พระศาสดาเมื่อประทับอยู่     พระเชตวันมหาวิหาร  ทรง

ปรารภกุมาริกาคนหนึ่ง  ตรัสพระธรรมเทศนานี้  มีคำเริ่มต้นว่า

ตฺวเมวทานิมการี  ดังนี้.

          ได้ยินว่า   ในตระกูลอุปฐากของพระอัครสาวกทั้งสอง

ตระกูลหนึ่งในกรุงสาวัตถี  มีกุมาริกาผู้หนึ่งมีรูปสวย  ถึงพร้อม

ด้วยความงามเป็นเลิศ.  นางเจริญวัย  ก็ได้ไปสู่ตระกูลซึ่งมีชาติ

เสมอกัน.  สามีของนางไม่พอใจนางเป็นบางอย่าง  จึงเที่ยวไป

ในที่อื่นตามใจชอบ.  นางก็ไม่เอาใจใส่ในการที่สามีไม่ใยดีใน

ตนนั้น  นิมนต์พระอัครสาวกทั้งสองมาถวายทานฟังธรรม  ได้ตั้ง

อยู่ในโสดาปัตติผล.  ตั้งแต่นั้นนางก็ปล่อยให้เวลาล่วงไปด้วย

ความสุขในมรรคและผล  คิดว่า  แม้สามีก็ไม่ยินดีเรา  เราก็ไม่มี

การงานทางฆราวาส  เราจักบวช  จึงบอกมารดาบิดา  ออกบวช

อรหัต.  การกระทำของนางนั้นได้ปรากฏในหมู่ภิกษุ.  ครั้นวันหนึ่ง

ภิกษุทั้งหลายสนทนากันในโรงธรรมว่า  ดูก่อนอาวุโสทั้งหลาย

ธิดาของตระกูลโน้นเป็นหญิงแสวงหาประโยชน์  รู้ว่าสามีไม่ใยดี

ได้ฟังธรรมของพระอัครสาวก  ตั้งอยู่ในโสดาปัตติผลแล้ว  ยัง

บอกลามารดาบิดาออกบวชอีก  บรรลุอรหัตแล้ว  ดูก่อนอาวุโส

ทั้งหลาย  กุมาริกานั้นเป็นผู้แสวงหาประโยชน์อย่างนี้.  พระ-

ศาสดาเสด็จมาตรัสถามว่า  ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย  บัดนี้พวกเธอ

นั่งสนทนากันด้วยเรื่องอะไร  เมื่อภิกษุทั้งหลายกราบทูลให้

ทรงทราบแล้ว  จึงตรัสว่า  ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย  กุลธิดาผู้นั้น

เป็นผู้แสวงหาประโยชน์ในบัดนี้เท่านั้นก็หามิได้  แม้ในกาลก่อน

ก็เป็นผู้แสวงหาประโยชน์เหมือนกัน  ทรงนำเรื่องอดีตมาตรัสเล่า.

          ในอดีตกาลครั้งพระเจ้าพรหมทัตเสวยราชสมบัติอยู่ใน

กรุงพาราณสี  พระโพธิสัตว์บวชเป็นฤาษียังอภิญญาและสมาบัติ

ให้เกิดแล้วอาศัยอยู่    หิมวันตประเทศ.  ในกาลครั้งนั้นพระเจ้า

พาราณสีเห็นความพรั่งพร้อมของบริวารของพรหมทัตกุมาร

ผู้เป็นโอรสของพระองค์  เกิดความระแวงพระทัย  จึงเนรเทศ

โอรสออกจากแว่นแคว้น.  พรหมทัตกุมารทรงพาพระเทวีของ

พระองค์พระนามว่า  อสิตาภู  เข้าไปสู่ป่าหิมพานต์เสวยปลา

เนื้อ  และผลไม้พำนักอยู่    บรรณศาลา.  พรหมทัตกุมารนั้น

เห็นนางกินรีนางหนึ่ง  มีจิตปฏิพัทธ์  คิดว่าจะเอานางกินรีนี้เป็น

ชายา  จึงติดตามรอยเท้านางกินรีนั้นไป  มิได้คำนึงถึงพระนาง

อสิตาภู.  พระนางอสิตาภูเห็นพรหมทัตกุมารตามนางกินรีไป

ทรงดำริว่า  พรหมทัตกุมารนี้ตามนางกินรีไปมิได้คำนึงถึงเรา.

เราจะต้องการอะไรจากพรหมทัตกุมารนี้  มีพระทัยคลายรัก

เข้าไปหาพระโพธิสัตว์  นมัสการแล้ว  ให้บอกการบริกรรมกสิณ

แก่ตน  เพ่งกสิณยังอภิญญาและสมาบัติให้เกิด  นมัสการพระ-

โพธิสัตว์กลับมายืนอยู่ที่ประตูบรรณศาลาของตน.  แม้พรหมทัต

ก็ติดตามนางกินรีไปเที่ยวหาก็มิได้พบแม้ทางที่นางกินรีนั้นไป

หมดหวังจึงกลับมุ่งหน้ามาสู่บรรณศาลา.  พระนางอสิตาภูเห็น

พรหมทัตกุมารเสด็จกลับมา  ลอยขึ้นไปสู่เวหา  ยืนบนพื้นอากาศ

มีสีดังแก้วมณี  ตรัสว่า  ข้าแต่โอรสเจ้า  ข้าพเจ้าได้ความสุขนี้

เพราะอาศัยท่าน  แล้วกล่าวคาถาแรกว่า  :-

                             พระองค์นั่นแหละได้กระทำเหตุนี้ในบัดนี้

                   หม่อมฉันปราศจากความรักในพระองค์แล้ว

                   ความรักนั้นประสานกันอีกไม่ได้  ดุจงาช้างอัน

                   ตัดขาดแล้วด้วยเลื่อยฉะนั้น.

          ในบทเหล่านั้น  บทว่า  ตฺวเมวทานิมกริ  ความว่า  ข้าแต่

ท่านผู้เป็นอัยยบุตร  พระองค์นั้นแหละ  ละหม่อมฉันติดตามนางกินรี

ได้ทำเหตุนี้ในบัดนี้.  บทว่า  ยํ  กาโม  พฺยคมา  ตยิ  ท่านแสดงความ

ว่า  ซึ่งเหตุที่ทำให้ความรักของเราในตัวท่านได้ไปแล้ว  คือละได้

ด้วยวิกขัมภนปหาน  เราถึงความพิเศษอันนี้ก็เพราะละความรัก

ได้แล้ว.  บทว่า  โสยํ  อปฺปฏิสนฺธิโก  ความว่า  ก็ความรักอันนั้น

จะกลับมาติดต่ออีกไม่ได้  คือไม่สามารถจะต่อได้ในบัดนี้.  บทว่า

ขรา  ฉินฺนํว  เรนุกํ  ความว่า  เปรียบเหมือนงาช้างที่ถูกเลื่อย

ตัดขาดเสียแล้ว  จะต่อติดอีกไม่ได้  คือจะเชื่อมให้สนิทเหมือนเดิม

อีกไม่ได้ฉันใด  อันการจะประสานจิตของเรากับท่านอีกย่อม

มีไม่ได้ฉันนั้น.  ครั้นนางกล่าวฉะนี้แล้ว  ได้เหาะไปในที่อื่น  ทั้ง 

ที่พรหมทัตกุมารนั้นแลดูอยู่นั่นเอง.

          พรหมทัตกุมาร  ครั้นนางไปแล้วก็คร่ำครวญกล่าวคาถา

ที่    ว่า  :-

                             บุคคลผู้ปรารถนาเกินส่วนย่อมปราศจาก

                   ประโยชน์  เพราะโลภเกินประมาณ  และเพราะ

                   ความเมาอันเกิดจากความโลภเกินประมาณ

                   เหมือนเราเสื่อมจากนางอสิตาภู  ฉะนั้น.

          ในบทเหล่านั้น  บทว่า  อตฺริจฺฉา  ความว่า  ทะยานอยาก

หาที่สุดมิได้   กล่าวคือความปรารถนาในสิ่งนั้น    เรียกว่าความ

แส่หา  ความโลภที่เป็นไปเกิน  เรียกว่า  ความโลภจัด.  บทว่า

อติโลภมเทน    ได้แก่  ความมัวเมาด้วยความโลภจัดเพราะเป็น

เหตุให้เกิดความมัวเมาในบุรุษ.  บทนี้ท่านอธิบายว่า  บุคคลผู้

ปรารถนาในสิ่งนั้น  ๆ ด้วยการแส่หา  ย่อมเสื่อมจากประโยชน์

เพราะความโลภจัดและเพราะความมัวเมาด้วยความละโมภจัด

ดุจเราเสื่อมแล้วจากราชธิดา  อสิตาภู  ฉะนั้น.

          พรหมทัตกุมารทรงคร่ำครวญด้วยคาถานี้แล้วประทับ

พระองค์เดียวอยู่ในป่า  เมื่อพระบิดาสวรรคตแล้ว  จึงเสด็จไป

ครองราชสมบัติ.

          พระศาสดาทรงนำพระธรรมเทศนานี้มาแล้ว  ทรงประชุม

ชาดก.  ราชบุตรและราชธิดาในครั้งนั้น  ได้เป็นชนทั้งสองในครั้ง

นี้  ส่วนดาบส  คือเราตถาคตนี้แล.

                   จบ  อรรถกถาอสิตาภุชาดกที่