พระศาสดาเมื่อประทับอยู่    พระเชตวันมหาวิหาร  ทรง

ปรารภพ่อค้าโกงคนหนึ่ง  ตรัสพระธรรมเทศนานี้  มีคำเริ่มต้น

ว่า  สฐสฺส  สาเถยฺยมิทํ  ดังนี้.

       ความพิสดารมีอยู่ว่า  ชนสองคนคือพ่อค้าโกง  และพ่อค้า

บัณฑิต  ชาวเมืองสาวัตถี  เดินทางไปด้วยกัน  บรรทุกสินค้าเต็ม

เกวียน  ๕๐๐  เล่ม  เที่ยวทำการค้าจากทิศตะวันออกไปยังทิศต่าง 

ครั้นได้กำไรมากก็กลับกรุงสาวัตถี.  พ่อค้าบัณฑิตได้กล่าวกับ

พ่อค้าโกงว่า  สหายเรามาแบ่งสินค้ากันเถิด.  พ่อค้าโกงคิดว่า

พ่อค้าคนนี้ลำบากด้วยการนอน  การบริโภคอันแร้นแค้นมา

เป็นเวลานาน   บริโภคอาหารมีรสเลิศต่าง     ในเรือนของตน

จักตายเพราะอาหารไม่ย่อย  ทีนั้นแหละสินค้าทั้งหมดอันเป็นส่วน

ของเขาก็จักเป็นของเราแต่ผู้เดียว  จึงกล่าวว่า  ฤกษ์และวันยัง

ไม่พอใจ  พรุ่งนี้มะรืนนี้จึงค่อยรู้ แกล้งถ่วงเวลาไว้.  พ่อค้าผู้เป็น

บัณฑิต  แค่นให้เขาแบ่งได้แล้วจึงถือเอาของหอมและดอกไม้ไป

เฝ้าพระศาสดาบูชาพระศาสดาถวายบังคมแล้วนั่ง    ส่วนข้างหนึ่ง.

พระศาสดาตรัสถามว่า  ท่านมาถึงเมื่อไร  กราบทูลว่า  ข้าแต่พระองค์

ผู้เจริญ       ข้าพระพุทธเจ้า     มาได้ประมาณกึ่งเดือนพระเจ้าข้า.

ตรัสถามว่า  เพราะเหตุไรจึงล่าช้าอย่างนี้  ไม่มาสู่ที่พุทธุปฐาก

เขากราบทูลให้ทรงทราบ.  พระศาสดาตรัสว่า  อุบาสกมิใช่ใน

บัดนี้เท่านั้น  แม้เมื่อก่อน  พ่อค้านี้ก็เป็นคนโกงเหมือนกัน  อุบาสก

ทูลอาราธนาจึงทรงนำเรื่องอดีตมาตรัสเล่า.

       ในอดีตกาลครั้งพระเจ้าพรหมทัตเสวยราชสมบัติอยู่ใน

กรุงพาราณสี  พระโพธิสัตว์อุบัติในตระกูลอำมาตย์  ครั้นเจริญ

วัย  ได้เป็นอำมาตย์ผู้วินิจฉัยคดีของพระองค์.  ในครั้งนั้นมีพ่อค้า

สองคน  คือพ่อค้าชาวบ้านกับพ่อค้าชาวกรุง  เป็นมิตรกัน.  พ่อค้า

ชาวบ้านฝากผาล  ๕๐๐  ไว้แก่พ่อค้าชาวกรุง.  พ่อค้าชาวกรุง

ขายผาลเหล่านั้นแล้วเก็บเอาเงินเสีย  แล้วเอาขี้หนูมาโรยไว้ใน

ที่เก็บผาล  ครั้นต่อมาพ่อค้าชาวบ้านนอกมาหากล่าวว่า  ขอท่าน

จงคืนผาลให้เราเถิด  พ่อค้าโกง  กล่าวว่า  ผาลของท่านถูกหนูกิน

หมดแล้ว  จึงชี้ให้ดูขี้หนู.  พ่อค้าบ้านนอกกล่าวว่า  ถูกหนูกินแล้ว

ก็ช่างเถิด  เมื่อหนูกินแล้วจะทำอย่างไรได้.  จึงพาบุตรของพ่อค้า

โกงนั้นไปอาบน้ำให้เด็กนั้นนั่งอยู่ภายในห้องในเรือนของสหาย

ผู้หนึ่ง  แล้วกล่าวว่า  อย่าให้ทารกนี้แก่ใคร    เป็นอันขาด  แล้ว

ตนเองก็อาบน้ำกลับไปเรือนพ่อค้าโกง  พ่อค้าโกงถามว่า  ลูก

ของเราไปไหน.  พ่อค้าบ้านนอกบอกว่า  ในขณะที่เราวางบุตร

ของท่านไว้ริมฝั่งแล้วดำลงไปในน้ำ  เหยี่ยวตัวหนึ่งบินมาเอา

กรงเล็บโฉบบุตรของท่าน  แล้วบินไปสู่อากาศ  แม้เราพยายาม

ปรบมือร้องก็ไม่สามารถให้มันปล่อยได้.  พ่อค้าโกง  กล่าวว่า

ท่านพูดโกหก  เหยี่ยวคงไม่สามารถโฉบเอาเด็กไปได้ดอก.  พ่อค้า

บ้านนอกกล่าวว่า  สหายจะว่าถูกก็ถูก  จะว่าไม่ถูกก็ถูก  แต่เรา

จะทำอย่างไรได้  เหยี่ยวเอาบุตรของท่านไปจริง  ๆ.  พ่อค้าโกง

ึคุกคามพ่อค้าบ้านนอกว่า  เจ้าโจรใจร้ายฆ่าคน คราวนี้เราจะไป

ศาล  ให้พิพากษาลงโทษท่าน  แล้วออกไป.  พ่อค้าบ้านนอก

กล่าวว่า  ทำตามความพอใจของท่านเถิด  แล้วไปศาลกับพ่อค้า

โกงนั้น.

       พ่อค้าโกงกล่าวกะพระโพธิสัตว์ว่า  ข้าแต่นาย   พ่อค้าผู้นี้

พาบุตรของข้าพเจ้าไปอาบน้ำ  เมื่อข้าพเจ้าถามว่าบุตรของเรา

ไปไหน  เขาบอกว่า  เหยี่ยวพาเอาไป  ขอท่านได้โปรดวินิจฉัย

คดีของข้าพเจ้าเถิด.  พระโพธิสัตว์ถามพ่อค้าบ้านนอกว่า  ท่าน

พูดจริงหรือ.  พ่อค้าบ้านนอกกล่าวว่า  ข้าพเจ้าพาเด็กนั้นไปจริง

นาย.  ถามว่า  เหยี่ยวพาเด็กไปได้จริงหรือ.  ตอบว่า  จริงจ้ะนาย.

ถามว่า  ก็ในโลกนี้ธรรมดาเหยี่ยวจะนำเด็กไปได้หรือ.  พ่อค้า

บ้านนอกกล่าวว่า  ข้าแต่นาย  ข้าพเจ้าขอถามท่านว่า  เหยี่ยวไม่

สามารถพาเด็กไปในอากาศได้  แต่หนูเคี้ยวกินผาลเหล็กได้หรือ.

พระโพธิสัตว์ถามว่านี่เรื่องอะไรกัน.  พ่อค้าบ้านนอกกล่าวว่า

ข้าแต่นาย  ข้าพเจ้าฝากผาลไว้  ๕๐๐  ที่เรือนของพ่อค้านี้  พ่อค้า

นี้บอกว่าผาลของท่านถูกหนูกินเสียแล้วชี้ให้ดูขี้หนูว่า  นี้คือขี้

ของหนูที่กินผาลของท่าน  ข้าแต่นาย  ถ้าหนูกินผาลได้  แม้เหยี่ยว

ก็จักพาเอาเด็กไปได้  หากกินไม่ได้  แม้เหยี่ยวก็จะนำเด็กนั้นไป

ไม่ได้  พ่อค้านี้กล่าวว่า  หนูกินผาลหมดแล้ว  ท่านจงทราบเถิดว่า

ผาลเหล่านั้นถูกหนูกินจริงหรือไม่  ขอได้โปรดพิพากษาคดีของ

ข้าพเจ้าเถิด.  พระโพธิสัตว์ทราบว่า  พ่อค้าบ้านนอกนี้  คงจะ

คิดโกงแก้เอาชนะคนโกง  จึงกล่าวว่า  ท่านคิดดีแล้ว  ได้กล่าว

คาถาเหล่านี้ว่า  :-

                     ท่านได้คิดอุบายตอบอุบายดีแล้ว  ได้คิด

              โกงตอบผู้โกงดีแล้ว  ถ้าหนูทั้งหลายพึงกินผาลได้

              เหตุไฉนเหยี่ยวทั้งหลายจะเฉี่ยวเด็กไปไม่ได้เล่า.

                     บุคคลที่โกงตอบคนโกง   ย่อมมีอยู่แน่นอน

              บุคคลที่ล่อลวงก็มีอยู่เหมือนกัน  ดูก่อนท่านผู้

              มีบุตรหาย  ท่านจักไม่ให้ผาลแก่เขา  บุรุษผู้มีผาล

              หาย  ก็จะไม่นำบุตรมาให้แก่ท่าน.

       ในบทเหล่านี้  บทว่า  สฐสฺส  ความว่า  การโกงแก้ผู้ที่โกง

โดยอุบายงุบงิบของผู้อื่นเสีย.  บทว่า  สาเถยฺยมิทํ  สุจินฺติตํ ได้แก่

ความโกงนี้ท่านคิดดีแล้ว.  บทว่า  ปจฺโจฑฺฑิตํ  ปฏิกูฏสฺส  กูฏํ

ความว่า  การโกงตอบต่อบุคคลโกง  ท่านจัดการแก้ดีแล้ว.  อธิบาย

ว่าทำแก้ได้ขนาดที่เขาทำทีเดียว.  บทว่า  ผาลํ  เจ  อเทยฺยุํ  มูสิกา

ความว่า  หากหนูกินผาลได้  ไฉนเหยี่ยวจะนำเด็กไปไม่ได้  เพราะ

ฉะนั้น  เมื่อหนูกินผาลได้  ทำไมเหยี่ยวจะนำเด็กไปไม่ได้.  บทว่า

กูฏสฺส  หิ  สนฺติ  กูฏกูฏา  ความว่า  ท่านเข้าใจว่า  เราถูกบุรุษ

ที่ให้หนูกินผาลโกง  ก็การจะโกงแก้ผู้ที่โกงเช่นนี้  ยังมีอีกมาก

ในโลกนี้  คือการโกงตอบคนโกง  ยังมีอยู่.  บทว่า  ภวติ  ปโร

นิกติโน  นิกตฺยา  ความว่า  บุคคลผู้ตลบแตลง  ผู้ทำการล่อลวง

ยังมีอีกทีเดียว   ดูก่อนบุรุษผู้บุตรหาย  จงคืนผาลให้แก่บุรุษผู้

ผาลหายนี้เถิด  ถ้าท่านไม่ให้ผาล  เขาจักพาบุตรของท่านไป  แต่

บุรุษนี้อย่าเอาผาลของท่านไปเลย  ท่านจงให้ผาลแก่เขาเสียเถิด.

พ่อค้าโกงกล่าวว่า  ข้าแต่นายข้าพเจ้ายอมคืนให้  ถ้าเขาจะคืน

บุตรให้ข้าพเจ้า.  พ่อค้าบัณฑิตกล่าวว่า  ข้าแต่นาย  ข้าพเจ้าจะ

คืนบุตรให้  ถ้าเขาจะคืนผาลให้ข้าพเจ้า.  พ่อค้าที่บุตรหายก็ได้

คืนบุตร  พ่อค้าผาลหายก็ได้คืนผาล  แล้วทั้งสองก็ไปตามยถากรรม.

       พระศาสดาทรงนำพระธรรมเทศนานี้มาแล้ว  ทรงประชุม

ชาดก.  พ่อค้าโกงในครั้งนั้นได้เป็นพ่อค้าโกงในครั้งนี้.  พ่อค้า

บัณฑิตได้เป็นพ่อค้าบัณฑิตนี้แล  ส่วนอำมาตย์ผู้วินิจฉัยคดี  คือ

เราตถาคตนี้แล.

                     จบ  อรรถกถากูฏวาณิชชาดกที่