อรรถกถาสังกัปปราคชาดกที่ 

          พระศาสดาเมื่อประทับอยู่    พระวิหารเชตวัน  ทรงปรารภ

ภิกษุผู้กระสัน  จึงตรัสเรื่องนี้  มีคำเริ่มต้นว่า  สงฺกปฺปราคโธเตน  ดังนี้.

          ได้ยินว่า  มีกุลบุตรชาวเมืองสาวัตถีคนหนึ่ง  บวชถวายชีวิตใน

ศาสนาของพระศาสดา  วันหนึ่งเที่ยวบิณฑบาตไปในเมืองสาวัตถีได้เห็น

หญิงคนหนึ่งตกแต่งประดับประดาสวยงาม  เกิดความกำหนัดรักใคร่ไม่

ยินดีประพฤติพรหมจรรย์  อาจารย์และอุปัชฌาย์เป็นต้น  ได้เห็นอาการ

ดังนั้น  จึงถามถึงเหตุที่ไม่ยินดีประพฤติพรหมจรรย์  ครั้นทราบว่าเธอ

มีความประสงค์จะสึก  จึงพากันกล่าวว่า  นี่แน่ะคุณ  ธรรมดาว่าพระ-

บรมศาสดาทรงสังหารกิเลสมีราคะเป็นต้น  ทรงทรมานแล้วประกาศ

อริยสัจ  ประทานโสดาปัตติมรรคเป็นต้น  มาเถิดคุณ  พวกเราจะพาไป

เฝ้าพระศาสดาแล้วได้พาไป  และเมื่อพระบรมศาสดาตรัสถามว่า  ดูก่อน

ภิกษุทั้งหลาย  พวกเธอพาภิกษุผู้ไม่มีแก่ใจมาทำไมหรือ  จึงพากันกราบ

ทูลเรื่องนั้นให้ทรงทราบ.  พระบรมศาสดาตรัสถามว่า  ได้ยินว่าเธอ

กระสันจะสึกจริงหรือภิกษุ?  เมื่อเธอกราบทูลว่า  จริงพระเจ้าข้า  จึง

ตรัสถามว่า  เพราะเหตุไร?  ภิกษุนั้นจึงกราบทูลเรื่องนั้นให้ทรงทราบ.

ลำดับนั้น  พระบรมศาสดา  จึงตรัสว่า  ดูก่อนภิกษุ  ธรรมดาว่าสตรี

ทั้งหลายนี้  ได้เคยทำความเศร้าหมองให้เกิดแม้แก่สัตว์ผู้บริสุทธิ์ทั้งหลาย

ผู้ที่ข่มกิเลสได้ด้วยกำลังฌาน  เหตุไฉนจักไม่ทำบุคคลผู้ไร้คุณสมบัติเช่น

เธอให้เศร้าหมองเล่า  ท่านผู้บริสุทธิ์ยังเศร้าหมองได้ทั้งท่านผู้พรั่งพร้อม

ด้วยอุดมยศก็ยังถึงความเสื่อมยศได้  จะป่วยกล่าวไปใยถึงผู้ไม่บริสุทธิ์

เล่า  ลมที่พัดภูเขาสิเนรุให้หวั่นไหว  ไฉนจักไม่พัดขยะใบใม้เก่าให้

กระจัดกระจายเล่า  กิเลสนี้ยังก่อกวนสัตว์ผู้นั่งอยู่ที่โคนต้นโพธิ์  กำลัง

จะตรัสรู้ได้  ไฉนจักไม่ก่อกวนคนเช่นเธอเล่า  ครั้นตรัสดังนี้แล้ว

ภิกษุทั้งหลายทูลอาราธนา  จึงทรงนำเอาเรื่องในอดีตมาสาธกดังนี้:-

          ในอดีตกาล  เมื่อพระเจ้าพรหมทัตครองราชสมบัติอยู่ในพระ-

นครพาราณสี  พระโพธิสัตว์ได้บังเกิดในตระกูลพราหมณ์มหาศาลมี

ทรัพย์สมบัติ  ๘๐  โกฏิ  ครั้นเจริญวัยแล้วไปเล่าเรียนศิลปะทั้งปวงใน

เมืองตักกศิลา  เมื่อเรียนสำเร็จแล้ว  ก็กลับมายังเมืองพาราณสี

อยู่ครองเรือนมีบุตรภรรยา  ครั้นบิดามารดาล่วงลับไป  ก็ได้

กระทำกิจเกี่ยวกับการตายของบิดามารดา  เมื่อกระทำการตรวจตราใน

ข้อที่ลี้ลับ  จึงรำพึงว่า  ทรัพย์ที่บิดามารดารวบรวมไว้ยังปรากฎอยู่

แต่บิดามารดาไม่ปรากฎ  จึงมีความสลดใจ  เหงื่อไหลออกจากร่างกาย

เขาอยู่ครองเรือนเป็นเวลานาน  ได้ให้ทานมากมายละกามทั้งหลาย  ละ

หมู่ญาติผู้มีหน้านองด้วยน้ำตา  เข้าป่าหิมพานต์สร้างบรรณศาลาอยู่

ในที่อันน่ารื่นรมย์  เที่ยวแสวงหารากไม้และผลไม้ในป่าเลี้ยงชีพ  ไม่

นานเท่าไรก็ทำอภิญญาและสมาบัติให้เกิดขึ้น  เล่นฌานอยู่มาช้านาน

จึงคิดได้ว่า  เราไปยังถิ่นมนุษย์จักได้เสพรสเค็มและรสเปรี้ยว  เมื่อ

เป็นเช่นนั้น  ร่างกายของเรา  จักแข็งแรง  และจักได้เป็นการพักผ่อน

ของเราไปด้วย  ทั้งชนเหล่าใดจักให้ภิกษาหรือจักกระทำการอภิวาท

เป็นต้นแก่ผู้มีศีลเช่นกับเรา  ชนเหล่านั้นจักได้ไปเกิดบนสวรรค์.

ครั้นคิดแล้วจึงออกจากป่าหิมพานต์  เที่ยวจาริกไปโดยลำดับจนถึงเมือง

พาราณสี  ในเวลาใกล้ค่ำ  จึงเที่ยวเลือกหาที่พักอาศัย  แลเห็นพระ-

ราชอุทยานจึงคิดว่า  ที่นี้สมควรแก่การหลีกเร้น  เราจักพักอยู่ในที่นี้

ครั้นคิดแล้วจึงเข้าไปยังพระราชอุทยาน  นั่งอยู่ที่โคนไม้ต้นหนึ่งทำ

เวลาราตรีให้หมดไปด้วยความสุขในฌาน  วันรุ่งขึ้นเวลาเช้า  ชำระ

สรีระกายแล้ว  จัดแจงผูกชฎาห่มหนังเสือและนุ่งผ้าเปลือกไม้  ถือ

ภาชนะสำหรับภิกขาจาร  สำรวมอินทรีย์สงบระงับ  สมบูรณ์ด้วย

อิริยาบถ  ทอดจักษุดูไปชั่วแอก  มีรูปสิริของตนสมบูรณ์ด้วยอาการ

ทั้งปวง  อาจดึงเอาสายตาของชาวโลกให้แลดู  เดินเข้าพระนคร

เที่ยวภิกขาจารไปจนถึงประตูพระราชนิเวศน์.  พระราชากำลังเสด็จ

ดำเนินอยู่ที่ท้องพระโรง  ทอดพระเนตรเห็นพระโพธิสัตว์ทางช่องพระ

 แกล  ทรงเลื่อมใสในอิริยาบถของเธอ  ทรงพระดำริว่า  ถ้าธรรมอัน

สงบระงับมีอยู่  ก็คงจะมีในภายในจิตของท่านผู้นี้  จึงดำรัสสั่งอำมาตย์

ผู้หนึ่งว่า  เจ้าจงไปนำพระดาบสนั้นมา.  อำมาตย์นั้นไปไหว้แล้วขอรับ

เอาภาชนะสำหรับภิกขาจารแล้วกล่าวว่า  ข้าแต่พระคุณเจ้า.  พระราชา

รับสั่งนิมนต์ท่าน  พระโพธิสัตว์กล่าวว่า  ท่านผู้มีบุญหนักศักดิ์ใหญ่

พระราชาไม่ทรงรู้จักกับอาตมา  อำมาตย์จึงเรียนว่า  ถ้ากระนั้น  ขอ

นิมนต์พระคุณเจ้ายับยั้งอยู่ที่นี้จนกว่ากระผมจะกลับมา  แล้วกลับไป

กราบทูลพระราชาให้ทรงทราบ.  พระราชารับสั่งว่า  พระดาบสรูปอื่น

ผู้ที่จะเข้าไปยังราชตระกูลของเรายังไม่มี  เจ้าจงไปนิมนต์พระดาบสนั้น

มา.  ฝ่ายพระองค์เองก็ทรงเหยียดพระหัตถ์ออกไหว้ทางช่องพระแกล

ตรัสว่า  พระคุณเจ้าผู้เจริญ  ขอนิมนต์มาทางพระราชนิเวศน์นี้เถิด.

พระโพธิสัตว์จึงมอบภาชนะสำหรับภิกขาจารให้อำมาตย์ถือไปแล้วก็เดิน

ขึ้นสู่ท้องพระโรง.  ลำดับนั้น  พระราชาทรงไหว้พระโพธิสัตว์นั้นแล้ว

นิมนต์ให้นั่งบนราชบัลลังก์  แล้วอังคาสเลี้ยงดูด้วยข้าวยาคู  ของขบ-

เคี้ยว  และภัตตาหารที่เจ้าพนักงานจัดไว้สำหรับพระองค์  พระโพธิสัตว์

ฉันเสร็จแล้ว  จึงตรัสถามปัญหา  ทรงพอพระราชหฤทัยการพยากรณ์

ปัญหาของพระโพธิสัตว์ยิ่งนัก  จึงนมัสการแล้วตรัสถามว่า  พระคุณเจ้า

ผู้เจริญ  พระคุณเจ้าอยู่ที่ไหน  และมาจากไหน  พระโพธิสัตว์จึงทูลว่า

มหาบพิตร  อาตมาภาพอยู่ป่าหิมพานต์  และมาจากป่าหิมพานต์  จึง

ตรัสถามอีกว่า  มาเพราะเหตุอะไร  จึงทูลว่า  มหาบพิตร  ในฤดูกาล

ฝนควรจะได้การอยู่ประจำที่  ทรงตรัสว่า  ถ้าอย่างนั้นขอนิมนต์พระ-

คุณเจ้าพักอยู่ในพระราชอุทยาน  พระคุณเจ้าจักไม่ลำบากด้วยปัจจัย

ทั้ง    และโยมก็จักได้บุญอันจะนำตนให้ไปเกิดในสวรรค์  ครั้นทรง

ทำความตกลงแล้วและเสวยพระกระยาหาหารแล้ว  ได้เสด็จไปพระ-

ราชอุทยานพร้อมกับพระโพธิสัตว์  รับสั่งให้ให้สร้างบรรณศาลา  สร้าง

ที่จงกรม  จัดเสนาสนะที่พักกลางคืนและที่พักกลางวันเป็นต้น  ให้

พร้อมเสร็จ.  แล้วมอบถวายบริขารสำหรับบรรพชิต  แล้วตรัสว่า  ขอ

พระคุณเจ้าจงอยู่โดยความสุขสำราญเถิด  แล้วมอบนายอุทยานบาลให้

ดูแล.  ตั้งแต่นั้นมา  พระโพธิสัตว์ได้อยู่ในพระราชอุทยานนั้น

เป็นเวลา  ๑๒   ปี.  ต่อมาภายหลัง  ประเทศชายแดนของพระราชาเถิด

การกำเริบ  พระราชามีพระประสงค์จะเสด็จไประงับเหตุการณ์นั้น

จึงตรัสเรียกพระเทวีมาแล้วตรัสว่า  น้องนางผู้เจริญ  เจ้าควรยับยั้งอยู่

ยังพระนครก่อน.  พระเทวีทูลถามว่า  ข้าแต่สมมติเทพ  เพราะอาศัย

เหตุอะไร  พระองค์จึงตรัสอย่างนี้  พระราชา  เพราะอาศัยพระ-

ดาบสผู้มีศีล  ซิน้องนางผู้เจริญ.  พระเทวีทูลว่า  ข้าแต่สมมติเทพหม่อม-

ฉันจักไม่ประมาทในพระดาบสนั้น  การปรนนิบัติพระผู้เป็นเจ้าของ

พระองค์เป็นภาระของหม่อมฉัน  ขอพระองค์อย่าทรงกังวล  จงเสด็จ

เถิด.  พระราชาจึงเสด็จออกไป.  ฝ่ายพระเทวีก็ตั้งใจอุปัฏฐากพระโพธิ-

สัตว์เหมือนอย่างเดิม.  ฝ่ายพระโพธิสัตว์หลังจากพระราชาเสด็จไปแล้ว

ก็มิได้ไปตามเวลาที่เคยมา  ได้ไปยังพระราชนิเวศน์กระทำภัตตกิจตาม

เวลาที่ตนชอบใจ.  อยู่มาวันหนึ่ง  เมื่อพระโพธิสัตว์ชักช้าอยู่ยังไม่มา

พระราชเทวีจัดแจงขาทนียโภชนียาหารทุกอย่างเสร็จแล้ว  จึงโสรจ

สรงพระองค์ประดับพระวรกาย  แล้วให้นางพนักงานแต่งเตียงน้อย

บรรทมคอยดูการมาของพระโพธิสัตว์  โดยทรงนุ่งพระภูษาเนื้อเกลี้ยง

อย่างหย่อนๆ.  ฝ่ายพระโพธิสัตว์กำหนดว่าได้เวลาแล้ว  ก็ถือภิกขา-

ภาชนะเหาะมาจนถึงช่องพระแกลใหญ่.  พระเทวีได้ทรงสดับ

เสียงผ้าเปลือกไม้กรองของพระโพธิสัตว์ก็เสด็จลุกขึ้นโดยพลัน  พระ-

ภูษาเนื้อเกลี้ยงที่ทรงนุ่งนั้นก็หลุดลุ่ยลงทันที  พระโพธิสัตว์ได้เห็น

วิสภาคารมณ์มิได้สำรวมอินทรีย์  ตลึงแลดูด้วยสามารถแห่งความงาม.

ลำดับนั้น  กิเลสของพระโพธิสัตว์ซึ่งสงบนิ่งด้วยกำลังฌานก็กำเริบขึ้น

เหมือนอสรพิษที่ถูกขังอยู่ในข้อง  พอออกจากข้องได้ก็แผ่พังพาน

ขึ้นฉะนั้น.  พระโพธิสัตว์ได้เป็นผู้มีอาการเหมือนเวลาที่ต้นยางถูกกรีด

ด้วยมีดฉะนั้น.  องค์ฌานทั้งหลายเสื่อมไปพร้อมกับระยะที่กิเลสเกิด

ขึ้น.  อินทรีย์ทั้งหลายก็มิได้บริบูรณ์  ตนเองได้มีสภาพเหมือนกาปีก

ขาดฉะนั้น.  พระโพธิสัตว์นั้นมิอาจที่จะนั่งกระทำภัตตกิจเหมือนแต่

ก่อนได้  แม้พระเทวีจะตรัสบอกให้นั่งก็ไม่นั่ง.  ลำดับนั้น  พระเทวี

จึงทรงใส่ขาทนียะ  โภชนียาหารทุกอย่างลงในภิกขาภาชนะของพระ-

โพธิสัตว์.  ก็วันนั้น  พระโพธิสัตว์ไม่อาจไปเหมือนในวันก่อนๆ  ซึ่ง

กระทำภัตตกิจแล้วก็เหาะออกไปทางสีหบัญชร  ได้แต่รับภัตตาหารแล้ว

เดินลงทางบันไดใหญ่ไปยังพระราชอุทยาน  แม้พระเทวีก็ทรงทราบ

ว่าพระดาบสมีจิตปฏิพัทธ์ในพระองค์.  พระโพธิสัตว์นั้นไปถึงพระ-

ราชอุทยานแล้วไม่บริโภคภัตตาหารเลย  เอาวางไว้ใต้เตียง  นอน

รำพรรณว่า  พระหัตถ์เห็นปานนี้ของพระเทวีงาม  พระบาทก็งาม

นั้นพระองค์เห็นปานนี้  ลักษณะของพระอูรุเห็นปานนี้  ดังนี้เป็นต้น

นอนบ่นเพ้ออยู่ถึง    วัน  ภัตตาหารบูด  มีหมู่แมลงวันหัวเขียวตอมกัน

สะพรั่ง.  ฝ่ายพระราชาทรงระงับปัจจันตชนบทได้แล้วก็เสด็จกลับมา

ทรงกระทำประทักษิณพระนครซึ่งชาวเมืองตกแต่งประดับประดาไว้รับ

เสด็จ  แต่หาได้เสด็จไปยังพระราชนิเวศน์ไม่  ได้เสด็จไปยังพระราช-

อุทยานด้วยหวังพระทัยว่าจักเยี่ยมพระโพธิสัตว์  ได้ทอดพระเนตร

เห็นอาศรมบทรกรุงรังด้วยหยากเยื่อ  ทรงสำคัญว่าพระดาบสจักหนี

ไปแล้ว  จึงทรงเปิดประตูบรรณศาลา  เสด็จเข้าไปข้างใน  ทอดพระ-

เนตรเห็นดาบสนั้นนอนอยู่  จึงทรงดำริว่า  ชรอยจะมีความไม่ผาสุก

บางประการ  จึงรับสั่งให้ทิ้งภัตตาหารบูดชำระปัดกวาดบรรณศาลา

แล้วตรัสถามว่า  พระคุณเจ้า  ท่านไม่สบายไปหรือ  ?  พระดาบสทูล

ตอบว่า  มหาบพิตร  อาตมาภาพถูกลูกศรเสียบแทง.  พระราชาเข้า

พระทัยว่า  ชรอยพวกปัจจามิตรของเราไม่ได้โอกาสในตัวเรา  จึงมา

ยิงพระดาบสนี้  โดยคิดว่า  จักทำฐานะอันเป็นที่รักของพระราชานั้น

ให้ทุรพลภาพ  จึงทรงพลิกร่างกายตรวจดูรอยที่ถูกยิง  ก็ไม่เห็นรอย

ที่ยิง  จึงตรัสถามว่า  ท่านถูกเขายิงที่ไหนหรือ  พระคุณเจ้า.  พระ-

โพธิสัตว์ตรัสว่า  มหาบพิตร  อาตมาภาพมิได้ถูกคนอื่นยิง  แต่

อาตมาภาพยิงตัวของตัวเองแหละที่หัวใจ  ครั้นทูลแล้วจึงลุกขึ้นนั่ง

กล่าวคาถาเหล่านี้ว่า  :-

                                       อาตมาภาพถูกแทงที่หัวใจ  ด้วยลูก

                             ศรนั้น  อันกำซาบด้วยราคะเกิดจากความดำริ

                             อันลับด้วยวิตกคือความดำริ  อันนายช่างมิได้

                             ตกแต่งให้เรียบร้อย  อันนายช่างศรมิได้ทำ

                             ยังไม่พ้นหมวกหู  ทั้งยังไม่ติดขนนกยูง  แต่

                             ทำความเร่าร้อนให้ทั่วสรรพางค์กาย  อาตมา-

                             ภาพไม่เห็นรูแผลที่เลือดไหลออก  ลูกศรนั้น

                             แทงจิตที่ไม่แยบได้มั่นเหมาะ  ความทุกข์นี้

                             อาตมาภาพนำมาด้วยตนเอง.

          บรรดาบทเหล่านั้น  บทว่า  สงฺกปฺปราคโธเตน  ความว่า

กำซาบด้วยราคะอันประกอบพร้อมด้วยความดำริตริตรึกในกาม.  บทว่า

วิตกฺกนิสิเตน  ความว่า  อันลับด้วยหินคือความดำริ  ด้วยน้ำคือราคะ

นั้นนั่นแหละ.  บทว่า  เนวาลงฺกตภทฺเรน  ความว่า  อันนายช่างมิ

ได้ทำให้เกลี้ยงเกลา.  บทว่า    อุสุการกเตน    ความว่า  แม้

ช่างศรทั้งหลายก็ยังมิได้ดัด.  บทว่า    กณฺณายตมุตฺเตน  ความว่า

ยังไม่ดึงสายมาให้พ้นหมวกหูขวาเป็นกำหนด.  บทว่า    ปิ  โมรุป-

เสวินา  ความว่า  ยังมิได้ทำการติดขนปีกนกยูง  และขนปีกนกแร้ง

เป็นต้น.  บทว่า  เตนมฺหิ  หทเย  วิทฺโธ  ความว่า  ถูกลูกศรคือ

กิเลสนั้นเสียบแทงที่หัวใจ.  ด้วยบทว่า  สพฺพงฺคปริฬาหินา  นี้

ท่านแสดงว่า  ดูก่อนมหาบพิตร  อาตมาภาพถูกแทงที่หัวใจ  ด้วยลูก-

ศรคือกิเลสนั้น  อันสามารถทำให้อวัยวะทั้งปวงเร่าร้อน  ตั้งแต่เวลา

ที่อาตมาภาพถูกลูกศรนั้นแทงแล้ว  อวัยวะทุกส่วนของอาตมาภาพเร่า-

ร้อน  เหมือนไฟติดไปทั่วฉะนั้น.  บทว่า  อาเวธญฺจ    ปสฺสามิ

ความว่า  อาตมาภาพไม่เห็นที่ที่ลูกศรแทง.  บทว่า  ยโต  รุหิรมสฺสเว

ความว่า  เลือดของอาตมาภาพไหลออกจากรูแผลใด  อาตมาภาพไม่

เห็นแผลนั้น.  ศัพท์ว่า  ยาว  ในบทว่า  ยาว  อโยนิโส  จิตฺตํ  นี้

เป็นนิบาตใช้ในอรรถว่ามั่นคง.  อธิบายว่า  ลูกศรแทงจิตที่คิดโดยไม่

แยบคายได้อย่างมั่นเหมาะเหลือเกิน.  บทว่า  สยํ  เม  ทุกฺขมาภตํ

ความว่า  อาตมาภาพนำทุกข์มาให้แก่ตนด้วยตนเองทีเดียว.

          พระโพธิสัตว์ครั้นแสดงธรรมแก่พระราชาด้วยคาถา    คาถา

นี้  อย่างนี้แล้ว  จึงทูลให้พระราชาเสด็จออกประทับภายนอกบรรณ-

ศาลา  แล้วกระทำกสิณบริกรรมทำฌานที่เสื่อมให้เกิดขึ้นแล้ว  ออก

จากบรรณศาลาเหาะขึ้นไปนั่งอยู่กลางอากาศ  โอวาทพระราชาเสร็จ

แล้วทูลว่า  มหาบพิตร  อาตมาภาพจักไปอยู่ป่าหิมพานต์ตามเดิม  แม้

พระราชาจะตรัสว่า  พระคุณเจ้าผู้เจริญ  อย่าไปเลย  ก็ทูลชี้แจงว่า

มหาบพิตร  เพราะอาตมาภาพอยู่ในที่นี้จึงได้รับอาการอันผิดแผกเห็น

ปานนี้  บัดนี้  ไม่อาจอยู่ในที่นี้ได้ต่อไป  ทั้ง ๆ  ที่พระราชาทรงอ้อน-

วอนอยู่นั่นเอง  ก็เหาะไปป่าหิมพานต์ดำรงอยู่จนตลอดอายุ  ในเวลา

สิ้นสุดอายุก็ได้ไปเกิดในพรหมโลก.

          พระศาสดาครั้นทรงนำพระธรรมเทศนานี้มาแสดงแล้ว  ทรง

ประกาศสัจจะแล้วทรงประชุมชาดก.  ในเวลาจบสัจจกถา  ภิกษุผู้

กระสันจะสึกก็ได้ดำรงอยู่ในพระอรหัต.  บางพวกได้เป็นพระโสดาบัน

บางพวกได้เป็นพระสกทาคามี  บางพวกได้เป็นพระอนาคามี.  พระ-

ราชาในกาลนั้น  ได้เป็นพระอานนท์ในบัดนี้  ส่วนดาบสคือเราตถาคต

ฉะนี้แล. 

                                       จบ  อรรถกถาสังกัปปราคชาดกที่