ชีวิตวัยเด็ก

แม่ของข้าพเจ้าเล่าให้ข้าพเจ้าฟังว่า ตอนก่อนท้องข้าพเจ้า แม่ได้ฝันว่า “ได้เดินไปเจอดอกไม้ดอกใหญ่สีแดงสดสวยงาม อยู่สูงสุดมือเอื้อม แต่เมื่อแม่เข้าไปใกล้เพราะอยากได้ ดอกไม้นั้นได้โน้มกิ่งลงมาให้แม่นั้นเด็ดได้ แล้วแม่ก็ตื่นและตั้งท้องข้าพเจ้าตั้งแต่นั้น”

ปี พ.ศ. 2502 ข้าพเจ้าก็คลอดในบ้านเช่าติดริมคลองลำปำ โดยมีอนามัยประจำตำบลลำปำจังหวัดพัทลุงเป็นผู้ทำคลอด ซึ่งในสมัยนั้นไฟฟ้ายังไม่มีใช้สำหรับชาวบ้านธรรมดา ยังใช้ตะเกียงน้ำมันหรือตะเกียงพายุอยู่ พ่อของข้าพเจ้าตั้งชื่อข้าพเจ้าว่า “เชียม” ก็คือ สยาม นั้นเอง ข้าพเจ้าจึงใช้ชื่อว่า เชียม มาโดยตลอด อาชีพของพ่อข้าพเจ้าในขณะนั้นเป็นช่างตัดผม ฝ่ายแม่นั้นรับย้อมผ้าบางครั้งก็ทำขนมขายและต้องเดินรับย้อมผ้าหรือขายขนมเป็นระยะทางถึง 5 หรือ 6 กิโลเมตร และดูแลลูกอีก 6 คน ข้าพเจ้าเป็นคนสุดท้องเพราะหลังจากแม่คลอดข้าพเจ้าพ่อก็ทำหมัน และแม่บอกข้าพเจ้าว่า ข้าพเจ้าเกือบจะไม่ได้เกิดเพราะพ่อกะจะทำหมันตั้งแต่ลูกคนที่ 5 แล้ว ในสมัยนั้นผู้หญิงจะทำหมันต้องไปทำหมันที่โรงพยาบาลอำเภอหาดใหญ่ ที่โรงพยาบาลพัทลุงทำไม่ได้ ไกลไปจากตำบลลำปำประมาณ 100 กิโลเมตร และข้าพเจ้ามีอายุห่างจากพี่ชายคนโตถึง 13 ปี คือครบรอบ กันพอดี

แม่บอกข้าพเจ้าว่า สมัยนั้นแม่ลำบากต้องย้ายบ้านเช่าบ่อยเพราะไม่มีบ้านเป็นของตนเอง แล้วได้ย้ายบ้านมาอยู่ติดถนนแต่ใต้ถุนบ้านเป็นน้ำ ข้าพเจ้ายังจำได้ว่า ข้าพเจ้ายังมองลอดร่องกระดานเห็นน้ำใต้ถุนอยู่เลย และบางครั้งเห็นพี่ๆ ไปตกปลาหลังบ้าน และแม่บอกว่าแม่ต้องอยู่อย่างประหยัดไม่ค่อยได้ซื้ออะไรกิน เพราะพ่อนั้นตระหนี่ขี้เหนียวเป็นที่สุด แต่ให้แม่เป็นคนเก็บเงิน และบังคับไม่ให้ซื้ออะไรเกินคำสั่งพ่อ ซึ่งช่วงนั้นแม่เก็บเงินได้เป็นหลายหมื่น ในสมัย พ.ศ. 2505 นั้นเงินหลายหมื่นไม่ใช่น้อยเลยครับถือว่าเป็นคนมีฐานะ แต่พ่อและแม่ต้องอยู่แบบคนจนๆ ไม่มีเงิน เงินที่เก็บได้ก็ไม่เอาไปฝากธนาคาร เพราะพ่อกลัวมีปัญหาในเรื่องที่พ่อไม่ใช่คนไทย จนต้องเก็บแอบซ่อนไว้ในส่วนต่างๆ ของบ้าน และแม่บอกว่าข้าพเจ้าเป็นเด็กที่สอนง่ายเลี้ยงง่าย เมื่อพาไปไหนหรือไปทำอะไร ถ้าแม่บอกว่า ให้อยู่ตรงนี้นะ ข้าพเจ้าก็จะอยู่ตรงนั้นไม่ไปไหนจนกว่าแม่จะกลับมา(ไม่รู้ว่าเลี้ยงง่ายหรือซื่อบื้อไม่ค่อยฉลาด)

ขณะเมื่อข้าพเจ้าอายุประมาณ 3 ขวบ ข้าพเจ้าก็กำเอากระดาษที่แม่ซ่อนไว้ ปึกหนึ่ง เดินไปในตลาดตามประสาเด็ก ชาวบ้านเห็นจึงมาบอกแม่ว่า ลูกชายกำเงินไปหลายใบเดินไปที่ตลาด แม่จึงตามไปเอากลับมาแม่บอกว่าข้าพเจ้าหยิบเอาไปเป็นร้อย แต่ไม่ได้เอาไปให้ใครหรือซื้ออะไร แม่คิดว่า น่าจะเพียงเอาไปอวดว่าตนเองมีเงินนะ ! ตามประสาเด็กเล็กๆ และแม่บอกว่าช่วงวัยเด็กเล็กข้าพเจ้าขี้โรคมาก คือตัวเหลืองและบวมใหญ่ เขาเรียกว่าเด็กบวมน้ำ พี่ๆ คิดว่าข้าพเจ้าจะไม่รอดแล้ว ต่อมาก็เป็นอีสุกอีใสเป็นตุ่มแผลลายไปทั้งตัว ภายหลังก็เป็นโรคหืดหอบอีก

สมัยนั้นไม่มียาพ่นยารักษา ก็ต้องอาศัยยาประจำบ้านโบราณรักษาคือ เอาแมลงสาปมาเผาไฟให้เกรียมแล้วบดให้ละเอียด ผสมน้ำหรือน้ำมะนาวให้ข้าพเจ้าดื่มกินเป็นประจำ ข้าพเจ้าจำได้ว่าแม่ทำให้ข้าพเจ้าดื่มกินจนอายุประมาณ 6 ขวบ (หมายเหตุเป็นสิ่งที่ปัจจุบันไม่ควรเลียนแบบเพราะมียาแผนปัจจุบันที่ดีกว่าและไม่เสี่ยงอันตราย)

แม่บอกว่าข้าพเจ้าขี้โรค ก็คิดว่าข้าพเจ้าโตขึ้นมาต้องตัวเตี้ยเหมือนพ่อ คือพ่อข้าพเจ้าเตี้ยมีความสูงแค่ประมาณ150 เชนติเมตรกว่าๆ รูปร่างหน้าตาอยู่ในขั้นที่ไม่คอยดี แต่แม่ข้าพเจ้าเป็นคนสูง 160 เชนติเมตรและเป็นคนที่รูปร่างหน้าตาดี ด้วยบ้านเช่าหลังนี้อยู่ปากทางเข้าวัดกุฎ มีพระและชีปะขาวผ่านเข้าออกวัดบ่อยๆ ข้าพเจ้าเมื่อยังเป็นเด็กเล็กๆ พอเห็นพระก็จะสำรวมตัวลีบด้วยความศรัทธา และยกมือไหว้เป็นประจำ ก็ไม่รู้ว่าความศรัทธานี้มาจากไหนเหมือนกันมันเป็นเองทั้งที่พ่อแม่พี่ๆ ก็หาได้สนใจเรื่องพระเรื่องเจ้า

ข้าพเจ้าอายุประมาณ 4 ขวบ พ่อและแม่ก็ย้ายมาเช่าห้องแถวติดตลาด แล้วก็ย้ายอยู่ในบริเวณนั้นอีกครั้งสองครั้ง อยู่ใกล้ท่าเรือคลองลำปำ ที่มีศาลาคนพักและมีต้นโพธิ์อยู่ด้านหลังศาลา ศาลานี่จะเป็นที่นิมนตร์พระมาเทศนาทุกวันในช่วงเข้าพรรษา บ้านหลังสุดท้ายนี้เป็นบ้านอยู่จนถึงปัจจุบันแต่ได้เพิ่มเป็น 2 ห้องเป็นบ้านไม้ด้านหลังเป็นหนองน้ำ แต่ตลาดและศาลาคนพักนั้นปัจจุบันเลิกไปแล้ว สร้างเป็นศูนย์ประมงตำบลลำปำ หนองน้ำหลังบ้านเดี่ยวนี้โดนถมและสร้างบ้านยาวต่อไปถึงอีกซอย

ในสมัยนั้นบ้านไม่มีห้องน้ำสำหรับถ่ายอุจจาระ น้อยหลังคาเรือนมากที่มีห้องน้ำในบ้านหรือบริเวณบ้าน ทุกคนที่บ้านเวลาจะถ่ายอุจจาระยามเช้า จะต้องเดินไปยังราวป่าต้นละหุ่งที่ไกลไปประมาณ 300- 400 เมตร ซึ่งเป็นทางที่จะไปวัดป่าเลย์ไล นับว่าเป็นเรื่องที่ลำบากของลูกผู้หญิง อย่างแม่ และพี่สาวของข้าพเจ้า ส่วนชาวบ้านที่อยู่ริมคลองลำปำก็จะจะถ่ายลงคลองนั้นแหละเป็นอาหารของพวกปลา ราวป่าต้นละหุ่งที่วางระเบิดของชาวบ้านปัจจุบันนี้ไม่มีเหลือแล้ว เป็นบ้านเรือนหมดแล้ว

ยามเช้าแม่ของข้าพเจ้าก็จะไปจ่ายตลอดซื้อกับข้าว ตอนนั้นข้าพเจ้าจำได้ว่า แม่ได้อุ้มข้าพเจ้าไปด้วย และข้าพเจ้าก็ไม่ได้นุ่งผ้าหรือใส่เสื้อผ้าเรียกว่า “แก้เปลือย” ยังจำเหตุการณ์ได้ติดตาติดใจ และในสมัยนั้นเด็กอายุ 3- 6 ขวบ ไม่มีเสื่อผ้าใส่กันทั้งนั้น ก็มีแต่เฉพาะลูกคนมีฐานะจึงจะพอมีใส่กัน และตลาดลำปำเป็นศูนย์กลางการค้าขายของคนหลายหมู่บ้านในละแวกนั้น แล้วแม่เอาข้าพเจ้าวางยืนลงบนพื้นดินยืนอยู่บนกองเปลือกลูกเนียง(เป็นเมล็ดผลไม้ที่มีกลิ่นฉุนที่คนทางภาคใต้เอากินเป็นผักเสริมในขณะทานอาหาร อร่อยเหาะเลยแหละครับ) เท้าของข้าพเจ้าก็โดนตัวหนอน ชั่งเจ็บปวดแสบคันเป็นที่สุด จนข้าพเจ้าต้องร้องไห้ นั่งลงกับพื้นดิน แม่ค้าก็บอกว่าข้าพเจ้าเหยียบถูกหนอน แม่ก็รีบพาข้าพเจ้ากลับบ้าน ซึ่งอยู่ใกล้ตลาดนั้นและเห็นฝ่าเท้าข้าพเจ้าบวมแดง ส่วนข้าพเจ้าก็ร้องไห้เพราะความปวดแสบ แม่ก็เอาข้าวสุกมาปั้นเป็นก้อน แล้วมาคลึงตรงบริเวณฝ่าเท้า บอกว่าเพื่อบรรเทาอาการปวด และให้ก้อนข้าวนั้นดึงเอาขนของหนอนออก สักพักหนึ่งข้าพเจ้าก็อาการดีขึ้น หลังจากนั้นก็มีรูอยู่รูหนึ่งตรงโคนนิ้วชี้เท้าขวา เกิดขึ้นแล้วจะมีคล้ายกับข้าวนิ่มๆ เกิดอยู่ในรู้นั้นเป็นประจำ ข้าพเจ้าบีบออกเป็นประจำ ก็เกิดขึ้นมาใหม่อีก เป็นอยู่อย่างนี้ จนอายุ 12-13 ปี จึงจะหาย ส่วนที่แม่สอนข้าพเจ้าบ่อยๆ คือ อย่าไปขโมยเงินหรือของของใคร อย่าไปเกเรชกตีกับใคร

ข้าพเจ้าอายุประมาณ 5- 6 ขวบ สมัยนั้นบ้านที่มีฐานะดีเช่นบ้านกำนันบ้านนายจ่าตำรวจเริ่มมีไฟฟ้าใช้กันแล้ว แต่บ้านข้าพเจ้าไม่มีใช้ ยังใช้ตะเกียงเจ้าพายุอยู่ และที่สำคัญสมัยประมาณปี 2507-2508 ในตำบลลำปำเริ่มมีโทรทัศน์แล้ว(ถ้าเรียกว่า ทีวี ในสมัยนั้นไม่มีใครรู้จัก) และบ้านที่มีโทรทัศน์เครื่องแรกในลำปำละแวกนั้นก็คือบ้านนายจ่าตำรวจ ไกลไปจากบ้านข้าพเจ้าถึง 400 เมตร และเป็นทางถนนเปลี่ยว มีต้นไม้ใหญ่ระหว่างทาง ซึ่งสมัยนั้นจะเริ่มมีรายการโทรทัศน์ก็ประมาณ 6 โมงเย็น คือเริ่มจะมืดแล้ว แต่เด็กรุ่นข้าพเจ้าและรุ่นพี่ๆ ข้าพเจ้าก็ไม่หวั่น ทั้งที่กลัวผีจะแย่ พอถึงเวลาก็ไปรวมกันนั่งหน้าสะล่อนที่บ้านจ่าพร้อม และจ่าพร้อมก็ใจดีเปิดให้เด็กดูเป็นประจำ กว่าหนังจักรๆ วงศ์ๆ จบก็ประมาณสองทุ่ม อุ่ย! มืดมาก ตอนกลับบ้านบ้านใครบ้านมันนี้แหละต้องเกาะกลุ่มกันเป็นแถวกลับบ้านเพราะสมัยนั้นไฟฟ้าริมถนนไม่มี มืดก็มืดเปลี่ยวก็เปลี่ยวน่ากลัวมากๆ และบริเวณนั้นเป็นถนนทางโค้ง และเคยมีคนเคยโดนรถชนตายมาแล้ว มีบางครั้งมีเด็กรุ่นพี่คิดแกล้ง ตะโกนออกมาว่า “ผีหลอก” แล้ววิ่งออกไป ทุกคนรีบวิ่งกรูไปยังบ้านที่มีไฟฟ้าที่มีบ้านหลายหลังอยู่รวมกันตรงตลาดซึ่งก็คือทางไปบ้านข้าพเจ้านั้นเอง เป็นอย่างนี้ประจำ แต่ก็ไม่เข็ด

เมื่อแม่ของข้าพเจ้าเริ่มขายของชำในตลาด แม่เป็นคนหน้าตาดี และพูดจาดีจึงมีลูกค้าเยอะมีมนุษย์สัมพันธ์ดีมาก คนทั่วไปจึงเรียกแม่ข้าพเจ้าว่า “แม่หล้า” พ่อข้าพเจ้ามีอาชีพเพิ่มขึ้นคือเริ่มรักษาคนไข้ คือเป็นหมอเถื่อน (สมัยนั้น พ.ศ. 2506-2508 หมอขาดแคลนมาก การกวดขันจึงไม่มีครับ) เมื่อข้าพเจ้าอายุประมาณ 5-6 ขวบข้าพเจ้าได้ไปเล่นน้ำที่ลำคลองลำปำกับเพื่อนชื่อพิชัยที่อายุเท่ากัน ในสมัยนั้นท่าเรือคลองลำปำเป็นศูนย์กลางการขนส่งทางน้ำของท้องถิ่นนั้น และเรือหาปลาของชาวลำปำในทะเลสาบลำปำ (สงขลา) ก็จะเอาปลาที่หามาได้มาขึ้นขายทุกเช้า ดังนั้นจึงมีเรือหางยาวมาจอดเคยริมตลิ่งอยู่เสมอ ข้าพเจ้ากับพิชัยก็ยังว่ายน้ำไม่เป็น จึงหัดดำน้ำว่ายน้ำริมตลิ่งนั้น

โดยปกติเมื่อเรือจอดหัวเรือก็จะเกยติดดินบนตลิ่ง ส่วนกลางลำเรือและท้ายเรือก็จะลอยอยู่บนน้ำ ดังนั้นก็สามารถดำน้ำรอดท้องเรือได้ ข้าพเจ้าก็ทดลองดำน้ำรอดท้องเรือได้สองสามครั้ง โดยเล่นน้ำกับพิชัย แต่มีอยู่ครั้งหนึ่งเมื่อข้าพเจ้าดำน้ำลงไปแล้ว ติดค้างอยู่ใต้ท้องเรือไม่สามารถดำผ่านไปได้จนหมดความรู้สึกไป ไม่รู้ว่านานเท่าใด? มารู้สึกตัวอีกที่หนึ่งเหมือนตนเองยืนอยู่บนพื้นดินริมตลิ่ง มึนหัวหมุนติ้วไปหมด แล้วตานั้นมองไปยังตลาดที่แม่ขายของอยู่ แล้วไม่รับรู้อะไรอีกเลย มารู้สึกตัวอีกที ตอนที่พ่อวางข้าพเจ้าลงบนเตียงในบ้านมึนหัวหมุนติ้วๆ ไม่กล้าลืมตา ได้ยินเสียงเด็กและคนพูดกันจอแจรอบตัว เมื่อลืมตาขึ้นมาเห็นบ้านและเพื่อนเด็กๆ ด้วยกันและคนที่มุงดูหมุนติ้ว จนต้องหลับตานอนหลับไปจนพักใหญ่จนอาการมึนนั้นทุเลาลง จึงลืมตามองได้

ต่อไปก็เป็นเรื่องที่แม่เล่า พ่อเล่าและคนอื่นเล่าให้ข้าพเจ้าฟัง หลังจากที่ข้าพเจ้าดำน้ำติดท้องเรือ พิชัยก็ง่วนอยู่ตรงนั้นไม่บอกใคร จนมีน้าคนหนึ่งลงไปชักผ้าและอาบน้ำที่สะพาน เห็นพิชัยกำลังคลำง่วนอยู่บริเวณนั้นพักใหญ่ จึงถามพิชัยว่า “มึงทำอะไรอยู่?” พิชัยก็ไม่พูดไม่จา แต่พิชัยกลับยกขาข้าพเจ้าให้น้าคนนั้นดู เขาก็รู้ว่ามี เด็กตกน้ำ จึงดึงร่างข้าพเจ้าออกจากท้องเรือ เอามาวางนอนราบที่ริมตลิ่งซึ่งสามารถมองเห็นตลาดได้ เขาเล่าให้ฟังว่าปากและจมูกของข้าพเจ้าเต็มไปด้วยโคลน ตัวข้าพเจ้าเริ่มเขียว (แต่ข้าพเจ้าเสมือนรู้สึกยืนอยู่มึนหัวหมุนติ้วมองไปที่ตลาดในทิศที่แม่ขายของ) เมื่อแม่ข้าพเจ้าทราบเรื่องทิ้งร้านแล้ววิ่งลงมาที่ตลิ่ง แต่ก็ไม่รู้จะทำอย่างไร? คงไม่รู้จักวิธีผายปอด หรือคิดว่าจมูกและปากเต็มไปด้วยโคลนไม่หายใจตัวเขียวและตัวอ่อนคงจะตายแล้ว แล้วแม่ข้าพเจ้าจะอุ้มข้าพเจ้าไปที่บ้าน ส่วนพ่อพอทราบเรื่องก็รีบวิ่งมาจากบ้านแย่งร่างข้าพเจ้าไปจากแม่ ด้วยพ่อเป็นหมอเถื่อนย่อมได้ศึกษาการปฐมพยาบาลผู้ตกน้ำ เมื่อเห็นลักษณะข้าพเจ้าแล้วคงผายปอดแบบปากต่อปากไม่ได้ เพราะเต็มไปด้วยโคลน พ่อจึงจับร่างข้าพเจ้าพาดบ่าจับขาปล่อยให้หัวห้อยทันที แล้ววิ่งกะเยอะๆ รอบตลาดโดยมีแม่วิ่งตามร้องไห้ตลอดทาง แม่เริ่มเห็นโคลนและน้ำไหลออกจากปากและจมูกข้าพเจ้า แล้วสักพักหนึ่งเห็นข้าพเจ้าเรอเสียงดัง “เอิก” ใจแม่จึงชื้นขึ้นรู้ว่าข้าพเจ้ารอดตายแล้ว แล้วร่างของข้าพเจ้าก็สำรอกข้าวที่เพิ่งกินก่อนลงไปเล่นน้ำ เมื่อพ่อเห็นว่าน้ำและโคลนออกหมดแล้ว เพราะสำรอกอาหารออกมาแล้ว พ่อจึงพาร่างข้าพเจ้าที่มึนหัวหมุนติ้วๆ ไปหมด ไปวางไว้บนเตียงภายในบ้านดังที่ข้าพเจ้าเล่าข้างบน

ข้าพเจ้าจำได้ว่า เคยฝันในคืนหนึ่ง ในฝันนั้นข้าพเจ้าเล่นอยู่ในตลาด และมืดแล้ว ก็มีตัวคล้ายผีมาเล่นกับข้าพเจ้า ตอนนั้นยังไม่ทราบว่าเป็นผี มาทราบว่าเป็นผีเมื่อคนนั้นลอยไปตามพื้นได้ ข้าพเจ้าก็เกิดอาการกลัวในฝัน จึงวิ่งหนี แต่ผีนั้นก็วิ่งหรือลอยไล่จะจับตัวข้าพเจ้าให้ได้ ข้าพเจ้าวิ่งสุดกำลังจนมืดไปหมดด้วยความกลัว แล้วผีก็มาโอบรัดตัวข้าพเจ้าไว้แน่นแล้วกดจมลงๆ เต็มไปด้วยความอึดอัดและความกลัว ถึงที่สุดจิตก็โพลง ภาวนาอย่างเร็วและถี่ๆ ว่า “พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ๆ ๆ ๆ” จนสิ่งบีบรัดที่แน่นนั้นค่อยๆ คลายออกๆ จนรู้สึกตัวตื่นขึ้นมา แต่คำภาวนานั้นยังภาวนาอยู่ มันเป็นไปเองอย่างอัตโนมัติ ก็แปลกดีเหมือนกัน ภาวนาขึ้นมาเองแต่ก็รอดพ้นภาวะนั้นมาได้ ทั้งที่ไม่รู้จักการภาวนาว่าเป็นอย่างไร และไม่ได้รู้การทำสมาธิว่าเป็นอย่างไร

ข้าพเจ้าอายุประมาณ 5-6-7 ขวบ (พ.ศ. 2507-09) ก่อนเข้าโรงเรียน เป็นช่วงที่มีประสบการณ์โลดโผนมากในชีวิต และรู้ว่าครอบครัวข้าพเจ้าไม่ได้ร่ำรวยแถมขัดสน(แต่ไม่จริงเพราะพ่อแม่กับพี่คนรองหาเงินตัวเป็นเกลียว ข้าพเจ้าจะเล่าในช่วงต่อไปว่าเป็นอย่างไร) จะขอเงินกินขนมหรือของเล่นก็ไม่ได้ ต่างกับเด็กคนอื่นๆ และเพื่อนๆ ที่มีทั้งของกินและของเล่นเป็นประจำ หลังจากนั้นพี่ชายถัดจากข้าพเจ้าก็จับข้าพเจ้าหัดว่ายน้ำเมื่อเห็นข้าพเจ้าว่ายน้ำอยู่ที่ริมตลิ่งพอได้แล้ว โดยทำเป็นว่าจะสอนข้าพเจ้าว่ายน้ำ แล้วว่ายประคองพาข้าพเจ้าไปกลางลำคลอง แล้วปล่อยข้าพเจ้า พี่ก็ว่ายน้ำหนีไป ข้าพเจ้าก็ตกใจแต่ก็ว่ายประคองตัวกลับเข้าหาฝั่งจนได้ หลังจากนั้นข้าพเจ้าก็ว่ายน้ำลงน้ำลึกได้

เป็นอันว่าในตัวตลาด ลำคลองลำปำ ท่าเรือหรือท่าน้ำ ชายป่าไร่นา บึงหนองน้ำ ชายทะเลลำปำ ศาลาคนที่พักริมคลองใต้ต้นโพธิ์ โรงสีข้าวโกงดังเก็บข้าว และวัด 5 แห่ง ได้แก่ วัดป่า วัดกุฎ วัดเบิก วัดวัง วัดคงคา ส่วนอีกฝากฝั่งอีกด้านของลำคลอง ก็มีวัดโพธิ์เด็ด วัดยางงาม วัดป่าขอม แต่ไม่ค่อยได้ไปเที่ยว เป็นอันว่าในบริเวณโดยรอบประมาณ เกือบ 2 กิโลเมตร เป็นที่เที่ยวเล่นของข้าพเจ้ากับบรรดาเพื่อนๆ และเพื่อนรุ่นพี่ และมีการแอบขโมยผลหมากรากไม้ในนาในไร่ เช่นแตงโม แตงกวา หัวมัน และมะม่วงหิมพานต์ (ลูกหัวครก) มากินสนุกกันก็มีพวกรุ่นพี่ๆ นั้นแหละแนะนำ

แล้วพวกรุ่นพี่ตัวดีนี้แหละยุให้เด็ก 5-6-7 ก่อนเข้าโรงเรียนชกต่อยกันเป็นประจำ ข้าพเจ้าก็โดนจับให้ชกก็หลายครั้ง แต่ก็โชคดีที่ใช้หมัดพายุหมุนต่อยชนะครั้งแรกกับเพื่อนชื่อโย คนต่อๆ มาจึงไม่อยากมาต่อยจึงรอดตัวไปไม่ค่อยโดนเพื่อนรุ่นเดียวกันแกล้งมากนัก และภายหลังเพื่อนรุ่นน้องที่เกเรบางคนเป็นนักเลงอันธพาลก็โดนยิงตายทั้งที่ยังไม่พ้นวัยรุ่น ส่วนรุ่นพี่ที่เกเรและเป็นอันธพาลเมื่อโตขึ้นมาก็เป็นนักเลงอันธพาลในตำบล เมื่อเรียนระดับมัธยมก็เป็นนักเลงอันธพาลของจังหวัด เมื่อเป็นตำรวจก็เป็นอันธพาลในวงการของตำรวจ ติดยาขายยาเสพติดจึงโดนไล่ออก สุดท้ายก็เป็นเอดส์ตายในวัยหนุ่ม

พี่เหลี่ยมซึ่งเป็นพี่ถัดจากข้าพเจ้าอายุห่างกันประมาณ 2 ปี มีความเก่งหลายอย่าง เช่น ทำปางธนูยิ่งนกได้สวย ทำคันเบ็ดตกปลาได้ดี ทำเบ็ดราวเบ็ดวางได้ดี และเป็นคนที่ยิงนกแม่นมาก ตกปลาหาปลาวางเบ็ด วางตาข่ายก็ได้ปลามาก เอามาให้ที่บ้านทำแกงทำกับข้าวได้เป็นประจำ และพี่เหลี่ยมเป็นคนที่วิ่งเร็วมาก เมื่อเข้าเรียนก็ได้เป็นนักวิ่งแข่งของโรงเรียนระดับประถม ส่วนข้าพเจ้าตกปลาก็ไม่ค่อยได้ ยิงนกก็ไม่คอยถูก ข้าพเจ้าจึงโดนพี่เหลี่ยมไล่ให้กลับบ้านเป็นประจำ ไม่ให้ไปด้วยเพราะเป็นตัวถ่วง ทำให้ปลาหรือนกแตกตื่นหมด

สมัยนั้นตำบลลำปำเป็นไร่นาเป็นป่า มีหนองบึงมากจึงชุกชุมไปด้วยปลา กุ้ง นก หนูนา กระรอก ในคลองลำปำจะมีฤดูตกปลาเขย่ง ซึ่งจะอยู่ในช่วงฤดูฝนปลายปี ปลาเขย่งจากทะเลสาบลำปำจะขึ้นเข้าสู่ลำคลองลำปำเพื่อจะไปวางไข่ที่ต้นน้ำ เป็นประจำทุกปี ตกได้คืนหนึ่งเป็นร้อยๆ ตัว บางครั้งก็ตกได้กุ้งก้ามกรามตัวใหญ่ พี่เหลี่ยมตกปลาเก่งมากเอาให้ที่บ้านแกงกินเป็นประจำ อาจจะเป็นเพราะข้าพเจ้าเล็กกว่าจึงมองพี่ทำอะไรก็ได้มากกว่าเก่งกว่า ตามปกติปลาเขย่งจะเริ่มเดินทางเข้าลำคลองในตอนใกล้ค่ำจนถึงสว่าง ชาวบ้านที่อยู่ริมคลองก็จะออกมาตกปลากันเป็นแถวตามแนวลำคลองในเวลาค่ำ(หัวค่ำ)จนถึงกลางคืน แต่มาภายหลังก็เริ่มมีผู้เอาตาข่ายวางดักปลาขวางลำคลอง เมื่อยกขึ้นมาในยามเช้าก็มีปลาเขย่งติดตาข่ายเต็มไปหมดแต่ก็ไม่เป็นที่ชอบใจนักเพราะปลาเขย่งราคาไม่ดี แต่แกงเหลือง(แกงส้ม)ปลาเขย่งนี้อร่อยมาก ปลาตัวไหนที่มีไข่เต็มท้องที่เป็นพูสองพู ก็เป็นที่หมายตาของข้าพเจ้าแบบตาเป็นมัน อีกอย่างหนึ่งแกงฉู่ฉี่ปลาเขย่งก็อร่อยอย่าบอกใครเชียว

ในสมัยนั้นปลาที่มีมากในคลองลำปำมี ปลาซิว ซึ่งมีลำตัวสีเงินบางๆ ขนาดสองนิ้วชิด(นิ้วชี้กับนิ้วกลางของผู้ใหญ่ชิดกัน)กว่าๆ ชอบตอดกินอุจจาระเป็นฝูง ตัวมีกลิ่นคาวสักหน่อยสมัยนั้นไม่นิยมเอามารับประทาน เมื่อติดแหหรือตาข่ายหรือตกได้ ก็จะแกะโยนทิ้งแบบตายเปล่าๆ เป็นที่น่ารังเกียจของชาวประมงคนหาปลายิ่งกว่าปลาเขย่งเสียอีก(สมัยนี้น่าจะไม่มีแล้ว หรือหายากมาก) แต่ที่บ้านข้าพเจ้าแม่หรือพี่สาวเอามาแช่น้ำปลาแล้วทอดกรอบ อือ.. อร่อยกรอบอย่าบอกใคร ยิ่งกว่ามันฝรั่งทอดกรอบสมัยนี้หลายเท่าเชียว

ปลาแก้มช้ำเป็นปลาที่มีหางแดงครีบสีแดงเกล็ดสีขาวเงิน ตรงแก้มมีสีแต้มอยู่มีลำตัวขนาดประมาณ 3 นิ้วชิด(นิ้วชี้นิ้วกลางนิ้วนางชิดกัน)ขึ้น จึงเรียกว่าปลาแก้มช้ำ

ปลาลำปำคล้ายปลาตะเพียนมีขนาดประมาณ 4 นิ้วชิดหรือขนาดฝ่ามือ กุ้ง กุ้งก้ามกราม กุ้งมังกร ในสมัยปัจจุบันนี้ใครที่จะกินกุ้งก้ามกรามหรือกุ้งมังกรตัวใหญ่ๆ ได้เป็นประจำก็ต้องเป็นผู้มีเงินเพราะแพงมาก แต่ในสมัยนั้นกุ้งข้าพเจ้ากินบ่อย ปลากดคล้ายปลาเขย่งแต่ตัวใหญ่กว่ามาก ปลากะพง ปลาหลดหรือปลากระทิงลำตัวยาวแบบปลาไหลแต่ผิวหนังมีเกล็ดเล็กๆ ลำตัวแบนกว่าและบนสันหลังจะมีเงี่ยงตลอดแนวเนื้อปลาจะแน่นกินอร่อยส่วนมากที่บ้านข้าพเจ้าจะนำมาต้มหวานใส่น้ำตาลใส่พริกป่นใส่หอมพริกขี้หนูสักสี่ห้าเม็ด และเคี่ยวน้ำให้พอแห้งอร่อยจริงๆ ปลาปะตักลำตัวยาวปากแหลมยาว ฯลฯ

ส่วนในคูหนองบึงและริมทะเล จะเต็มไปด้วย ปลาช่อน ปลาดุก ปลาไหล ปลาฉลาด ปลาเนื้ออ่อน ปลาบู่(ปลาโง่) กบตัวใหญ่ และงูต่างๆ มากมาย ส่วนในทะเลสาปลำปำ ก็เต็มไปด้วยปลาและกุ้งก้ามกราม อย่างเหลือเฟือ ชาวบ้านหาได้มาเป็นลำๆ เรือ ชาวลำปำที่ไม่ได้เป็นชาวประมงก็จะมาดักซื้อทำอาหารที่ท่าเรือลำปำ ที่เหลืออีกมากก็ส่งไปขายในตลาดเมืองพัทลุง

สมัยนั้นชายหาดลำปำ เต็มไปด้วยทรายขาว ตลอดแนวชายหาดลำปำ และมีที่ประทับของ ร.5 (ทราบมาอย่างนี้ไม่ทราบว่าจริงหรือเท็จ) ที่พระองค์ทรงมาประทับที่ชายหาดลำปำที่ทรงสร้างไว้ คล้ายอาคารไม้สร้างยื่นไปในทะเล แต่เดี๋ยวนี้โดนรื้อหายไปหมดสิ้นก็น่าเสียดายอยู่เหมือนกัน เพราะเป็นที่เที่ยวเล่นของข้าพเจ้ากับพิชัยบ่อย และเป็นที่ไปตกปลาค่างโค้(ภาษาถิ่น) มีลักษณะคล้ายปลาเขย่ง แต่หนังปลาจะหนากว่าตัวใหญ่กว่า ถ้าตัวโตๆ จริงก็ขนาดข้อมือผู้ใหญ่ ส่วนหัวจะใหญ่กว่ามากเมื่อเทียบสัดส่วนกับปลาเขย่ง จะมีเมือกและกลิ่นคาวกว่า เอามาแกงเหลืองหรือแกงส้มก็จะอร่อยมากและไข่ของเขานั้นขนาดเล็กกว่าลูกแก้วเล็กน้อยรวมกันหลายฟองเป็นพูสองพูในท้องปลาตัวเมีย อร่อยน่าดู

และที่ลำปำก็มีเกาะลอยเล็กๆ อยู่ที่ชายหาดคือเป็นเนินเกาะ ที่สายน้ำจากคลองลำปำไหลลงสู่ทะเลสาบ แต่แยกออกเป็นสองทาง จึงทำให้เกิดเป็นเกาะเล็กอยู่ระหว่างลำคลองที่แยกกัน ข้าพเจ้าชอบไปเที่ยวที่ชายหาดลำปำเป็นประจำ เพราะห่างจากบ้านไปเพียง 1 กิโลเมตรเท่านั้น ทั้งเล่นทรายหาแมลงที่ต่อสู้กัน เล่นลุยคลื่นแตะยอดคลื่นที่ริมทะเล ไปนอนตากอากาศ ดูดาวที่ชายทะเล ยิงนกตกปลา และก็เคยไปสุ่มปลาหาปลาที่ริมทะเลสาบลำปำในเวลากลางคืน อีกอย่างหนึ่งแอบไปดูคนจู๋จี๋จีบกันสองต่อสอง

การละเล่นของเด็กลำปำในสมัยนั้นที่นิยมคือ เล่นน้ำในลำคลองกระโดดตีลังกาหน้าหลัง กระโดดตีลังกาจากเรือ 2 ชั้น เล่นว่ายน้ำแข่งกันข้ามลำคลอง ขึ้นต้นหว้า ปีนต้นไม้ เล่นพระเอกจับโจร เล่นตี่ เล่นช่อนหา เล่นกระโดดตามช่องที่ขีด(จำไม่ค่อยได้) เล่นวิ่งแข่ง เล่นหมากเก็บ เล่นการพนันสำหรับเด็ก คือเล่นทอยเส้น เล่นปั่นแปะ และจับฉลากเบอร์ ซึ่งสมัยนั้นลำปำ เป็นสังคมที่สามารถเล่นการพนันกันได้ทั้งเด็กและผู้ใหญ่อย่างเสรี

เมื่ออายุประมาณ 7 ปี ก่อนเข้าโรงเรียน 1 ปี ซึ่งพี่เหลี่ยมเข้าโรงเรียน ป.1 ไปแล้ว ข้าพเจ้าก็รับพฤติกรรมและกระแสต่างๆ ในตลาดตำบลลำปำอย่างเต็มที่ ถือว่าเป็นรุ่นใหญ่ก่อนวัยเรียน เริ่มยิงนกตกปลาวิดปลาเป็นแล้ว ทั้งจับเหล็กในตัวต่อดึงออกเอาเศษไม้หรือหญ้ายัดเข้าไปแทนเป็นสิบๆ เอาเข็มหรือไม้แหลมเล็กๆ จิ้มแทงแมลงวันหาจุดตายเป็นร้อยๆ ทำด้วยความสนุกและสะใจ ทั้งเล่นทอยเส้น ปั่นแปะจับฉลากเบอร์ เป็นขบวนสร้างกรรมทำกรรมมากขึ้น จนกระทั่งในชั้นประถมข้าพเจ้าถึงกับกำเริบ วางยาเบื่อปลาถึง 3 หรือ 4 ครั้ง ในแต่ละครั้งปลาเล็กปลาน้อยตายเป็นเบือ ผู้อ่านคอยติดตามอ่านว่าผลวิบากกรรมเป็นอย่างไรต่อไป

แต่หาใช่ว่าสังคมจะให้แต่ด้านลบด้านเดียว ในตลาดลำปำนั้นมีผู้ใจบุญมากๆ คือลุงกลั่นซึ่งมีอาชีพทำว่าวขายและภรรยาต่างก็เป็นผู้ที่มีจิตใจอยู่ในบุญสุนทานลุงกลั่นเคยบวชพระมาประมาณ 5 พรรษา และเป็นคนสร้างศาลาคนพักที่ริมคลองลำปำนั้น ให้ผู้ที่เดินทางพักผ่อนระหว่างเดินทาง และเป็นผู้ที่นิมนต์พระมาเทศนาเป็นประจำทุกวันในช่วงเข้าพรรษา และจะพาบุตรหลานไปวัดทำบุญทุกวันพระ ส่วนตักบาตรนั้นตักบาตรทุกวันไม่ว่างเว้น ข้าพเจ้าซึ่งไม่ใช่บุตรหลานแต่ก็ชอบติดตามไปด้วยประสาเด็ก เพราะที่วัดข้าพเจ้าจะได้กินขนมหรือของเหลือจากพระฉันเป็นประจำ จนข้าพเจ้ามีเพื่อนเป็นเด็กวัดก็หลายคน และในช่วงเข้าพรรษาข้าพเจ้าก็จะไปรอเล่นที่ศาลาเป็นประจำ เพราะหลังจากพระเทศนาเสร็จ ก็จะรอเพราะพระจะดื่มน้ำปานะที่เหลือเป็นประจำ ก็จะเหลือให้กับเด็กแถวๆ นั้น ก็คือข้าพเจ้านั่นเอง ข้าพเจ้าได้ดื่มบ้างไม่ได้ดื่มบ้างก็ยังดี เพราะพ่อและแม่ข้าพเจ้าไม่เคยให้สตางค์ข้าพเจ้ากินขนมเลย ด้วยความขี้เหนียวของพ่อ แต่ข้าพเจ้าได้ซึมซับธรรมะที่ว่า ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว การมีสติจำให้ได้ การเป็นคนดี โดยไม่รู้ตัว และมีความคิดดีๆ แปลกๆ ขึ้นมา จำได้ว่าข้าพเจ้ากำลังยืนอยู่ในตลาดลำปำ แล้วมองไปรอบตลาดเห็นผู้คน แล้วกวาดตาไปยังลำคลองลำปำ และศาลากับต้นโพธิ์ ใจก็สงบและรำลึกขึ้นว่า “เราต้องเป็นคนดี ต้องทำคุณประโยชน์ให้กับผู้อื่นและโลก”

จากการที่ได้ไปวัดในวันพระและฟังเทศนาช่วงเข้าพรรษาเป็นประจำ ข้าพเจ้าจะศรัทธามากเมื่อตอนไหว้พระสวดมนตร์ เพราะจะสำรวมกายใจเวลาไหว้พระสวดมนต์และตั้งใจฟังเทศนาอย่างสนใจ ก็ไม่รู้ว่าติดนิสัยนี้มาจากไหน แต่ก็ด้วยเหตุหนึ่งคือเพื่อรอของกินฟรี ส่วนครอบครัวของข้าพเจ้าหาได้สนใจในเรื่องบุญกุศล ยิ่งเป็นพ่อแล้วไม่เอาเลยและไม่เชื่อเลย และการทำบุญตักบาตรก็จะได้ทำก็ในเฉพาะวันสำคัญที่ทำเป็นประเพณีประจำปีเท่านั้น ถ้าเกิดไปตักบาตรในวันอื่นหรือวันพระก็จะโดนพ่อว่าและตำหนิ จนไม่มีใครกล้าทำแม้กระทั่งแม่