขอ  ในวันที่ ๓  ท่านจงไปยืนอยู่ที่ฝั่งแม่น้ำคงคา  พอพระยานาคนั้น

ผุดขึ้นจากน้ำพึงร้องขอทันที  เมื่อเป็นอย่างนี้  พระยานาคนั้นจักไม่

มาหาท่านอีกต่อไป.  พระดาบสรับคำแล้วกลับไปบรรณศาลาของตน

วันรุ่งขึ้น  พระยานาคพอมายืนเท่านั้น  ก็ร้องขอว่า  ท่านจงให้แก้วมณี

เครื่องประดับตนลูกนั้นแก่เราเถิด.  พระยานาคนั้น  ไม่นั่ง  หนีไปเลย.

ครั้นวันที่สอง  พระยานาคนั้นมายืนอยู่ที่ประตูอาศรมบทเท่านั้น

ก็กล่าวว่า  เมื่อวานท่านยังไม่ได้ให้แก้วมณีแก่เรา  แม้วันนี้  ท่านก็

จงให้ในบัดนี้เถิด.  เมื่อเป็นเช่นนั้น  พระยานาคนั้นก็มิได้เข้าไปยัง

อาศรมบท  รีบหนีไป.  ในวันที่สาม  พอพระยานาคนั้นโผล่ขึ้นจากน้ำ

เท่านั้นพระดาบสก็กล่าวว่า  เมื่อเราร้องขออยู่วันนี้เป็นวันที่สามแล้ว

บัดนี้  ท่านจงให้แก้วมณีดวงนั้นแก่เราเถิด.  พระยานาคแม้อยู่ในน้ำ

เมื่อจะห้ามดาบสนั้นมิให้ขอ  จึงได้กล่าวคาถา    คาถาว่า  :-

                                      ข้าวและน้ำอันไพบูลย์ยิ่ง  ย่อมเกิด

                             ขึ้นแก่ข้าพเจ้า  เพราะเหตุแก้วมณีดวงนี้

                             ข้าพเจ้าจักให้แก้วมณีดวงนั้นแก่ท่านไม่ได้

                             ท่านก็ยิ่งขอหนักขึ้น  ทั้งข้าพเจ้าก็จักไม่มาสู่

                             อาศรมของท่านอีกด้วย.  เมื่อท่านขอแก้วมณี

                             อันเกิดแต่หินดวงนี้  ย่อมทำให้ข้าพเจ้าหวาด

                             เสียว  เหมือนชายหนุ่มมีมือถือดาบอันลับ

                             แล้วที่หิน  มาทำให้ข้าพเจ้าหวาดเสียวฉะนั้น

                             ข้าพเจ้าจักให้แก้วมณีดวงนั้นแก่ท่านไม่ได้

                             ท่านก็ยิ่งขอหนักขึ้น  ทั้งตัวข้าพเจ้าก็จักไม่

                             มาสู่อาศรมของท่านอีกต่อไป.

          บรรดาบทเหล่านั้น  บทว่า  มมนฺนปานํ  ได้แก่  โภชนะ

อันเป็นทิพย์มีข้าวยาคูและภัตต์เป็นต้น  และน้ำดื่มอันเป็นทิพย์มีน้ำ

ปานะ    ชนิด  ของข้าพเจ้า.  บทว่า  วิปุลํ  แปลว่า  มาก.  บทว่า

อุฬารํ  ได้แก่  ประเสริฐ  คือ  ประณีต.  บทว่า  ตนฺเต  ได้แก่

เราจักไม่ให้แก้วมณีดวงนั้นแก่ท่าน.  บทว่า  อติยาจโกสิ  ความว่า

ท่านขอแก้วมณีอันเป็นที่รักที่ชอบใจของข้าพเจ้า  สิ้น    วัน  เข้าวันนี้

ล่วงกาลและล่วงกำหนดประมาณ  ชื่อว่าเป็นผู้ขอเกินไป.  บทว่า

  จาปิ  เต  ความว่า  เราจักไม่ให้อย่างเดียวเท่านั้นก็หามิได้  แม้

อาศรมของท่านเราก็จักไม่มา.  บทว่า  สุสู  ยถา  ได้แก่  เหมือน

มนุษย์หนุ่ม.  บทว่า  สกฺขรโธตปาณี  แปลว่า  ผู้มีฝ่ามือล้างแล้ว

ด้วยน้ำตาลกรวด  อธิบายว่า  มีมือถือดาบอันลับแล้วที่หินประกอบด้วย

น้ำมัน.  บทว่า  ตาเสสิมํ  เสลํ  ยาจมาโน  ความว่า  ท่านเมื่อขอ

แก้วมณีดวงนี้  ทำให้หวาดเสียว  เหมือนบุรุษหนุ่มชักดาบมีด้าม

คร่ำทองแล้วกล่าวขู่ว่า  จะตัดศีรษะท่าน.  พระยานาคนั้นครั้นกล่าว

อย่างนี้แล้วจึงดำน้ำลงไปยังนาคพิภพทีเดียว  แล้วไม่กลับมาอีกต่อไป.

          ต่อมาพระดาบสนั้นกลับเป็นผู้ซูบผอม  เศร้าหมอง  ผิวพรรณ

ไม่งดงาม  เกิดเป็นโรคผอมเหลือง  มีเนื้อตัวสะพรั่งด้วยแถวเส้นเอ็น

หนักยิ่งขึ้นกว่าแต่ก่อนเพราะไม่ได้เห็นพระยานาคผู้น่าดูตนนั้น.  ฝ่าย

ดาบสผู้พี่ชายคิดว่าจักรู้เรื่องราวของดาบสผู้น้องชาย  จึงไปยังสำนัก

ดาบสนั้น  ได้เห็นดาบสผู้น้องชายนั้นมีโรคผอมเหลืองหนักกว่าเดิม

จึงกล่าวว่า  ผู้เจริญ  เพราะเหตุไรหนอ  ท่านจึงเกิดโรคผอมเหลือง

ยิ่งกว่าเดิม  ครั้นได้สดับว่า  เพราะไม่ได้พบพระยานาคผู้น่าดูตนนั้น

จึงกำหนดได้ว่า  ดาบสนี้ไม่อาจเหินห่างพระยานาคได้  จึงกล่าว

คาถาที่    ว่า  :-

                                      บุคคลรู้ว่าสิ่งใดเป็นที่รักของเขาก็ไม่

                             ควรขอสิ่งนั้น  บุคคลย่อมเป็นที่เกลียดชัง

                             เพราะขอจัด  พระยานาคถูกพราหมณ์ขอ

                             แก้วมณีตั้งแต่นั้นมา  พระยานาคก็มิได้มาให้

                             พราหมณ์นั้นเห็นอีกเลย.

          บรรดาบทเหล่านั้น  บทว่า    ตํ  ยาเจ  ความว่า  ไม่พึงขอ

สิ่งนั้น.  บทว่า  ยสฺส  ปิยํ  ชิคึเส  ความว่า  พึงรู้ว่า  สิ่งใดเป็น

ที่รักของบุคคลนั้น.  บทว่า  เทสฺโส  โหติ  แปลว่า  ย่อมไม่เป็น

ที่รัก.  บทว่า  อติยาจนาย  ได้แก่  เมื่อขอสิ่งของเกินประมาณนั้นแล

ชื่อว่า  เพราะขอจัดนั้น.  บทว่า  อทสฺสนํเยว  ตทชฺฌคมา  ได้แก่

ตั้งแต่นั้นมาก็ไปไม่เห็นอีกเลย.

          ก็ดาบสผู้พี่ชายครั้นกล่าวกะดาบสน้องชายอย่างนั้นแล้วจึง

ปลอบโยนว่า  ผู้เจริญ  ตั้งแต่บัดนี้ไปท่านอย่าเศร้าโศกเสียใจเลย

แล้วกลับไปยังอาศรมของตน.  ครั้นในกาลต่อมาอีกดาบสพี่น้องทั้ง

สองนั้นทำฌานและสมาบัติให้บังเกิดแล้ว  ได้มีพรหมโลกเป็นที่ไปใน

เบื้องหน้า.  พระบรมศาสดาตรัสว่า  ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย  ขึ้นชื่อว่า

การขอ  ไม่เป็นที่ชอบใจแม้ของพวกนาคที่อยู่ในนาคพิภพอันสมบูรณ์

ด้วยรัตนะทั้ง    ประการ  จะป่วยกล่าวไปใยถึงมนุษย์ทั้งหลายเล่า

          พระศาสดาครั้นทรงนำพระธรรมเทศนานี้มาแล้ว  ทรงประชุม

ชาดกว่า  ดาบสน้องชายในกาลนั้น  ได้เป็นพระอานนท์ในบัดนี้  ส่วน

ดาบสผู้พี่ชายคือเราตถาคต  ฉะนี้แล

                                      จบ  อรรถกถามณิกัณฐชาดกที่