พระศาสดาเมื่อประทับอยู่    พระเชตวันมหาวิหาร  ทรง

ปรารภพระเทวทัต  ตรัสพระธรรมเทศนานี้  มีคำเริ่มต้นว่า

สพฺโพ  ชโน  ดังนี้.

          เมื่อพระเทวทัตผูกอาฆาตพระศาสดา  จมลงไปในแผ่นดิน

ใกล้ซุ้มพระทวารพระเชตวันมหาวิหารล่วงไปได้เก้าเดือน  ชาว

กรุงสาวัตถีและชาวแว่นแคว้นทั้งสิ้น  ต่างร่าเริงยินดีว่า  พระ-

เทวทัตผู้เป็นเสี้ยนหนามของพระพุทธองค์  ถูกแผ่นดินสูบแล้ว

บัดนี้พระสัมมาสัมพุทธเจ้า  ทรงกำจัดศัตรูได้แล้ว.  ชาวชมพูทวีป

ทั้งสิ้น  และหมู่ยักษ์  ภูตและเทวดาทั้งหลาย  ต่างก็พากันรื่นเริง

ยินดี  กล่าวกันอย่างนั้นเหมือนกัน.

          อยู่มาวันหนึ่ง  ภิกษุทั้งหลายประชุมกันในโรงธรรมว่า

ดูก่อนอาวุโสทั้งหลาย  เมื่อพระเทวทัตจมลงในแผ่นดิน  มหาชน

ต่างก็ดีใจว่า  พระเทวทัตผู้เป็นเสี้ยนหนามของพระพุทธองค์ถูก

แผ่นดินสูบแล้ว.  พระศาสดาเสด็จมาตรัสถามว่า  ดูก่อนภิกษุ

ทั้งหลาย  บัดนี้พวกเธอนั่งประชุมสนทนากันด้วยเรื่องอะไร

เมื่อภิกษุทั้งหลายกราบทูลให้ทรงทราบแล้ว  จึงตรัสว่า  ดูก่อน

ภิกษุทั้งหลาย  เมื่อเทวทัตตาย  มหาชนยินดี  ร่าเริง  มิใช่ในบัดนี้

เท่านั้น  แม้เมื่อก่อนมหาชนก็ยินดี  ร่าเริงเหมือนกัน  แล้วทรงนำ

เรื่องอดีตมาตรัสเล่า

          ในอดีตกาล  มีพระราชาพระนามว่า  มหาปิงคละ  เสวย

ราชสมบัติอยู่ในกรุงพาราณสีโดยอธรรม  ไม่เรียบร้อย  ทำ

บาปกรรมด้วยอคติมีฉันทาคติเป็นต้น  รีดนาทาเร้นมหาชนด้วย

อาชญา  ภาษีอากรริบเงินทองเป็นต้น  ดุจท่อนอ้อยที่เครื่องยนต์

หีบอ้อยฉะนั้น.   พระเจ้ามหาปิงคละนั้นเป็นผู้กักขละหยาบช้า

หุนหัน.  ไม่มีแม้แต่เพียงความเอ็นดูในผู้อื่นเลย.  ไม่เป็นที่รัก

ไม่เป็นที่พอใจของพวกสตรี  บุตรธิดาในพระราชวัง  แม้ของ

อำมาตย์  พราหมณ์และคหบดีเป็นต้น  เปรียบเหมือนธุลีเข้าตา

เหมือนกรวดที่ก้อนข้าว  และเหมือนหนามที่ตำส้นเท้าฉะนั้น.

ครั้งนั้นพระโพธิสัตว์เกิดเป็นโอรสของพระเจ้ามหาปิงคละ.

พระเจ้ามหาปิงคละเสวยราชสมบัติมานานแล้ว  ก็เสด็จสวรรคต.

เมื่อพระเจ้าปิงคละเสด็จสวรรคตแล้ว  ชาวกรุงพาราณสีทั้งสิ้น

ก็ร่าเริงยินดี  ยิ้มแย้มแจ่มใสกันยกใหญ่  เผาศพพระเจ้ามหาปิงคละ

ด้วยฟืนพันเล่มเกวียน  ดับเชิงตะกอนด้วยน้ำหลายพันหม้อ  แล้ว

อภิเษกพระโพธิสัตว์ขึ้นครองราชย์  ต่างก็ร่าเริงยินดีว่า  เราได้

พระราชาผู้ตั้งอยู่ในธรรมแล้ว  เที่ยวตีกลองแห่กันครึกครื้น

ตกแต่งพระนครด้วยธงทิวต่าง    ทำประรำตามประตูบ้านทุก

ประตู  นั่งกินเลี้ยงกันที่ปะรำอันได้ตกแต่งแล้ว  มีพื้นโปรยปราย

ด้วยข้าวตอกและดอกไม้.  แม้พระโพธิสัตว์ก็ประทับนั่งทรงยศ

อันยิ่งใหญ่  ท่ามกลางบัลลังก์ซึ่งกั้นด้วยเศวตฉัตร    ท้องพระโรง

อันประดับประดาแล้ว.  พวกอำมาตย์  พราหมณ์  คหบดี  และ

เจ้าพนักงานและยามประตูเป็นต้น  ต่างก็ยืนแวดล้อมพระราชา

อยู่.  ลำดับนั้นมียามประตูนายหนึ่งยืนอยู่ในที่ไม่ไกล  ได้ถอนใจ

สะอื้นร้องไห้อยู่.  พระโพธิสัตว์ทอดพระเนตรเห็นยามประตูนั้น

จึงถามว่า  ดูก่อนยามประตู  เมื่อพระบิดาของเราสวรรคตแล้ว

ชนทั้งปวงต่างก็ร่าเริงยินดีเที่ยวเล่นมหรสพกัน.  ส่วนท่านกลับ

ยืนร้องไห้  เมื่อจะตรัสถามว่า  พระบิดาของเราเป็นที่รัก  เป็นที่

ชอบใจของท่านนักหรือ  จึงกล่าวคาถาแรกว่า  :-

                             ชนทั้งปวงถูกพระเจ้าปิงคละเบียดเบียน

                   แล้ว  เมื่อพระเจ้าปิงคละนั้นสวรรคตแล้ว  ชน

                   ทั้งหลายต่างก็พากันยินดี  ดูก่อนนายประตู

                   พระเจ้าปิงคละผู้ไม่มีพระเนตรดำ  เป็นที่รักของ

                   ท่านหรือ  เพราะเหตุไรท่านจึงร้องไห้.

          ในบทเหล่านั้น  บทว่า  หึสิโต  ได้แก่  ถูกเบียดเบียนด้วย

อาชญาและภาษีอากรนานาประการ.  บทว่า  ปิงฺคเลน  แปลว่า

มีตาเหลือง.  นัยว่าพระเจ้าปิงคละนั้นมีพระเนตรทั้งสองข้าง

เหลือง  มีสีเหมือนตานกพิลาป.  จึงมีชื่อว่า  ปิงคละ.  บทว่า

ปจฺจยํ  เวทยนฺติ  คือพากันยินดี.  บทว่า  อกณฺหเนตฺโต  คือมี

พระเนตรเหลือง.  บทว่า  กสฺมา    ตฺวํ.  คือ  ท่านร้องไห้ทำไม.

          นายประตูนั้นฟังคำพระโพธิสัตว์จึงกราบทูลว่า  ข้าพระองค์

มิได้ร้องไห้  เพราะพระเจ้ามหาปิงคละสวรรคต  แต่ร้องไห้

เพราะเกรงว่า  ศีรษะของข้าพระองค์เป็นสุขแล้ว  เพราะพระเจ้า

ปิงคละเมื่อเสด็จลงและเสด็จขึ้นปราสาท  ทรงเขกศีรษะข้าพระองค์

เที่ยวละแปด  เที่ยวละแปด  ดุจเคาะด้วยฆ้อนของช้างทองฉะนั้น

พระองค์เสด็จไปสู่ปรโลกแล้ว  จะเขกศีรษะพวกนายนิริยบาล

บ้าง  พญายมบ้าง  เหมือนกับเขกศีรษะข้าพระองค์  ทีนั้นพวก

นายนิริยบาลคิดว่า  พระเจ้าปิงคละนี้เบียดเบียนพวกเรานัก

จักนำมาปล่อยคืนที่นี้อีก  เมื่อเป็นเช่นนั้นพระองค์ก็จะพึงเขก

ศีรษะข้าพระองค์อีก  เมื่อจะประกาศความนี้  จึงกล่าวคาถา

ที่    ว่า  :-

                             พระเจ้าปิงคละผู้ไม่มีพระเนตรดำจะเป็น

                   ที่รักของข้าพระพุทธเจ้าก็หามิได้  แต่ข้าพระ-

                   พุทธเจ้ากลัวว่า  พระเจ้าปิงคละนั้นจะกลับมาอีก

          ลำดับนั้น  พระโพธิสัตว์เมื่อจะตรัสปลอบใจนายประตู

ผู้นั้นว่า  พระราชาพระองค์นั้นถูกเผาด้วยฟืนพันเล่มเกวียน

ถูกเอาน้ำรดตั้งร้อยหม้อ  แม้บริเวณป่าช้าของพระราชานั้น ก็

ล้อมรั้วรอบแล้ว  และตามปกติผู้ไปสู่ปรโลกแล้ว  ก็ไปที่อื่นทีเดียว

เขาจะไม่กลับมาด้วยร่างกายนั้นอีก  ท่านอย่ากลัวเลย  จึงกล่าว

คาถานี้ว่า  :-

                             พระเจ้าปิงคละนั้นพวกเราช่วยกันเผาแล้ว

                   ด้วยฟืนพันเล่มเกวียน  รดด้วยน้ำหลายร้อยหม้อ

                   พื้นที่ดินนั้นเราป้องกันไว้อย่างดีแล้ว  ท่านอย่า

                   กลัวเลย  พระเจ้าปิงคละจักไม่เสด็จกลับมาอีก.

          ตั้งแต่นั้นนายประตูก็ได้รับความโล่งใจ.  พระโพธิสัตว์

เสวยราชสมบัติโดยธรรม  ทรงบำเพ็ญบุญมีทานเป็นต้น  แล้ว.

ก็เสด็จไปตามยถากรรม.

          พระศาสดาทรงนำพระธรรมเทศนานี้มาแล้ว  ทรงประชุม

ชาดก.  พระเจ้าปิงคละในครั้งนั้นได้เป็นเทวทัตในครั้งนี้  ส่วน

พระโอรส  คือ  เราตถาคตนี้แล.

                             จบ  อรรถกถามหาปิงคลชาดกที่  ๑๐