พระศาสดาเมื่อประทับอยู่     พระวิหารเชตวัน  ทรงปรารภ

ภิกษุผู้มักโกรธรูปหนึ่ง  จึงตรัสเรื่องนี้  มีคำเริ่มต้นว่า  อชฺชาปิ  เม

ตํ  มนสิ  ดังนี้.

          ได้ยินว่า  มีภิกษุรูปหนึ่งเป็นผู้มักโกรธมากไปด้วยความคับ

แค้นใจ  ถูกใครว่าอะไรแม้เพียงนิดเดียวก็โกรธ  ข้องใจ  กระทำความ

โกรธ  ความประทุษร้าย  และความน้อยใจให้ปรากฎ.  อยู่มาวันหนึ่ง

ภิกษุทั้งหลายนั่งสนทนากันในโรงธรรมสภาว่า  ผู้มีอายุทั้งหลาย  ภิกษุ

รูปโน้นเป็นคนโกรธง่าย  มากไปด้วยความคับแค้นใจ  เที่ยวทำเสียง

เอะอะเหมือนเกลือที่เขาใส่ในเตาไฟ  เป็นผู้บวชในศาสนาที่สอน

มิให้โกรธเห็นปานนี้  แม้แต่ความโกรธเท่านั้น  ก็ไม่อาจข่มได้.  พระ-

ศาสดาทรงตรัสถ้อยคำของภิกษุเหล่านั้น  จึงทรงสั่งภิกษุรูปหนึ่งให้ไป

เรียกภิกษุรูปนั้นมา  แล้วตรัสถามว่า  ข่าวว่าเธอเป็นผู้โกรธง่ายจริง

หรือ  ?  เมื่อภิกษุรูปนั้นรับเป็นสัตย์แล้ว  จึงตรัสว่า  ภิกษุทั้งหลาย

มิใช่บัดนี้เท่านั้น  แม้ในกาลก่อน  ภิกษุนี้ก็ได้เป็นคนมักโกรธเหมือน

กัน  ภิกษุทั้งหลายทูลอาราธนา  จึงทรงนำเอาเรื่องในอดีตมาสาธก

ดังต่อไปนี้:-

          ในอดีตกาล  เมื่อพระเจ้าพรหมทัตครองราชสมบัติอยู่ในกรุง

พาราณสี  โอรสของพระเจ้าพรหมทัต  นั้นได้มีนามว่า  พรหมทัตต-

กุมาร.  แท้จริงพระราชาครั้งเก่าก่อน  แม้จะมีอาจารย์ทิศาปาโมกข์ใน

นครของตน  ก็ย่อมส่งพระราชโอรสของตน ๆ  ไปเรียนศิลปะยังภาย

นอกรัฏฐะในที่ไกล  ด้วยหวังใจว่า  เมื่อกระทำอย่างนี้  พระราชโอรส

เหล่านั้น  จักเป็นผู้ขจัดความเย่อหยิ่งด้วยมานะ     จักเป็นผู้อดทนต่อ

ความหนาวและความร้อน    จักได้รู้จารีตประเพณีของชาวโลก 

เพราะฉะนั้น  พระราชาแม้พระองค์นั้น  จึงมีรับสั่งให้หาพระราชโอรส

ซึ่งมีพระชนมายุ ๑๖ พรรษามา  แล้วพระราชทานฉลองพระบาทชั้น

เดี่ยวคู่    ร่มใบไม้คันหนึ่ง  และทรัพย์  ,๐๐๐  กหาปณะ  พลาง

ตรัสว่าลูกรัก  เจ้าจงไปยังเมืองตักกศิลา  ร่ำเรียนเอาศิลปะมา  แล้ว

ทรงส่งไป.  พระราชโอรสรับพระราชโองการแล้วถวายบังคมพระ-

ชนกชนนีแล้วเสด็จออกไป  บรรลุถึงเมืองตักกศิลาโดยลำดับ  ได้ไป

ถามหาบ้านอาจารย์ก็ในเวลานั้น  อาจารย์สอนศิลปะแก่พวกมาณพ

เสร็จแล้วลุกขึ้นมานั่ง    ที่ข้างหนึ่งที่ประตูเรือน.  พระราชโอรสนั้น

ไปที่บ้านอาจารย์นั้น  ได้เห็นอาจารย์นั่งอยู่ในที่นั้น  ครั้นแล้วจึงถอด

รองเท้าตรงที่นั้นแหละ  ลดร่ม  ไหว้อาจารย์แล้วยืนอยู่.  อาจารย์นั้น

รู้ว่าพระราชโอรสนั้นเหน็ดเหนื่อยมาจึงให้กระทำอาคันตุกสงเคราะห์.

พระกุมารเสวยพระกระยาหารเสร็จแล้ว  พักผ่อนอยู่ครู่หนึ่ง  จึงเข้าไป

หาอาจารย์ไหว้แล้วยืนอยู่  เมื่ออาจารย์ทิศาปาโมกข์ถามว่า  เธอมา

จากไหนน่ะพ่อ  จึงกล่าวตอบว่า  มาจากเมืองพาราณสี.  เธอเป็นลูก

ใคร  ?  เป็นโอรสของพระเจ้าพาราณสี.  พระองค์เสด็จมาด้วยประสงค์

อะไร  ?  ท่านอาจารย์ข้าพเจ้ามาเพื่อต้องการเรียนศิลปะ.  พระองค์นำ

ทรัพย์อันเป็นส่วนของอาจารย์มาด้วยหรือเปล่า  หรือพระองค์จะเป็น

ธัมมันเตวาสิก.  พระราชกุมารนั้นกล่าวว่า  ทรัพย์อันเป็นส่วนของ

อาจารย์ข้าพเจ้านำมาด้วยแล้ว  ว่าแล้วก็วางถุงทรัพย์พันกหาปณะลงที่

ใกล้เท้าของอาจารย์แล้วก็ไหว้.  อันศิษย์ที่เป็นธัมมันเตวาสิก  เวลา

กลางวันต้องทำการงานให้อาจารย์  กลางคืนจึงจะได้เรียน.  ศิษย์ที่ให้

ทรัพย์อันเป็นส่วนของอาจารย์  เป็นเหมือนบุตรคนโตในเรือน  เรียน

แต่ศิลปะเท่านั้น.  เพราะฉะนั้น  อาจารย์แม้นั้น  พอมีฤกษ์งามยามดี

แล้ว  จึงเริ่มสอนศิลปะแก่พระกุมารโดยพิสดาร.  ฝ่ายพระราชกุมาร

ก็เรียนเอาศิลปะด้วยความตั้งใจ  วันหนึ่ง  ได้ไปอาบน้ำพร้อมกับ

อาจารย์.  ครั้งนั้นมีหญิงชราคนหนึ่ง  ขัดสีเมล็ดงาให้หมดเปลือกแล้ว

เอามาแผ่ตากไว้  นั่งเฝ้าอยู่.  พระกุมารเห็นเมล็ดงาที่ตากไว้  ก็อยาก

จะเสวย  จึงหยิบเมล็ดงามาหนึ่งกำมือแล้วเคี้ยวเสวย.  หญิงชราคิดว่า

มาณพนี้คงอยากกิน  จึงนิ่งเสียมิได้กล่าวประการใด.  แม้ในวันรุ่งขึ้น

พระกุมารนั้นก็ได้ทำเหมือนอย่างนั้น  ในเวลานั้น.  แม้หญิงชรานั้นก็

ไม่กล่าวอะไรกะพระราชกุมารนั้น.  แม้ในวันที่    พระราชกุมารก็ได้

ทำเหมือนอย่างนั้นนั่นแหละ.  คราวนั้น  หญิงชราเห็นเข้า  จึงประคอง

แขนทั้งสองร้องคร่ำครวญว่า  อาจารย์ทิศาปาโมกข์  ใช้ให้พวกศิษย์ของ

ตนปล้นเรา.  อาจารย์หันกลับมาถามว่า  นี่อะไรกันแน่.  หญิงชรา

กล่าวว่า  นาย  ศิษย์ของท่านเคี้ยวกินเมล็ดงาอ่อนที่ข้าพเจ้าทำไว้  วันนี้

กำมือหนึ่ง  เมื่อวานกำมือหนึ่ง  เมื่อวันซืนกำมือหนึ่ง  ก็เมื่อศิษย์

ของท่านเคี้ยวกินอยู่อย่างนี้  เมล็ดงาที่มีอยู่ของดิฉันเท่าไรๆ  ก็จักหมด

สิ้นไปมิใช่หรือ.  อาจารย์ทิศาปาโมกข์กล่าวว่า  แม่  อย่าร้องไห้ไปเลย

ฉันจักให้มูลค่าแก่ท่าน.  หญิงชรากล่าวว่า  ดิฉันไม่ต้องการมูลค่าดอก

นาย  ดิฉันขอให้ท่านสั่งสอน  โดยอย่าให้กุมารนี้กระทำอย่างนี้อีก

ต่อไป.  อาจารย์กล่าวว่า  ถ้าอย่างนั้น  จงคอยดูนะแม่  แล้วให้มาณพ   

คนจับพระราชกุมารนั้นที่แขนทั้ง    ข้างไว้  จึงเอาซีกไม้ไผ่มาเฆี่ยนที่

กลางหลัง    ครั้งพร้อมกับสอนว่า  เธออย่าได้ทำอย่างนี้อีกต่อไป

พระราชกุมารโกรธอาจารย์  ทำนัยน์ตาแดงมองดูตั้งแต่หลังเท้าจนถึง

ปลายผม.  แม้อาจารย์นั้นก็รู้ว่า  พระราชกุมารนั้นมองดูเพราะโกรธ

เคือง.  พระราชกุมารเรียนศิลปะจบแล้วทำการฝึกซ้อม  เก็บโทษที่

อาจารย์นั้นกระทำไว้ในหทัย  โดยอาฆาตว่า  เราต้องฆ่าอาจารย์ผู้นี้

ครั้นเวลาจะไป  จึงไหว้อาจารย์  ทำทีมีความสิเนหาอย่างสุดซึ้งรับเอา

ปฏิญญาว่า  ท่านอาจารย์  เมื่อใด  ข้าพเจ้าได้ราชสมบัติในพระนคร

พาราณสี  แล้วส่งข่าวมาถึงท่าน  เมื่อนั้น  ขอให้ท่านพึงมาหา

ข้าพเจ้า  กล่าวดังนี้แล้วก็จากไป.  ครั้นไปถึงพระนครพาราณสีแล้ว

ถวายบังคมพระชนกชนนี  แล้วแสดงศิลปะให้ทอดพระเนตร.  พระ-

ราชาตรัสว่า  เรามีชีวิตอยู่ทันเห็นบุตรเราขณะมีชีวิตอยู่นี้แหละ  จักได้

เห็นความสง่าในราชสมบัติแห่งบุตรของเรา  จึงทรงสถาปนาพระราช-

โอรสไว้ในราชสมบัติ.  เมื่อพระราชโอรสได้ครอบครองศิริราชสมบัติ

ก็ระลึกถึงโทษที่อาจารย์ได้กระทำไว้  ก็ทรงพระพิโรธ  จึงทรงส่งทูตไป

ถึงอาจารย์เพื่อให้มาเฝ้าด้วยตั้งพระทัยว่า  เราจักฆ่าอาจารย์นั้น.  ท่าน

อาจารย์คิดว่า  ในเวลาที่เขายังหนุ่มแน่นเราจักไม่อาจให้พระราชานั้น

เข้าใจได้  จึงมิได้ไป  ในเวลาที่พระราชานั้นล่วงเข้ามัชฌิมวัย  คิดว่า

บัดนี้เราจักอาจทำให้พระราชานั้นเข้าใจได้  จึงได้เดินทางไปยืนอยู่ที่

ประตูพระราชวัง  ให้กราบทูลว่าอาจารย์จากเมืองตักศิลามาแล้ว.

พระราชาทรงโสมนัสยินดีรับสั่งให้เรียกพราหมณ์มา  พอเห็นอาจารย์

นั้นมาเฝ้าพระองค์เท่านั้น  ทรงพระพิโรธจนพระเนตรทั้งสองข้างแดง

ตรัสเรียกอำมาตย์ทั้งหลายมาว่า  แน่ะผู้เจริญที่ที่อาจารย์เฆี่ยนยังเสียด

แทงเรา  อยู่จนทุกวันนี้  อาจารย์บากหน้าพาเอาความตายมาโดยไม่

รู้ว่า  เราจักตายวันนี้  อาจารย์ผู้นั้นจะไม่มีชีวิตแล้ว  จึงได้ตรัสคาถา 

คาถา  อันมีในเบื้องต้นว่า  :-

                                      การที่ท่านให้จับแขนเราไว้แล้วเฆี่ยน

                             ตีเราด้วยซีกไม้ไผ่  เพราะเหตุเมล็ดงากำมือ

                             หนึ่งนั้น  ยังฝังใจเราอยู่จนทุกวันนี้.  ดูก่อน

                             พราหมณ์  ท่านไม่ใยดีในชีวิตของท่านแล้ว

                             หรือ  จึงมาหาเราถึงที่นี่  ผลที่ท่านให้จับแขน

                             ทั้งสองของเราแล้วเฆี่ยนตีเราถึง    ที่นั้น

                             จักสนองท่านในวันนี้.

          ทุติยาวิภัติในบททั้งสองว่า  ยํ  มํ  และ  พาหายํ  มํ  ใน

คาถานั้น  เพ่งถึงการเฆี่ยนตีและการจับ.  ในบทนี้มีอธิบายดังนี้ว่า

ข้อที่ท่านเฆี่ยนตีเรา  เพราะเมล็ดงากำมือหนึ่ง  และเมื่อเฆี่ยนตียังได้

จับแขนเราแล้วเฆี่ยนตีนั้น  ยังฝังใจเราอยู่แม้ทุกวันนี้.  บทว่า  นนุ

ชีวิเต    รมสิ  ความว่า  ท่านเห็นจะไม่ยินดีในชีวิตของตน.  บทว่า

เยนาสิ  พฺราหฺมณาคโต  ความว่า  ดูก่อนพราหมณ์  เพราะเหตุที่ท่าน

มาหาเราในที่นี้.  บทว่า  ยํ  มํ  พาหา  คเหตฺวาน  ความว่า  ข้อที่

จับแขนทั้งสองของเรา  อธิบายว่า  จับที่แขนดังนี้ก็มี.  บทว่า  ติกฺขตฺตุ ํ

อนุตาลยิ  ความว่า  ท่านเฆี่ยนตีเราด้วยซีกไม้ไผ่ถึง    ครั้ง  วันนี้

แหละ  ท่านจะได้รับผลแห่งการเฆี่ยนตีเรานั้น.  พระราชาเอาความ

ตายมาขู่อาจารย์ดังนี้  จึงกล่าวอย่างนั้น.

          อาจารย์ได้ฟังดังนั้นจึงกล่าวคาถาที่    ว่า  :-

                                      อริยชนใดย่อมเกียดกันอนารยชน  ผู้

                             กระทำชั่วด้วยการลงโทษ  กรรมของอริยชน

                             นั้นเป็นการสั่งสอนหาใช่เป็นเวรไม่  บัณฑิต

                             ทั้งหลายย่อมรู้ชัดข้อนั้นอย่างนี้แล.

          บทว่า  อริโย  ในคาถานั้น  เป็นชื่อของผู้สอน.  ก็อริยชนนี้

นั้นมี    ประเภท  คือ  อาจารอริยชน  อริยชนผู้มีอาจาระ    ทัสสน-

อริยชน  อริยชนที่ควรแลดู    ลิงคอริยชน  อริยชนผู้ถือเพศ 

ปฏิเวธอริยชน  อริยชนผู้รู้แจ้งแทงตลอด    ในอริยชน    ประเภท

นั้น  อริยชนผู้ตั้งอยู่ในมารยาทอันประเสริฐ  จะเป็นมนุษย์หรือสัตว์

เดรัจฉานก็ตาม  ชื่อว่าอาจารอริยชน.  สมจริงดังที่ท่านกล่าวไว้ว่า  :-

                                      ข้าพเจ้าขอสละภัสดาผู้ประพฤติเยี่ยง

                             อริยชนคนโกง  เชิดชูบิณฑะ  ที่พามาได้นั้น

                             แก่ท่าน  ขอท่านทั้งสองจงไปตามสบายเถิด.

          ส่วนอริยชนผู้ประกอบด้วยรูปและอิริยาบถอันน่าเลื่อมใส  น่าดู

ชื่อว่าทัสสนอริยชน.  สมจริงดังคำที่ท่านกล่าวไว้ว่า  :-

                                      ท่านผู้เจริญ  ท่านมีนัยน์ตาผ่องใส่  มี

                             ท่าทางอันประเสริฐ  ออกบวชจากตระกูล

                             อะไร  จิตของท่านสละโภคทรัพย์ได้ละหรือ

                             ผู้มีปัญญาเท่านั้นจึงจะออกจากเรือนบวชได้.

          อริยชนผู้เป็นคล้ายสมณะ  โดยถือเพศด้วยการนุ่งห่มเที่ยวไป

อยู่  แม้จะเป็นผู้ทุศีล  ก็ชื่อว่าลิงคอริยชน  ซึ่งท่านหมายกล่าวไว้ว่า  :-

                                      บุคคลผู้ทำการนุ่งห่มเหมือนผู้มีพรต

                             อันงามทั้งหลาย  มักเอาหน้า  ประทุษร้าย

                             ตระกูล  เป็นคนคนอง  เป็นคนเจ้าเล่ห์  ไม่

                             สำรวม  เป็นคนพร่ำเพ้อ  ประพฤติโดยอาการ

                             เทียม  ชื่อว่าเป็นผู้ทำลายหนทาง.

          ฝ่ายพระอริยบุคคลทั้งหลายมีพระพุทธเจ้าเป็นต้น  ชื่อว่าปฏิเวธ-

อริยชน.  ด้วยเหตุนั้น  ท่านจึงกล่าวว่า  พระพุทธเจ้า  พระปัจเจก-

พุทธเจ้า  และพุทธสาวกทั้งหลาย  เรียกว่า  พระอริยะ.  บรรดาอริยชน

เหล่านั้น  ในที่นี้  พราหมณ์ประสงค์เอาอาจารอริยชนอย่างเดียว.

บทว่า  อนริยํ  ได้แก่  ผู้ทุศีล  มีธรรมอันลามก.  บทว่า  กุพฺพํ  ได้แก่

ผู้กระทำกรรมของผู้ทุศีล    อย่าง  มีปาณาติบาตเป็นต้น.  อีกอย่างหนึ่ง

อรรถบทนี้เป็นอย่างเดียวกันว่า  บุคคลผู้กระทำกรรมอันเป็นเวรและ

ภัย    อันไม่ประเสริฐ  คือ  เลวทราม  ลามก  บทว่า  โย  ความว่า 

ก็บรรดากษัตริย์เป็นต้น  คนใดคนหนึ่งนั้น  บทว่า  ทณฺเฑน  ความว่า

ด้วยเครื่องประหารอย่างใดอย่างหนึ่ง.  บทว่า  นิเสธติ  ความว่า  เฆี่ยนตี

ห้ามปรามว่า  อย่าทำกรรมเห็นปานนี้อีกต่อไป.  บทว่า  สาสนํ  ตํ 

ตํ  เวรํ  ความว่า  ข้าแต่มหาราช  ชื่อว่า  การเฆี่ยนตีกีดกันบุตรธิดา

หรือศิษย์ผู้กระทำสิ่งไม่ควรทำด้วยอาการอย่างนี้  เป็นการสั่งสอนใน

โลกนี้  คือ  เป็นการพร่ำสอน  เป็นโอวาท  หาใช่เป็นการก่อเวรไม่

บทว่า  อิติ  นํ  ปณฺฑิตาวิทู  ความว่า  บัณฑิตทั้งหลายย่อมรู้ชัดข้อนั้น

อย่างนี้ทีเดียว.  ข้าแต่มหาราช  เพราะฉะนั้น  แม้พระองค์ก็โปรด

ทรงทราบอย่างนี้  พระองค์ไม่ควรก่อเวรในฐานะเห็นปานนี้  ถ้าแม้

ข้าพระองค์จักไม่ได้ให้พระองค์ทรงสำเนียกอย่างนี้แล้ว  ต่อไปภาย

หน้า  พระองค์ลักขนม  น้ำตาลกรวด  แลผลไม้เป็นต้น  ติดในโจรกรรม

ทั้งหลาย  จะทำการตัดช่องย่องเบา  ฆ่าคนในหนทางและฆ่าชาวบ้าน

เป็นต้น  โดยลำดับ  ถูกจับพร้อมทั้งของกล่าวว่า  โจรผู้ผิดต่อพระราชา

แล้วแสดงต่อพระราชา  จักได้รับภัยคืออาญา  โดยพระดำรัสว่า  พวก

ท่านจงไปลงอาญาอันสมควรแก่โทษของโจรนี้  สมบัติเห็นปานนี้  จัก

ได้มีแก่พระองค์มาแต่ไหน  พระองค์ได้ความเป็นใหญ่โดยเรียบร้อย

เพราะอาศัยข้าพระองค์มิใช่หรือ  อาจารย์ได้ทำให้พระราชายินยอม

ด้วยประการดังกล่าวมานี้.

          ฝ่ายอำมาตย์ทั้งหลายผู้ยืนห้อมล้อมอยู่  ได้ฟังถ้อยคำของ

อาจารย์นั้นแล้วจึงกราบทูลว่า  ขอเดชะ  คำที่อาจารย์กล่าวนั้นเป็น

ความจริง  ความเป็นใหญ่นี้เป็นของท่านอาจารย์ของพระองค์  ขณะนั้น

พระราชาทรงกำหนดได้ถึงคุณของอาจารย์จึงกล่าวว่า  ท่านอาจารย์

ข้าพเจ้าให้ความเป็นใหญ่นี้แก่ท่าน  ขอท่านจงรับราชสมบัติเถิด.

อาจารย์ปฏิเสธว่า  ข้าพระองค์ไม่ต้องการราชสมบัติ.  พระราชาทรง

ส่งข่าวไปยังเมืองตักกศิลา  ให้นำบุตรและภรรยาของอาจารย์มา  แล้ว

ประทานอิสริยยศใหญ่  ทรงตั้งอาจารย์นั้นนั่นแล  ให้เป็นปุโรหิต

แล้วตั้งไว้ในฐานเป็นบิดา  ตั้งอยู่ในโอวาทของอาจารย์นั้น  บำเพ็ญบุญ

ทั้งหลาย  มีทานเป็นต้น  ได้มีสวรรค์เป็นที่ไปในเบื้องหน้า

          พระศาสดาครั้นทรงนำพระธรรมเทศนานี้มาแล้วทรงประกาศ

อริยสัจ    ทรงประชุมชาดก.  ในเวลาจบอริยสัจ  ภิกษุผู้มักโกรธ

ดำรงในอนาคามิผล  คนอื่นๆได้เป็นพระโสดาบันและพระสกทาคามี.

พระราชาในคราวนั้น  ได้เป็นภิกษุผู้มักโกรธในบัดนี้  ส่วนอาจารย์ใน

คราวนั้น  ได้เป็นเราตถาคต  ฉะนี้แล.

                                      จบ  อรรถกถาติลมุฏฐิชาดกที่