พระศาสดาเมื่อประทับอยู่ ณ
กูฏาคารศาลา เสด็จเข้า
ไปอาศัยกรุงเวสาลี
ทรงปรารภสีหเสนาบดี
ตรัสพระธรรม-
เทศนานี้
มีคำเริ่มต้นว่า หนฺตฺวา
ฆตฺวา วธิตฺวา จ ดังนี้.
ความย่อมีอยู่ว่า
สีหเสนาบดีนั้นถึงพระผู้มีพระภาคเจ้า
ว่าเป็นที่พึ่งแล้วนิมนต์ไปถวายภัตตาหารปรุงด้วยเนื้อ. พวก
นิครนถฟังข่าวแล้วไม่พอใจ ใคร่จะเบียดเบียนพระตถาคตเจ้า
จึงกล่าวใส่ไคล้ว่าพระสมณโคดมเสวยเนื้อที่เขาอุทิศถวายทั้งที่
รู้อยู่.
ภิกษุทั้งหลายสนทนากันในโรงธรรมว่า
ดูก่อนอาวุโส
ทั้งหลาย
นิครนถนาฏบุตรกับพวกบริษัทเที่ยวใส่ใคล้ว่าพระ-
สมณโคดมเสวยเนื้อที่เขาอุทิศถวายทั้งที่รู้อยู่. พระศาสดาสดับ
เรื่องนั้นแล้วตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย
นิครนถนาฏบุตร
นินทาเราเพราะบริโภคเนื้อที่เขาอุทิศถวายแต่ในบัดนี้เท่านั้น
ก็หามิได้
แม้ในกาลก่อนก็ได้ติเตียนแล้วเหมือนกัน ทรงนำเรื่อง
อดีตมาตรัสเล่า.
ในอดีตกาลครั้งพระเจ้าพรหมทัตเสวยราชสมบัติอยู่ใน
กรุงพาราณสี
พระโพธิสัตว์บังเกิดในตระกูลพราหมณ์
ครั้น
เจริญวัยแล้วออกบรรพชาเป็นฤๅษีมาจากป่าหิมพานต์ เพื่อ
ต้องการเสพรสเปรี้ยวเค็มในกรุงพาราณสี. รุ่งขึ้นจึงเที่ยว
ภิกษาจารไปในพระนคร.
ครั้งนั้นกุฎุมพีผู้หนึ่งคิดว่า
เราจัก
แกล้งดาบสให้ลำบาก
จึงนิมนต์ให้เข้าไปสู่เรือน นิมนต์ให้นั่ง
บนอาสนะที่จัดปูไว้แล้ว อังคาสด้วยปลาและเนื้อ
ครั้นเสร็จ
ภัตตกิจแล้วนั่ง
ณ ส่วนข้างหนึ่งตรัสว่า เนื้อนี้ข้าพเจ้าฆ่าสัตว์
ปรุงเป็นอาหารเฉพาะท่านโดยตรง ขออกุศลนี้อย่าได้มีแก่
ข้าพเจ้าเลย
จงตกเป็นของท่านเถิดแล้วกล่าวคาถาที่ ๑ ว่า :-
บุคคลผู้ไม่สำรวมประหารสัตว์ เบียด
เบียนและฆ่าสัตว์ให้ทานแก่สมณะใด สมณะ
นั้นบริโภคภัตรเช่นนี้ ย่อมเข้าไปติดบาปด้วย.
พระโพธิสัตว์ฟังแล้ว
จึงกล่าวคาถาที่ ๒ ว่า :-
ถ้าสมณะผู้มีปัญญาแม้บริโภคทานที่บุคคล
ผู้ไม่สำรวม
ฆ่าบุตรและภรรยาถวาย
ก็ไม่เข้า
ไปติดบาปเลย.
ในบทเหล่านั้น
บทว่า ภุญฺชมาโนปิ สปฺปญฺโญ ความว่า
เนื้อของผู้อื่นที่บุคคลผู้ทุศีลแม้ฆ่าบุตรภรรยาให้แล้ว ยกไว้เถิด
ท่านผู้มีปัญญาผู้ถึงพร้อมด้วยคุณ มีขันติและเมตตาเป็นต้น
แม้บริโภคเนื้อนั้น
ย่อมไม่แปดเปื้อนด้วยบาป.
พระโพธิสัตว์แสดงธรรมแก่กุฎุมพีอย่างนั้นแล้ว ลุกจาก
อาสนะหลีกไป.
พระศาสดาทรงนำพระธรรมเทศนานี้มาแล้ว ทรงประชุม
ชาดก.
นิครนถนาฏบุตรได้เป็นกุฎุมพี
ส่วนดาบส คือเราตถาคต
นี้แล.
จบ
อรรถกถาพาโลวาทชาดกที่ ๖