อรรถกถาโสมทัตตชาดกที่ 

      พระศาสดาเมื่อประทับอยู่    พระเชตวันมหาวิหาร  ทรง

ปรารภพระโลฬุทายีเถระ  ตรัสพระธรรมเทศนานี้  มีคำเริ่มต้น

ว่า  อกาสิ  โยคฺคํ  ดังนี้.

      เรื่องย่อมีว่า  พระโลฬุทายีเถระนั้น  ไม่สามารถจะกล่าว

คำแม้สักคำเดียวได้สำเร็จ  ในระหว่างชนสองสามคน  เป็นผู้

ประหม่าครั่นคร้ามคิดจะพูดคำหนึ่งกลับไปพูดอีกคำหนึ่ง.  ภิกษุ

ทั้งหลายนั่งสนทนากันถึงเรื่องราวของพระเถระนั้น.  พระศาสดา

เสด็จมาตรัสถามว่า  ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย  บัดนี้พวกเธอนั่งประชุม

สนทนากันด้วยเรื่องอะไร  เมื่อภิกษุเหล่านั้นกราบทูลให้ทรงทราบ

แล้ว  จึงตรัสว่า  ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย  โลฬุทายีมิใช่เป็นผู้ประหม่า

ครั่นคร้ามแต่ในบัดนี้เท่านั้น  แม้เมื่อก่อนก็เป็นผู้ประหม่าครั่น-

คร้ามเหมือนกัน  แล้วทรงนำเรื่องอดีตมาตรัสเล่า.

      ในอดีตกาลครั้งพระเจ้าพรหมทัตเสวยราชสมบัติอยู่ใน

กรุงพาราณสี  พระโพธิสัตว์อุบัติในตระกูลพราหมณ์ตระกูล

หนึ่ง  ในแคว้นกาสี  ครั้นเจริญวัยเรียนศิลปะในเมืองตักกสิลา

ครั้นสำเร็จแล้วจึงกลับมาเรือน  รู้ว่ามารดาบิดายากจนคิดว่า

เราจักกู้ตระกูลที่ตกต่ำ  จึงอำลามารดาบิดาไปรับราชการใน

กรุงพาราณสี.  พระโพธิสัตว์เป็นที่รักโปรดปรานของพระราชา.

ครั้งนั้นเมื่อบิดาของพระโพธิสัตว์ซึ่งไถนาเลี้ยงชีพด้วยโคสองตัว

โคตัวหนึ่งได้ตายไป.  บิดาจึงไปหาพระโพธิสัตว์กล่าวว่า  นี่แน่ะ

ลูก  โคตายไปเสียตัวหนึ่งแล้ว  เลยทำกสิกรรมไม่ได้  ลูกจงขอ

พระราชทานโคกะพระราชาสักตัวหนึ่งเถิด.  พระโพธิสัตว์กล่าว

ว่า  พ่อจ๋า  ลูกรับราชการยังไม่นานนัก  จะทูลขอโคในตอนนี้ยัง

ไม่สมควร  พ่อทูลขอเองเถิด.   พราหมณ์กล่าวว่า  นี่ลูก  ลูกไม่รู้

ว่าพ่อเป็นคนประหม่าครั่นคร้ามดอกหรือ  ต่อหน้าคนสองสามคน

พ่อไม่อาจจะพูดได้ถูกต้องนัก  หากพ่อจะไปเฝ้าทูลขอโค  พ่อคง

จะถวายโคตัวนี้เสียก็ได้.  พระโพธิสัตว์กล่าวว่า  จะอย่างไรก็ตาม

เถิดพ่อ  ลูกไม่อาจทูลขอโคได้  เอาอย่างนี้เถิดพ่อ  ลูกจะซักซ้อม

ให้พ่อเอง.  พราหมณ์กล่าวว่า  ถ้าเช่นนั้นลูกจงซ้อมพ่อให้ดีก็แล้ว

กัน.  พระโพธิสัตว์พาบิดาไปป่าช้าชื่อพีรณัตถัมภกะ  มัดฟ่อน

หญ้าไว้เป็นแห่ง    สมมตินามแสดงแก่บิดาตามลำดับว่า  นี้พระ-

ราชา  นี้อุปราช  นี้เสนาบดี  แล้วกล่าวว่า  พ่อจ๋าพ่อไปเฝ้าพระ-

ราชาแล้ว  จงกราบถวายพระพรว่า  ขอพระองค์จงทรงพระเจริญ

เถิด  แล้วจึงค่อยกล่าวคาถานี้ทูลขอโค  จึงให้บิดาเรียนคาถาว่า  :-

                  ข้าแต่มหาราช  ข้าพระพุทธเจ้ามีโค

            สำหรับไถนาอยู่สองตัว  ในโคสองตัวนั้นตายเสีย

            ตัวหนึ่งแล้ว  ขอพระองค์โปรดพระราชทานโค

            ตัวที่สองเถิดพระเจ้าข้า.

      พราหมณ์เรียนคาถานี้ได้คล่องแคล่วเป็นเวลาหนึ่งปีแล้ว

จึงบอกพระโพธิสัตว์ว่า  โสมทัต  ลูกพ่อ  พ่อจำคาถาได้คล่องแล้ว

บัดนี้พ่อสามารถจะกล่าวได้ไม่ว่าในสำนักใด    ลูกจงนำพ่อไป

เฝ้าพระราชาเถิด.  พระโพธิสัตว์รับว่า  ดีแล้วพ่อ  จึงให้จัดหา

เครื่องบรรณาการนำบิดาไปเฝ้าพระราชา.  พราหมณ์กราบทูล

ว่า  ขอมหาราชเจ้าจงทรงพระเจริญเถิดพระเจ้าข้า  แล้วทูลถวาย

เครื่องบรรณาการ.  พระราชาตรัสว่า  โสมทัต  พราหมณ์ผู้นี้

เป็นอะไรกับเจ้า.  กราบทูลว่า  ข้าแต่มหาราชเจ้าเป็นบิดาของ

ข้าพระพุทธเจ้า  พระเจ้าข้า.  ตรัสถามว่า  มาธุระอะไร.  ขณะนั้น

พราหมณ์  เมื่อจะกล่าวคาถาทูลขอโค  จึงทูลว่า  :-

                  ข้าแต่มหาราชเจ้า  ข้าพระพุทธเจ้ามีโค

            สำหรับไถนาอยู่สองตัว  ในโคสองตัวนั้นตายเสีย

            ตัวหนึ่งแล้ว  ขอพระองค์โปรดรับตัวที่สองไป

            เถิด  พระเจ้าข้า.

      พระราชาทรงทราบว่า  พราหมณ์พูดผิด  ทรงพระสรวล

ตรัสถามว่า  โสมทัต  ในเรือนเจ้าเห็นจะมีโคหลายตัวซินะ.  โสมทัต

กราบทูล  ขอเดชะข้าแต่มหาราชเจ้า  พระองค์พระราชทานแล้ว

ก็จักมีมากพระเจ้าข้า.  พระราชาทรงโปรดปรานพระโพธิสัตว์

พระราชทานโค  ๑๖  ตัว  กับเครื่องประดับ  และบ้านสำหรับ

อยู่เป็นรางวัลด้วย  แล้วทรงส่งพราหมณ์ไปด้วยยศยิ่งใหญ่.

พราหมณ์ขึ้นรถเทียมด้วยม้ามีขาวล้วน  ได้ไปบ้านพร้อมด้วย

บริวารใหญ่.  พระโพธิสัตว์นั่งไปในรถกับบิดา  กล่าวว่า  พ่อ

ลูกทำการซ้อมมาทั้งปี  แต่พอถึงคราวเอาจริงเอาจังเข้า  พ่อ

กลับทูลถวายโคของพ่อแด่พระราชาเสียนี่  แล้วกล่าวคาถา

แรกว่า  :-

                  ท่านเป็นผู้ไม่ประมาทเป็นนิจ  ได้ทำความ

            เพียรอยู่ในป่าช้าชื่อ  พีรณัตถัมภกะถึงหนึ่งปี

            ครั้นเข้าประชุมบริษัทกลับกล่าวให้ผิดพลาดไป

            ความเพียรย่อมป้องกันผู้ปราศจากปัญญามิได้.

      ในบทเหล่านั้น  บทว่า  อกาสิ  โยคฺคํ  ธุวํ  อปฺปมตฺโต

สํวจฺฉรํ  วีรณตฺถมฺภกสฺมึ  ความว่า  พ่อจ๋า  พ่อไม่ประมาทเป็น

นิจ  ได้ทำการซักซ้อมที่ป่าช้าชื่อ  พีรณัตถัมภกะถึงหนึ่งปี.  บทว่า

พฺยากาสิ  อญฺญํ  ปริสํ  วิคยฺห  ความว่า  ครั้นพ่อเข้าประชุม

บริษัท  ได้ทำเป็นอย่างอื่น  คือได้ทำพลาดไป  ได้แก่เปลี่ยนแปลง

ไป.  บทว่า    นิยฺยโม  ตายติ  อปฺปปญฺญํ  ความว่า  ความเพียร

ย่อมไม่ป้องกัน  คือไม่รักษาบุคคลผู้มีปัญญาน้อยแม้ทำบ่อย     ได้.

      พราหมณ์ฟังคำของพระโพธิสัตว์  แล้วจึงกล่าวคาถา

ที่    ว่า  :-

                  ดูก่อนพ่อโสมทัต  บุคคลผู้ขอย่อมประสบ

            อาการสองอย่างคือ  ได้ทรัพย์    ไม่ได้ทรัพย์ 

            เพราะว่าการขอมีอาการอย่างนี้เป็นธรรมดา.

      ในบทเหล่านั้น  บทว่า  เอวํ  ธมฺมา  หิ  ยาจนา  ได้แก่  เพราะ

การขอมีสภาพเป็นอย่างนี้.

      พระศาสดาตรัสว่า  ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย  โลฬุทายีมิใช่

เป็นผู้ประหม่าครั่นคร้ามในบัดนี้เท่านั้น  แม้เมื่อก่อนก็เป็นผู้

ประหม่าครั่นคร้าม  แล้วทรงนำพระธรรมเทศนานี้มา  ทรง

ประชุมชาดก.  บิดาของโสมทัตได้เป็นโลฬุทายี  ส่วนโสมทัต

คือ  เราตถาคตนี้แล.

                  จบ  อรรถกถาโสมทัตตชาดกที่