ชีวิตในระดับมหาวิทยาลัย

ข้าพเจ้าจึงมุ่งหน้าไปสมัครเข้าเรียนในมหาวิทยาลัยรามคำแหงที่กรุงเทพมหานครอีกครั้ง โดยพ่อของข้าพเจ้าขัดขวางแต่ข้าพเจ้าแอบหนีพ่อไปได้ ข้าพเจ้าก็ขอความช่วยเหลือจากเพื่อนชื่อโดกเหมือนเดิมซึ่งตอนนี้เขาจะขึ้นชั้นปีที่ 3 โดยขอ(สิง)พักในหอพักจุฬา และพาข้าพเจ้าไปสมัครเรียน วันแรกที่เพื่อนเจอข้าพเจ้า เพื่อนได้พูดกับข้าพเจ้าว่า “กูว่ามึงอย่าเรียนต่อดีหว่า(กว่า) เพราะเขาไม่อนุญาตให้มึงเรียนต่อในระดับอุดมศึกษา ถึงเรียนจบมาก็หางานทำคงไม่ได้ กูเปิดดูกฎหมายหมดทุกเล่มแล้วมึงไม่มีสิทธิ์เลย” นี้เป็นคำพูดจากเพื่อนที่จะจบนิติศาสตร์เกียรติ์นิยมจากจุฬาและเรียนเนติบัญฑิตจบภายใน 1 ปี

ข้าพเจ้ายอมรับว่าเมื่อได้ฟังเพื่อนรักพูดอย่างนั้นใจข้าพเจ้านี้แวบหายและมีความขัดเคืองภายในใจว่า แม้แต่เพื่อนที่รู้ใจกันยังพูดอย่างนี้ ข้าพเจ้าจึงพูดไปอย่างชัดถ้อยชัดคำว่า “กูอยากเรียน ไม่ใช่หวังเรื่องงานเรื่องการ กูหวังแต่เพียงเพื่อความรู้และปัญญาเท่านั้น ถึงแลกด้วยชีวิตกูก็ยอม”

ในวันสมัครเรียนเพื่อนก็พาไปเหมือนเดิม แต่หลักฐานยังไม่สมบูรณ์เพราะเป็นเพียงใบสอบถามจากเจ้าหน้าที่กระทรวงมหาดไทยเท่านั้น ไม่ใช่ใบอนุญาตให้เรียนต่อ ทางนักศึกษาที่รับสมัครจึงพาข้าพเจ้าไปตึก สวป. เข้าพบกับ ผอ. สมชาย น้อยช่ำ ทางผอ. จึงให้อนุญาต ให้เรียนไปก่อนแต่ไม่มีสิทธิ์เป็นนักศึกษาสมบูรณ์ ต้องเอาหลักฐานที่สมบูรณ์คือใบอนุญาตจริงมาให้ครบภายในเวลา 1 ปี ข้าพเจ้าจึงได้เรียนไปก่อน

ข้าพเจ้าก็ได้เรียนอย่างสมใจในคณะวิทยาศาสตร์สาขาฟิสิกส์ของปีการศึกษา พ.ศ. 2523 และข้าพเจ้าก็วางแผนเรียนให้จบภายในเวลา 3 ปี เพราะข้าพเจ้าสงสารแม่ ที่ลำบากต้องแอบส่งเงินให้ข้าพเจ้าเรียน และโดนพ่อด่าทุกเช้าของทุกวัน เรื่องข้าพเจ้าไปเรียนราม ชีวิตช่างขัดสนยากจนเสียจริงๆ เพราะพ่อไม่ยอมส่งแถมขัดขวาง แม่จึงส่งเงินคนเดียวแม่บอกว่าแม่สามารถส่งได้เดือนละ 950 บาทเท่านั้น เงินแค่นี้ถ้าไปอยู่หอไม่พอกินแน่นอน เจ้าโดกจึงพาไปอยู่กับเพื่อนๆ ที่ขึ้นมาเรียนรามคำแหงและเช่าบ้านหลังหนึ่งรวมกัน 11 คน ในซอยลาดพร้าว 71 และข้าพเจ้าก็ได้พบเพื่อนที่เรียนห้องเดียวกันกับข้าพเจ้าตอนอยู่ ม.ศ. 4-5 ถึง 4 คน คือ เจ้ารงค์(ปัจจุบันรับราชการ) เจ้าแพรม(ไม่ได้รับข่าวเลย) เจ้าจง(ปัจจุบันทำงานบริษัท) เจ้ามุ้ย(ปัจจุบันรับราชการ) ตอนนี้เพื่อนทั้ง 4 เรียนอยู่ชั้นปีที่ 2 เมื่อรวมข้าพเจ้าไปอีกคนทั้งหมดก็เป็น 12 คน ด้วยความซื่อข้าพเจ้าไม่เคยไปเบิกเงินที่แม่ให้จำนวนสามหมื่นที่เป็นบัญชีของข้าพเจ้ามากินเลย เพียงแต่จะเอาดอกส่วนเกินมาซื้อหนังสือและอุปกรณ์การเรียนในแต่ละปีเท่านั้น และไม่เคยคิดที่จะแตะหรือเบิกเงินที่เป็นชื่อพ่อหรือแม่ที่เป็นสองชื่อกับข้าพเจ้าเลย ถึงแม้ข้าพเจ้าจะอดลำบากอย่างไร อ้อ.. สมัยนั้นยังไม่มีเอทีเอ็ม

 

แม่ส่งเงินให้ข้าพเจ้าเดือนละ 950 บาท และเพื่อนทั้ง 11 คนที่อยู่ก่อนเขามีระบบแชร์กันคือ คือจ่ายกองกลางคนละ 450 บาท รวมเป็นเงิน 5,400 บาท เป็นค่าเช่าบ้านค่าน้ำค่าไฟค่าซื้อข้าวสารเพื่อหุงกินทั้งเดือน และค่าจ่ายตลาดซื้อผักปลาหรือเนื้อหมูหรือเนื้อไก่เพื่อทำกับข้าวกินกันเองตอนเช้าในแต่ละวัน ให้งบวันละไม่เกิน 100 บาท กินกัน 12 คน การจ่ายตลาดทำกับข้าวหุงข้าวในยามเช้า แบ่งเวรกันทำคนละวัน เมื่อถึงเวรของใคร ก็ต้องหุงข้าวก่อน 6 โมงเช้า แล้วออกไปตลาดซื้อผักซื้อเนื้อและอื่นๆ สดๆ มาทำกับข้าว เพราะไม่มีตู้เย็น เป็นอันว่าทุกเช้าเมื่ออาหารเสร็จ พวกเราก็จะรุมกินอาหารมื้อนั้นจนหมดเกลี้ยง ซึ่งเป็นมื้อเดียวที่กินได้พออิ่มในแต่ละวัน ส่วนสองมื้อที่เหลือได้กินไม่พอท้อง ไม่ต้องพูดถึงน้ำเปล่าและขนมเพราะไม่มีเงินซื้อได้ และวันอาทิตย์ตัวใครตัวมันหากินกันเอง วิธีประหยัดคือนอนตื่นให้สาย เลยไปจนถึงเที่ยงเป็นดี เพราะประหยัดข้าวเช้าไป 1 มื้อ ตอนมาอยู่กับ เพื่อนใหม่ๆ เพื่อนก็คงแปลกใจว่าข้าพเจ้าทางบ้านก็พอมีฐานะทำไมต้องมาลำบาก แต่เมื่อรู้ว่าพ่อไม่ส่งเรียนแถมขวางเสียอีก แม่ต้องแอบๆ ส่งเงินมาให้ เพื่อน ๆ ก็เข้าใจ

 

พวกเราอยู่กันอย่างสมัครสามัคคีกันอย่างเหนียวแน่น คือ “รวมกันเราอยู่ แยกหมู่มึงอดตาย” เพราะเพื่อนส่วนมากก็ได้เงินมาอย่างจำกัดพอๆ กันไม่สามารถไปเช่าหอได้ทั้งนั้น เมื่อข้าพเจ้าได้เงินเดือนละ 950 บาท ค่าส่วนกลางและอาหารมื้อเช้า 450 บาท จึงเหลือเงิน 500 บาท ข้าพเจ้าจะแจกแจงให้ทราบว่า 500 บาทที่เหลือข้าพเจ้าใช้จ่ายอะไรบ้าง มีค่ารถประจำทางไปกลับมหาวิทยาลัยวันละ 3 บาท หนึ่งเดือนก็ประมาณ 90 บาทเพราะจะไปทุกวันไม่มีเรียนก็อ่านหนังสือในหอสมุดมหาวิทยาลัย ก็จะเหลือ 410 บาท ค่าอาหารจานเดียวมื้อละ 5 บาท ทั้งเที่ยงและเย็น เป็น 10 บาท หนึ่งเดือนก็ 300 บาท ที่เหลือ 110 บาทเป็นค่าสมุด ปากกา ผงชักฟอกค่าสบู่ ยาสีฟัน และค่ายารักษา มันจึงไม่พออยู่ดี ยิ่งวันอาทิตย์มหาวิทยาลัยปิดบางวันอยู่กับบ้านไม่มีอาหารเช้าที่แชร์กัน ไม่มีอาหารจานละ 5 บาทเหมือนในมหาวิทยาลัยจำเป็นต้องอดมื้อเช้า และข้าพเจ้าเป็นคนนอนตื่นสายจนถึงเที่ยงไม่เป็น จึงต้องหาขนมชิ้นละบาทรองท้องตามด้วยน้ำหรืออย่างดีก็นมถั่วเหลืองไวตามิล จึงเหลือเงินซื้ออาหารตามสั่งกินมื้อเที่ยงและเย็นได้

เรื่องความสนุกยอกล้อกันพวกเพื่อนอยู่อย่างสนุกยิ่งกว่าหรือพอกับในหนังเสียอีก และมีคนหรือสองคนชอบออกเที่ยวผู้หญิง ออกไปจับไก่(ผู้หญิงเที่ยวหรือหากิน) แถวสะพานควาย เอามาค้างคืนที่บ้านก็หลายครั้ง ก็เป็นสิทธิ์ของเพื่อนรุ่นพี่คนนั้นไป ไม่ไปก้าวก่ายกัน เพราะยังสามัคคีกัน และเรื่องอดนี้อดทนกันจริงๆ คิดดูสิ.. ในมหาวิทยาลัยทานข้าวจานละ 5 บาทต้องพอ จะกินมากกว่านี้ไม่ได้ และไม่สามารถซื้อน้ำดื่มได้ เพราะน้ำแข็งเปล่าแก้วละ 50 สตางค์ สมัยนั้นในมหาวิทยาลัยรามคำแหงไม่มีก๊อกน้ำดื่มเหมือนสมัยนี้ เมื่อทานข้าวเสร็จลุกออกจากโต๊ะ เข้าไปในห้องน้ำ เหลียวซ้ายแลขวาเห็นไม่มีคน ก็ชดน้ำในห้องน้ำนั่นแหละดื่ม แต่ก็ไม่เคยเต็มอิ่มเพราะมัวแต่กลัวคนอื่นจะเห็นหรือจะรู้ อายเขาครับ ยากจนจนไม่มีเงินซื้อน้ำแข็งเปล่าดื่ม เป็นว่าข้าพเจ้าต้องปากแห้งคอแห้งตลอดวัน เพราะต้องอยู่บริเวณห้องสมุดมหาวิทยาลัยทั้งวัน

มีบางครั้งเจอเจ้ารงค์ในมหาวิทยาลัยหรือไปเรียนด้วยกันแล้วชวนกันไปทานข้าวเที่ยง ทั้งสองคนก็ทานได้จานเดียวเหมือนกัน เมื่อทานเสร็จก็หาน้ำดื่มในห้องน้ำ และเจ้ารงค์นี้เองเป็นคนสอนข้าพเจ้าเองเรื่องหาน้ำกินในห้องน้ำ แล้วมานั่งที่โต๊ะ ข้างตึกคณะบริหารซึ่งชิดกับโรงอาหาร หลังตึกคณะบริหาร เราทั้งสองหันหน้าไปทางโรงอาหาร ตอนนั้นข้าพเจ้าก็ยังไม่อิ่ม เมื่อเห็นคนอื่นนั่งทานกันทั้งข้าวขนมและน้ำ ข้าพเจ้าต้องกลืนน้ำลายหลายอึก เจ้ารงค์ก็คงไม่ต่างกับข้าพเจ้า แล้วเจ้ารงค์ก็พูดว่า “มึงดูสิ คนมีเงินเขากินกัน กูนี้กลืนน้ำลายเลย ถ้ากูมีเงินกูจะสั่งมาให้เพียบกินให้สะใจเลยทีเดียว อย่าให้กูมีเงินบ้างก็แล้วกัน”

ข้าพเจ้าก็พยักหน้าพูดได้แค่ “ อือ” เพราะพูดอะไรไม่ออกเหมือนกัน แต่ถ้าเจ้ารงค์รู้ว่าข้าพเจ้ามีเงินส่วนตัวในธนาคารถึง สามหมื่น ตั้งไว้เฉยๆ เจ้ารงค์คงไล่เตะข้าพเจ้าแน่ เพราะความซื่อๆ ของข้าพเจ้าที่แม่บอกว่าฝากให้เก็บไว้ยามจำเป็นจริงๆ ข้าพเจ้าจึงคิดว่ามันยังไม่จำเป็น ข้าพเจ้าจึงไม่มีสิทธิ์ที่จะถอนมาใช้ ก็ด้วยความซื่อนี่แหละ

และเจ้ารงค์ก็เคยพูดในขณะอ่านหนังสือในบ้านเช่าในค่ำคืนหนึ่งด้วยความที่ทุกคนท้องว่างว่า “พวกเรากินอาหารก็ไม่เคยสมบูรณ์ เป็นโรคขาดอาหาร แล้วจะมีสมองไปเรียนสอบแข่งกับคนอื่นได้ปรือ คำพูดของเจ้ารงค์เอาของจริงมาพูดตลก แต่ตลกไม่ออกจริงๆ

แต่ปีแรกข้าพเจ้าทำ G ได้ไป 4 ตัว ทั้งที่มีภาวะกดดันต่างๆ และสิ่งแวดล้อมไม่พร้อมเอาเลย โต๊ะอ่านเขียนหนังสือที่บ้านเช่าก็ไม่มี แต่แหม.. ถ้าได้เพิ่มอีก 2 วิชาก็ได้ เกรดเฉลี่ยครบ 4 ปีเท่ากับ 2.5 ตั้งแต่เรียนปีแรก

ในวันปีใหม่ข้าพเจ้าก็ได้ส่ง ส.ค.ส ไปให้ ผอ.สมชาย น้อยช่ำ และส่งจดหมายแจ้งผลการเรียนไปให้ทางกระทรวงทราบ แต่ข้าพเจ้าน่าจะส่งผิดกระทรวงเพราะความไม่รู้เรื่อง ด้วยความกดดันจากบ้านและใบอนุญาตศึกษาต่อก็ยังไม่มีและไม่มีวี่แววเลย จนข้าพเจ้าต้องนั่งซึมในบางครั้ง จนเจ้ามุ้ยเห็นและเข้ามาบอกว่า “เราเห็นเซียม ทุกข์ใจเราก็อยากช่วย แต่เราก็ช่วยเหลือเซียมอะไรไม่ได้เลย”

เมื่อข้าพเจ้ากดดันและทุกข์ใจมากขึ้นเพราะใกล้สิ้นปีแล้วแต่ใบอนุญาตศึกษาต่อก็ไม่มีวี่แววจะได้ และข้าพเจ้าหวั่นผวาทุกครั้งในการเดินทางไปกลับระหว่างกรุงเทพฯ-พัทลุง กลัวถูกเจ้าหน้าที่จับตัว และสั่งไม่ให้ไปเรียนได้อีก สิ่งแรกที่ข้าพเจ้านึกถึงเพื่อบรรเทาความกลัวเหล่านั้น คือกำหนดภาวนา พุทธ-โธ ตามลมหายใจอยู่ตลอดเวลาเมื่อระลึกได้

ตลอดทั้งปีข้าพเจ้ารอใบอนุมัติการศึกษาต่อในระดับอุดมศึกษา แต่ไม่มีวี่แววว่าจะได้ เมื่อปิดเทอมข้าพเจ้ากลับบ้าน ได้ไปถามเจ้าหน้าที่เขาก็บอกว่า ถ้าอนุมัติเขาจะส่งเอกสารไปเองที่บ้าน ข้าพเจ้าจึงแห้ว แถมพ่อของข้าพเจ้าก็ขัดขวางข้าพเจ้าอย่างรุนแรง ถึงขนาดด่าไล่ตีข้าพเจ้าออกจากบ้านแล้วเอาหนังสือเรียนของข้าพเจ้าทั้งหมดขว้างใส่ข้าพเจ้า ข้าพเจ้าต้องหลบมานั่งที่ร้านขายของชำกับแม่ จนหกโมงเย็นจึงจัดของที่ขายลงเก็บแล้วยกเข้าบ้านซึ่งเป็นงานประจำของข้าพเจ้าตอนอยู่บ้าน ช่วงนั้น พ่อก็คงสงบสติอารมณ์ลงแล้ว วันรุ่งขึ้นข้าพเจ้าก็ยังกระแซะไปช่วยงานซ่อมจักรยานให้พ่ออยู่ดี พ่อจึงพอระงับอารมณ์โกรธกับข้าพเจ้าลงบ้าง

แต่พ่อก็จะพยายามโจมตีสายส่งน้ำเลี้ยงข้าพเจ้า คือทุกเช้าประมาณตีห้าครึ่ง จะไปปลุกแม่(นอนแยกห้องกัน) แล้วจะพูดด่าเรื่องที่แม่แอบส่งเงินให้ข้าพเจ้าเรียนทุกๆ วัน จนแม่นี้แทบทนไม่ได้ แต่ต้องอดทนเพื่อลูกกลัวว่าลูกจะเสียสติ ช่วงที่ข้าพเจ้าเรียนอยู่ปี 2 พี่เหลี่ยมพี่ชายคนที่ติดกับข้าพเจ้าก็บอกกับข้าพเจ้าในเชิงขอร้องบอกให้ข้าพเจ้าทราบ ว่าถ้าข้าพเจ้าหยุดเรียนได้ก็ดีแม่จะไม่ต้องลำบาก เพราะแม่ทนแทบไม่ได้แล้ว

ข้าพเจ้าก็บอกกับพี่ชายว่า “น้องขอเวลาอีกเพียงปีกว่าเอง น้องจะเรียนให้จบภายใน 3 ปี” เพราะด้วยเหตุที่ทราบเรื่องนี้ตอนปี 1 ข้าพเจ้าจึงตั้งเป้าเรียนให้จบให้ได้ใน 3 ปี ไม่หวังเกรด G ให้ผ่านเกรด P ตามแผน ยึดจำนวนหน่วยกิจที่วางไว้เป็นเป้าหมายเท่านั้น และจะต้องจบภายในเวลา 3 ปีพอดี จึงเป็นความกดดันข้าพเจ้าอย่างมาก

แต่ช่วงนี้ข้าพเจ้าเริ่มอ่านหนังสือธรรมะในหอสมุดมหาวิทยาลัยมากขึ้น และการไหว้พระก่อนนอนนั้นข้าพเจ้าทำเป็นประจำ ส่วนการสวดมนต์นั้นข้าพเจ้าไม่กล้าสวดเมื่อมาอยู่บ้านเช่ากับเพื่อนเพราะ กลัวเพื่อนจะมองแตกต่างมากเกินไป จึงนอนนึกภาวนาถึงคำสวดมนต์จนจบแล้วหลับไปเองทุกครั้ง

ด้วยความเครียดความกดดันอย่างมาก ข้าพเจ้าจึงหันมองดูใจตนเอง แล้วคำนึงว่า “เราเลือกมาอย่างนี้เพื่อเรียนต่อแล้ว ไม่ได้หวังสิ่งใดซึ่งอาจจะไม่ได้รับปริญญา เราก็ยอมลำบากถึงกับสละชีวิตได้ด้วยหวังแต่ความรู้และปัญญาเท่านั้น” และก็เข้าใจไปเองว่า “เราจะทนสู้แบบนี้ต่อไปคงไม่ไหวแน่อาจจะบ้าเสียสติแบบพี่คนโตได้ มีสิ่งใดหนอสามารถทำให้เราทนอยู่ได้โดยไม่เสียสติแบบคนกึ่งไร้ความสามารถ อ้อ.. ธรรมะของพระพุทธเจ้านั่นเอง สามารถช่วยให้เรามีสติมั่นคงได้”

ตั้งแต่นั้นมาข้าพเจ้าก็อ่านหนังสือธรรมะในหอสมุดมากขึ้น และภายหลังได้ตัดสินใจแบ่งเวลาในแต่ละเทอมออกเป็น 2 ส่วน 2 เดือนต้นเทอมจะอ่านหนังสือธรรมะอย่างเดียวในหอสมุดมหาวิทยาลัยไม่แตะต้องหนังสือเรียน แต่เข้าเรียนทุกคาบเรียนไม่เคยขาด หลังจากนั้น 2 เดือนไปจนถึงปลายเทอมอ่านหนังสือเรียนอย่างเดียวไม่อ่านหนังสือธรรมะ

 

แต่กรรมต่างๆ ที่ทำไว้ตอนวัยเด็ก ก็เริ่มตามสนองข้าพเจ้าอย่างช้าๆ ในช่วงเรียนปี 1 เทอมสอง เมื่อเรียนในมหาวิทยาลัยช่วงกลางวันข้าพเจ้าขาดน้ำต้องปากแห้งคอแห้งตลอดทั้งวันและไม่ได้ทานผลไม้ บวกกับเครียดกับเรื่องต่างๆ และเราอยู่รวมกัน 12 คน แต่ห้องน้ำมีเพียงห้องเดียว และข้าพเจ้าเป็นคนขี้เกรงใจคนอื่น ซ้ำต้องรีบไปเรียน ทำให้ข้าพเจ้าท้องผูกอย่างหนัก 2 หรือ 3 วันถ่ายท้องทีหนึ่งแต่ก็ยังลำบาก บางครั้งเลยไป 5- 7 วัน ก็ยังถ่ายลำบาก ด้วยความกลัวในฐานะทางสังคมและไม่มีเงินจึงไม่กล้าไปหาหมอ จนต้องหาวิธีแก้ด้วยตนเองคือไปหาซื้อยาเองในร้านขายยา คนขายยาแนะนำให้ใช้ยาสอดทวารที่เป็นแท่งยาวขนาดเกือบนิ้วชี้ ให้สอดใส่ไปในทวาร ข้าพเจ้าซื้อมาใช้หลายแผงก็ไม่ดีขึ้น และตอนสอดเข้าไปทำให้ข้าพเจ้านึกถึงตอนสมัยเด็กที่ข้าพเจ้าจับตัวต่อและใช้ความไวจับเหล็กในเขาออก แล้วเอาพวกเศษไม้เศษหญ้าใส่เข้าไปแทนอย่างสนุกสนาน ข้าพเจ้าทำร้ายเป็นจำนวนหลายๆ สิบตัว

เมื่อไม่หายก็ไม่มีวิธีอื่นแล้วในการแก้ปัญหา จึงแก้ปัญหาแบบโง่ๆ ตอนนี้อ่านแล้วอาจโป๊สักหน่อย ข้าพเจ้าล้างนิ้วมือตนเองให้สะอาดแต่บางครั้งอาจไม่สะอาดไปเขี่ยอุจจาระที่แข็งตัวเกาะอยู่ในบริเวณรอบๆ ช่วงทวารออกเสียก่อนจนพอถ่ายได้บ้าง ซึ่งเป็นอาการระยะเริ่มแรกของโรคริดสีดวงทวาร เมื่อขาดน้ำไม่ได้ทานผักผลไม้ และอั้นการถ่ายอุจจาระบ่อยๆ ก็จะทำให้เกิดท้องผูกมากขึ้นเพราะจะมีอุจจาระเป็นเกล็ดเล็กๆ แข็ง เกาะอยู่ตามขอบใต้รอบริดสีดวงที่เริ่มเป็นนั้น ด้วยการทำเช่นนี้บ่อย จึงทำให้บางครั้งเลือดไหล แต่ก็ไม่มีทางเลือกทางอื่นเพราะกรรมและความกลัวจึงเสมือนปิดช่องทางอื่นทั้งหมด

ด้วยการใช้ภาชนะในห้องน้ำด้วยกัน และในห้องน้ำนั้นอาจจะเปรอะด้วยอะไรก็ไม่รู้ จึงทำให้ข้าพเจ้าติดเชื้ออันไม่พึงประสงค์โดยไม่รู้ตัว และในคืนหนึ่งได้ฝันว่าข้าพเจ้าได้มองเห็นแขนด้านซ้ายของตนเองนั้นมีสีขาวผ่อง แล้วจิตก็โฟกัสลงไปที่ผิวหนังที่แขนนั้นก็ขยายใหญ่ขึ้น แล้วข้าพเจ้าเห็นรูๆ หนึ่ง เมื่อจิตโฟกัสเข้าไปใกล้รูนั้น ข้าพเจ้าเห็นหนอนไต่อยู่ปากรู และเมื่อโฟกัสเข้าไปในรูก็เห็นหนอนเต็มไปหมด ข้าพเจ้าจึงสะดุ้งตื่นขึ้น และด้วยได้อ่านหนังสือธรรมะมามากขึ้น จึงทำให้คิดไปว่า “คนเราเมื่อดูข้างนอกแล้วก็ดูดีผิวขาวใส แต่ที่จริงข้างในเต็มไปด้วยหนอนสกปรก” ข้าพเจ้าหาได้เฉลียวใจสักนิดว่าได้ติดเชื้อแล้ว วิบากกรรมของการวางยาเบื่อปลา โดยที่ไม่จำเป็นต้องทำ แต่ทำด้วยความสนุกตามผู้ใหญ่หรือรุ่นพี่ในวัยเด็ก เริ่มสนองข้าพเจ้าแล้ว

หลังจากนั้นขอบภายในตาของข้าพเจ้าเกิดเป็นตุ่มเป็นหนองจนสุกแล้วข้าพเจ้าก็บีบแตกออกมา หลังจากนั้นทิ้งระยะห่างไปก็เป็นอีกเมื่อหนองสุกก็จะแตกแล้วข้าพเจ้าก็บีบออก เป็นถึง 3- 4 ครั้งก็หายไป บางครั้งก็จะเจ็บปวดในกระบอกตาลึกๆ ข้างในมากจนต้องนอนหลับตาพักปล่อยให้งีบหลับไปจึงจะทุเลาหรือหายไป

เมื่อสิ้นปีที่ 1 เป็นปีที่ข้าพเจ้าได้รับรู้รสชาติของการสอบตก เป็นครั้งแรก คือวิชา เคมี เพราะ ไปเรียนไม่ทันเนื่องจากเรียน 7.30 น และไม่มีหนังสือเรียนอ่าน เนื่องจากไม่มีหนังสือขายเพราะหมดแล้วไม่ได้พิมพ์ใหม่ เนื่องจากในช่วงนั้นโรงพิมพ์ของมหาวิทยาลัยโดนไฟไหม้ ในปีนี้ข้าพเจ้าต้องสละคนที่ข้าพเจ้าแอบชอบมาตั้งแต่ก่อนชั้น ม.ศ. 1 ไม่ใช่สละด้วยความโกรธหรือความไม่ดีของเขา แต่ด้วยความน้อยใจในฐานะตัวข้าพเจ้าเอง ที่ไม่ควรเอาใครมาร่วมทุกข์กับข้าพเจ้า ตามความคิดในตอนนั้น และภาคฤดูร้อนในปี 1 นี้เพื่อนๆ จัดทัวร์กันไปเที่ยวเชียงใหม่และเชียงราย ข้าพเจ้าก็ร่วมวงไปด้วย ในปีหนึ่งนี้ข้าพเจ้าเก็บหน่วยวิชาได้ตามเป้าหมายที่จะจบภายใน 3 ปี รู้สึกว่าในปีนั้น วงการแชร์ที่พัทลุงได้ล้มลงจนหลายคนเป็นหนี้เป็นสิ้น หมดเนื้อหมดตัว และบางคนก็ฆ่าตัวตาย และภายหลังแชร์แม่ชม้อยก็ล้มลง

ในภาคฤดูร้อนข้าพเจ้าก็ได้เจอกับเพื่อนซึ่งเป็นลูกกำนันชื่อ อ้น ในหอสมุดที่มาเรียนรามเหมือนกัน และเขาก็เป็นคนที่มีฐานะดีมาก อ้นเป็นคนใจกว้างและใจถึง พ่อแม่เขาได้ซื้อบ้านเดี่ยว 50 ตารางวาให้เขาพักและไปเรียนหนังสือ เมื่อเจอข้าพเจ้าเขาก็ได้ชวนข้าพเจ้าไปพักอยู่ที่บ้านของเขาที่อยู่หมู่บ้านปัฐวิกรณ์โดยที่ไม่ต้องจ่ายค่าที่พักแต่อย่างใด ข้าพเจ้าก็ลังเลยังไม่ตอบตกลง เพราะอยู่บ้านเช่ากับเพื่อนและพี่ๆ ต่างก็สามัคคีกันดี

เมื่อข้าพเจ้ากลับมาบ้านเช่าและดูตารางการเรียนในปีที่ 2 นั้นไม่ใช่วิชาที่ง่ายและมีวิธีทำต้องฝึกทำโจทย์ต้องขีดต้องเขียนมากขึ้น ถ้าข้าพเจ้าไม่มีโต๊ะอ่านเขียนหนังสือที่บ้านข้าพเจ้าก็แย่แน่ ด้วยความกลัวว่าจะต้องแย่แน่ เมื่อได้เจอกับ อ้นอีกครั้งในหอสมุด ข้าพเจ้าจึงขอไปอยู่ด้วย แล้วบอกให้เพื่อนที่บ้านเช่าให้ทราบถึงเหตุผลในการย้าย เพื่อนๆ พี่ๆ ก็ไม่ว่าอะไร

ปีที่ 2 เทอมหนึ่งข้าพเจ้าก็ย้ายไปอยู่กับ อ้น และเมื่อข้าพเจ้าไปลงทะเบียนเรียนข้าพเจ้ามีความหวาดกลัวอย่างมากๆ ตอนลงทะเบียนเรียนเพราะกลัวว่าทางมหาวิทยาลัยจะไม่ให้สิทธิ์ข้าพเจ้าเรียนต่อ กลัวจนเหงื่อซึมออกฝ่ามือต้องอาศัยการภาวนา พุทธ-โท ตลอดเพื่อให้ตนเองตั้งมั่นอยู่ได้ และตั้งแต่นั้นมาข้าพเจ้าก็ตั้งจิตไว้ว่า เมื่อใดรู้ตัวระลึกได้ข้าพเจ้าจะดูลมหายใจและภาวนา พุทธ-โท ตลอด แม้แต่ขณะเรียนอยู่ แล้ววิบากกรรมที่ข้าพเจ้าได้ ยิงนก เอาไม้แหลมทิ่มแทงหาจุดตายของแมลงวัน และเอาก้านใบมะพร้าวหวดขาแมลงมุมให้ตกลงมา ยามที่พ่อให้ข้าพเจ้าทำความสะอาดใยแมลงมุมในบ้านด้วยความสนุกและโกรธเคืองเริ่มส่งผล ข้าพเจ้าเริ่มปวดข้อมือซ้ายแล้วเนื้อหนัง เริ่มบวมปูดแข็งขึ้นมาเบียดกระดูกหรือเส้นให้เจ็บปวดทรมานอยู่ตลอดเวลา คำว่าทรมานคือปวดจนน้ำตาลไหลฝืนตนเองให้หลับเมื่อหลับไปแล้วตื่นขึ้นมาก็ยังปวดทรมานอยู่เหมือนเดิม ข้อมือจะมีอาการแข็งอยู่สักสองวันหลังจากนั้นก็เริ่มบวมแดงความทรมานเริ่มลดลง ทิ้งไปอีก 3 วันจึงจะหาย ระยะแรก หนึ่งเดือนหรือเดือนกว่าเป็นสักครั้ง แต่ภายหลังเป็นทุกเดือน และถี่ขึ้น

การได้มาอยู่บ้าน อ้น ทำให้ข้าพเจ้าได้กินอิ่ม แต่ข้าพเจ้าเป็นคนที่ขี้เกรงใจคนเพราะอยู่ฟรี ทำให้ข้าพเจ้าทำตัวไม่ถูกปรับตัวไม่ได้ และในช่วงนั้นเมื่อข้าพเจ้าตัดใจจากน้องที่ข้าพเจ้าแอบชอบถึง 7 ปี และมีโอกาสใกล้ชิดในตอนอยู่ปี 1 แต่ข้าพเจ้าคิดไปว่าน้องเขารังเกียจในฐานะข้าพเจ้าข้าพเจ้าจึงต้องตัดใจ เพราะข้าพเจ้าไม่ประสงค์ให้น้องเขาต้องมาทุกข์กับข้าพเจ้าในเมื่อน้องเขาทำใจกับฐานะทางสังคมของข้าพเจ้าไม่ได้ และข้าพเจ้าก็ไม่สามารถรับความทุกข์มากกว่านี้ได้อีกแล้ว แต่เมื่อข้าพเจ้าตัดใจแล้ว แต่ใจนั้นยังแสวงหาสิ่งที่ยึดสิ่งที่แอบชอบเพื่อหลงให้เกิดเป็นกำลังใจของตนเอง จึงไปชอบน้องผู้หญิงอีกคนหนึ่ง แต่คราวนี้ใจมันเริ่มผิดเพี้ยนไปมาก และเมื่อน้องเขารู้ฐานะจริงของข้าพเจ้า ข้าพเจ้าก็คิดว่าน้องเขาคงรังเกียจในฐานะทางสังคมของข้าพเจ้าอีก เมื่อทุกข์ถึงที่สุด ก็ตั้งใจตัดความคิดที่จะไปรักใครด้วยความน้อยใจในฐานะทางสังคมของตนเอง ทิ้งความรักอย่างสิ้นเชิงเป็นเวลาติดต่อไปอย่างยาวนาน

ในเทอมนี้ข้าพเจ้าก็ลงเรียนเต็มตารางเรียนคือ 21 หน่วยเพราะต้องการให้เรียนจบใน 3 ปี ให้ได้ ซึ่งในเทอมนี้ข้าพเจ้าก็ต้องเรียนแลปทดลองฟิสิกส์1 ซึ่งแบ่งกลุ่มทดลอง ในกลุ่มข้าพเจ้ามี 3 คนก็มีผู้หญิงหนึ่งคนหน้าตาก็ดีพอใช้ อยู่ในกลุ่มข้าพเจ้า ชื่อ ชลลดา ทดลองแลปได้สักสองอาทิตย์ ชลลดา ก็บอกว่า “เซียม เก่งจัง” ข้าพเจ้าก็เฉยๆ เพราะคิดว่าเป็นเพื่อน เพราะข้าพเจ้าได้ตัดใจที่จะไปรักไปชอบใครทั้งสิ้นไปแล้ว ภายหลังข้าพเจ้าจึงชวนไปทานข้าว ชลลดาก็ไป ชวนไปห้องสมุดชลลดาก็ไป แล้วชลลดาก็บอกว่า “ตั้งแต่เข้ามาเรียนชลลดาเข้าหอสมุดสักครั้งสองครั้งเองและไม่ชอบเข้าห้องสมุด นี่เพราะเซียมชวนจึงมาด้วย”

ดังนั้นเมื่อเรียนแลปทุกครั้งข้าพเจ้าก็ชวนชลลดาทานข้าว ไปอ่านหนังสือ และเข้าห้องสมุดเป็นประจำและ ชลลดาก็ไปเป็นประจำ แต่ข้าพเจ้าก็ไม่คิดมากไปกว่านั้น ส่วนเวลาเรียนวิชาอื่นไม่ค่อยได้เจอ เพราะข้าพเจ้าลงทะเบียนเรียนล้ำวิชาไปเทอมที่สองแล้ว จนจบภาคเรียนก็แยกย้ายกันไปไม่ค่อยเจอกันอีก นับว่าชลลดา เป็นเพื่อนผู้หญิงที่ดีที่สุดคนแรก แต่ข้าพเจ้าได้ตัดใจทิ้งเรื่องจะมีความรักความใคร่ต่อใคร เพื่อไม่ให้ตนเองต้องทุกข์อีก ในเทอมนี้ข้าพเจ้าเริ่มรู้จักเพื่อนผู้ชายเรียนฟิสิกส์เพิ่มอีกคนชื่อ เจ้าชัยกร (เดียวนี้คงเป็นนาวาเรือเอก หรือผู้การไปแล้ว)

ในช่วงนี้ก็มีสำนักธรรมต่างๆ เข้ามาในมหาวิทยาลัยรามกันมาก เช่นสันติอโศกท่านโพธิรักษ์ ส่วนในชมรมพุทธทางวัดพระธรรมกายก็ยึดครองไปทั้งหมด

แล้วผลการเรียนปีที่ 2 ภาคที่ 1 ออกมา ข้าพเจ้าสอบได้ 14 หน่วย ตกไป 7 หน่วย คือตก 2 วิชากับ 1 แลปริ่ง(แลปทดลองชีวะ 1) ข้าพเจ้าผวาเลยครับ อาจเป็นเพราะช่วงนั้นข้าพเจ้ายังปรับตัวการอ่านธรรมะกับการเรียนยังไม่ลงตัวก็ได้ และยังปรับตัวกับ อ้น และความสับสนเรื่องความรักความใคร่ ยังไม่ได้ ข้าพเจ้าจึงคิดทบทวนว่า ข้าพเจ้าควรจะทำอย่างไรดีไม่เช่นนั้นข้าพเจ้าไม่สามารถจบภายใน 3 ปี ข้าพเจ้าเห็นหนทางเดียวที่จะทำได้คือไปเช่าหออยู่คนเดียวจึงจะทุ่มเวลาเรียนเพื่อทั้งธรรมะและการเรียนได้อย่างดีขึ้น แต่ อ้นเขาอยากให้ข้าพเจ้าพักอยู่กับเขาต่อ เพราะเทอมนั้นเขาเก็บได้ทุกวิชา ข้าพเจ้าจึงบอก อ้นว่าให้ข้าพเจ้าไปเถอะเพราะข้าพเจ้าต้องการเรียนจบภายในเวลา 3 ปี ตอนหลังอ้นก็เข้าใจ เราก็ยังติดต่อเป็นเพื่อนกันอยู่ตลอด ในช่วงที่เรียนอยู่

ข้าพเจ้าจะไปอยู่หอแต่แม่ส่งเงินมา 950 บาทต่อเดือนนั้นย่อมอยู่ไม่ได้แน่ ข้าพเจ้าจึงขอร้องให้แม่ส่งเงินเพิ่มเป็น 1100 บาทต่อเดือน แม่ก็ส่งให้ และแม่ได้บอกให้ข้าพเจ้าทราบว่า แม่ขายของได้ดีจึงส่งให้ได้ ตอนนี้แม่มีเก็บในธนาคารประมาณ 5 แสนแล้ว แต่ของพ่อนั้นหยุดไปตั้งนานแล้ว ข้าพเจ้าจึงย้ายมาเช่าอยู่หอหน้ารามที่อยู่บนน้ำครำ เรียกว่าหอป้าเตือนเป็นห้องคนเดียวค่าเช่าก็ 450 บาทต่อเดือน เหลือ 650 บาท กินใช้ทั้งเดือนก็น่าจะพอไปได้

ข้าพเจ้าจึงขอหม้อหุงข้าวไฟฟ้าใบเล็กที่ทานได้คนเดียวจากพี่สาว พี่ก็ซื้อให้ เป็นอันว่าข้าพเจ้าไม่ต้องห่วงเรื่องอาหารการกินไปเปราะหนึ่งแล้ว คือเช้าขึ้นมาข้าพเจ้าหุงข้าวเพื่อกินได้สองมื้อแล้วเอาไข่ไก่ใส่ไป 1 ฟอง แล้วข้าพเจ้าก็เดินออกไปปากซอย ไปซื้อแกงมา 1 ถุง ราคา 5 บาท กลับมาที่ห้อง ตักข้าวกินกับแกงหนึ่งถุงนั้น แต่ต้องเหลือไว้ส่วนหนึ่งพอประมาณมัดเก็บไว้ใส่ในหมอข้าวและไข่ใบนั้นก็ยังอยู่ อาบน้ำอาบท่าแต่งตัวไปเรียนตามปกติ พอตกตอนเที่ยงก็เดินกลับหอ กินข้าวกับไข่และแกงที่เหลือแล้วออกไปเรียนหรืออ่านหนังสือที่หอสมุดเหมือนเดิม ตกเย็นก็กินข้าวในมหาวิทยาลัย 5 บาท หรือบางวันก็สลับกัน กินข้าวเที่ยงที่มหาวิทยาลัย 5 บาท ตอนเย็นกลับมากินข้าวกับไข่และแกงที่เหลือ จึงไม่มีปัญหาเรื่องอาหารการกิน

แต่การเจ็บปวดที่เล่าไว้ข้างบนนั้นยังเป็นอยู่เป็นระยะทุกเดือน และถี่ขึ้น เพื่อนๆ ในคณะข้าพเจ้าได้รู้จักเพิ่มขึ้นและเขาก็เห็นข้าพเจ้าพันแขนซ้ายอยู่เป็นประจำ จึงล้อข้าพเจ้าว่า “ไอ้หนุ่มพันมือ” แต่ความกลัวต่างๆ ที่ประดังอยู่เป็นอยู่เหมือนเดิม ช่วงไปดูผลสอบของตัวเองนี้ตัวสั่นเลยครับกลัวจะไม่มีรายชื่อตัวเองเพราะทางมหาวิทยาลัยจำหน่ายชื่อออกจากการเป็นนักศึกษา

ช่วงนี้ข้าพเจ้าได้พบเพื่อนวิทยาศาสตร์ใหม่ 2-3 คนคือ จรูญและจรัล จึงสนิทกันเพราะอยู่หอเดียวกัน และเริ่มพอรู้จักหน้าเพื่อนอีกหลายคนทั้งกลุ่มฟิสิกส์ใต้ต้นหูกวาง กลุ่มเมทคอม กลุ่มเคมี แต่ยังไม่ได้สนิทกันดีเท่านั้น

ในเทอมที่ 2 นี้ข้าพเจ้าก็ได้เรียนแลปเคมี ข้าพเจ้าคงเป็นคนที่ดูซื่อๆ หน้าตาก็พอใช้ได้ผลการเรียนก็ดี ผู้หญิงก็ย่อมมาแอบชอบบ้างเป็นธรรมดา แต่เขาเหล่านั้นย่อมไม่ทราบถึงฐานะทางสังคมของข้าพเจ้า และด้วยข้าพเจ้าได้ตัดใจไม่ไปคิดรักชอบใครด้วยน้อยใจในฐานะตนเอง ก็มีน้องหญิงคนหนึ่งอยากรู้จักข้าพเจ้าโดยตอนเรียนแลปเคมี(อีกแล้วตอนเรียนแลป) ก็เข้ามาใกล้ข้าพเจ้าแบบประชิดตัวตอนทำแลป ข้าพเจ้าก็เฉย และเราอยู่คนละกลุ่มกันจึงไม่ได้พูดคุยอะไรกัน ข้าพเจ้าก็สะดุดตาอยู่เหมือนกันแต่ข้าพเจ้าได้ตัดใจไปแล้ว จึงเฉยกับเธอ และน้องหญิงคนนั้นก็มีเพื่อนอยู่ในกลุ่มเคมีมากอยู่แล้ว ข้าพเจ้าจึงไม่คิดอะไร

ในเทอมนี้ข้าพเจ้าจัดสรรทั้งเวลาและการเรียนได้ดีขึ้น แต่ความเจ็บป่วยได้เพิ่มขึ้นอีกอย่างหนึ่งคือปากและลิ้นของข้าพเจ้าเริ่มเป็นแผลอย่างเจ็บปวดเป็นแล้วหายเป็นแล้วหายติดต่อกันไปตลอดทรมานเสียเหลือเกิน วิบากกรรมตกปลาทำให้ปากเขาฉีกและเจ็บตอนวัยเด็กกำลังตามสนองข้าพเจ้า ทั้งที่การเจ็บปวดข้อมือก็ยังทรมานเป็นๆ หายๆ เป็นประจำ

ด้วยความทุกข์การเจ็บปวดและความทุกข์กับความกดดันทางฐานะทางสังคม มันเกาะกินในจิตใจมากขึ้น และได้อ่านศึกษาหนังสือธรรมะมากขึ้นในหอสมุด จนเพื่อนที่รู้จักในคณะเรียกว่า “มหาเซียม” ข้าพเจ้าได้อ่านศึกษาหนังสือธรรมะไปเจอหนังสือ วิมุติมาลี ของท่านเจ้าคุณวิลาส และการสร้างสมบารมีของพระพุทธเจ้า และพระอัครสาวกหรือพระมหาสาวก ที่สร้างสมกันมาอย่างนับชาติไม่ถ้วน และก็ได้อ่านศึกษาเรื่องอภิญญา 5 เรื่องปฏิสัมภิทาญาณ

ข้าพเจ้าจึงได้น้อมนึกถึงตนเองว่า ข้าพเจ้าเองนั้นมีทุกข์มีความกดดันมากเสียเหลือเกิน จนแทบจะทนไม่ได้แล้ว จึงทำให้ตั้งแต่นั้นมาเมื่อข้าพเจ้าไหว้พระสวดมนต์ก่อนนอนข้าพเจ้าก็นึกคำอธิษฐานขึ้นมาว่า “"ไม่ทราบว่าข้าพเจ้าสร้างบารมีอะไรมา ถ้าสร้างบารมีมาเกิน 2 ใน 3 ข้าพเจ้าจะสร้างบารมีต่อ ถ้าน้อยกว่าก็ขอยกเลิก และขอให้ได้เจอกับพระอนาคามีหรือพระอรหันต์ ที่มีอภิญญาช่วยบอกให้ทราบด้วย" ข้าพเจ้าอธิษฐานเป็นประจำอย่างแน่วแน่และมั่นคงตั้งแต่นั้นมาตลอด และข้าพเจ้าก็ไม่ได้คาดคิดว่าข้าพเจ้าจะต้องสร้างเป็นแบบท่านผู้ใด เพราะไม่เคยคิดอาจเอื้อมเพราะฐานะทางสังคมนั้นตนเองต่ำต้อยนัก

ในเทอมนี้ข้าพเจ้าก็ได้เข้าไปในชมรมพุทธ ซึ่งเป็นชมรมทางวัดพระธรรมกาย ซึ่งเพื่อนในชมรมพุทธนั้นพูดจาดีมากครับ จนทำให้ผู้ที่มาจากชนบทแบบข้าพเจ้า คิดว่าตนเองฝืนหรือแสร้งพูดแบบนี้คงไม่ได้ แต่ถ้าสมาคมกับพวกเขาบ่อยๆ ก็จะเป็นแบบเขา จนยินยอมไปวัดพระธรรมกาย ไปไหว้พระสวดมนต์ฟังธรรมะ แต่ธรรมะนั้นมันแปลก จึงไม่สนใจแต่ไม่แตกแยก จึงไปยังที่สงบไปนั่งดูลมหายใจอีกบริเวณหนึ่ง

การได้ไปวัดพระธรรมกายในวันอาทิตย์ เมื่อปี พ.2524 แต่ก็ไป กำหนด พุทธ - โธ เพราะสถานที่ร่มรื่นดีมากครั้งที่ 2 ไปอีกจึงได้รู้ว่า สามารถสนทนาธรรมกับท่านพระเผด็จได้ ครั้งที่ 3 หรือ 4 ข้าพเจ้าจึงเข้าไปสนทนาโดยถามว่า "การกำหนดให้เห็นดวงแก้วนั้นไม่เหมือนกับไตรลักษณ์ คือ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา"

ท่านพระเผด็จจึงตอบว่า "ให้เธอไปถามท่านธัมมชโย "

ข้าพเจ้าจึงเดินไปถามท่านธัมมชโยว่า "ตามที่ผมอ่านหนังสือพระไตรปิฎกมา การกำหนดให้เห็นดวงแก้วนั้นไม่น่าตรงกับหลักไตรลักษณ์ อันได้แก่ ทุกขัง อนิจจัง อนัตตา" ด้วยความสัตย์จริง ข้าพเจ้าถามด้วยความไม่เข้าใจ และไม่รู้จริงๆ ตามที่ข้าพเจ้าศึกษามาด้วยตนเอง ไม่ใช่เพื่อลองภูมิหรือมีอคติเลยแม้แต่นิดเดียว

แล้วข้าพเจ้าได้คำตอบจากท่านพระธัมมชโยว่า "คุณนี้เรียนมากรู้มาก คุณเหมือนปลาอาตมาเหมือนเต่าปลาว่ายน้ำมาถามเต่าว่าบนยอดเขานั้นมีอะไร? เต่าถึงแม้นจะลงน้ำและขึ้นบกได้ แต่จะให้รู้ว่าบนยอดเขามีอะไรต้องขึ้นยอดเขาก่อน เพราะเต่าก็ไม่เคยขึ้น"

ข้าพเจ้าจึงสรุปจากคำตอบของท่านได้ทันทีว่า ทั้งข้าพเจ้าและท่านธัมมชโย ยังแสวงหาธรรมะกันอยู่ แต่ท่านธัมมชโย ท่านอยู่ในรูปแบบตามคติ ของท่านเสียแล้ว หลังจากนั้นมาข้าพเจ้าไม่ไปวัดพระธรรมกายอีก

และในเทอมนี้ข้าพเจ้าก็ได้รู้จักคุณกุ้ง ซึ่งเป็นเพื่อนกับ เมธา เมธาเป็นเพื่อนในคณะวิทยาศาสตร์ และเมธาแนะนำให้มารู้จักกับจรูญและจรัล กุ้งจึงขอพักที่ห้องจรูญ ในช่วงสอบ เพราะคุณกุ้งเขาต้องช่วยทางบ้านทำงานที่ต่างจังหวัดจะได้ขึ้นมาก็ช่วงสอบเท่านั้น และคุณกุ้งนั้นเวลาที่ข้าพเจ้าพูดธรรมะก็สนใจในเรื่องธรรมะ จึงทำให้ข้าพเจ้าสนิทกับคุณกุ้งมากขึ้น

เป็นอันว่าในเทอมที่ 2 ของปีที่ 2 ไม่มีอุปสรรค์ต่างๆ ในการเรียนและการอ่านธรรมะ แล้วในเทอมนั้นข้าพเจ้าก็สามารถสอบผ่านได้ทุกวิชา 21 หน่วย ได้ เกรด P ทั้งหมดทุกวิชา เพราะข้าพเจ้าให้ความสำคัญเท่ากันหมดทุกวิชา และหาได้หวังเกรด G ถึงตอนนี้ก็มีโอกาสเรียนจบใน 3 ปี ชัดเจนขึ้น และข้าพเจ้าก็เก็บได้อีก 6 หน่วยในภาคฤดูร้อน

ช่วงนี้ข้าพเจ้าก็เริ่มได้รู้จักเพื่อนๆ ในขณะวิทยาศาสตร์มากขึ้นทั้งรุ่นพี่และรุ่นน้อง ซึ่งข้าพเจ้าจะอยู่สองกลุ่มคือ กลุ่มฟิสิกส์ใต้ต้นหูกวาง กับกลุ่มเมทคอมมีทั้งผู้หญิงและผู้ชายแต่กลุ่มที่สนิทที่สุดคือกลุ่มเมทคอมรวมแล้วสิบกว่าคน สถานที่พบเจอกันก็ที่ซุ้มของแต่ละกลุ่มและที่หอสมุดชั้นที่ 4 ในส่วนวิทยาศาสตร์ นับว่าชีวิตในรั้วมหาวิทยาลัยก็เริ่มมีชีวิตชีวาเพิ่มขึ้นตามประสาของนักศึกษาอย่างแท้จริงขึ้น มีการจัดกันไปเที่ยวพักแรมต่างจังหวัดเช่น พัทยา-บางแสน มีการบุกมาที่หอเพื่อจัดเลี้ยงหาเรื่องมาคุยกันอย่างสนุกสนาน คนที่ร้องเพลงเก่งก็เล่นกีตาร์ร้องเพลงให้เพื่อนฟัง และเพื่อนข้าพเจ้าทั้งหมดจะปราศจากเหล้าและบุหรี่ แต่ก็มีบ้างน้อยคนที่ดื่มเหล้าเป็น เพราะแค่แชร์ซื้อของทำกับข้าวกินกันแล้วหาเรื่องสนุกๆ คุยกัน คนที่อยากร้องเพลงก็ร้องเพลงให้ฟังก็สนุกสนานเกินพอแล้ว มีการจัดงานวันเกิดร่วมกัน ก็แปลกมีเรื่องสนุกๆ สนานคุยกันไม่จบไม่สิ้น จนเพื่อนร่วมหอเห็นเป็นประจำเข้ามาทักว่า “กลุ่มพวกคุณสนุกครื้นเครงแต่สุภาพเรียบร้อย น่าร่วมกลุ่มด้วย”

เป็นอันว่าช่วงข้าพเจ้าเรียนปีที่ 3 เทอมที่ 1 นี้ข้าพเจ้าเห็นโลกของการเป็นนักศึกษาที่มาอยู่หอ และรวมกลุ่มกันอย่างสนุกสนานปราศจากสิ่งเสพติดแม้กระทั่งเหล้าหรือบุหรี่ เป็นโลกที่บริสุทธิ์ของนักศึกษาคือ “รู้จักเรียน รู้จักเล่น อย่างมีเป้าหมายในการศึกษา” มีกิจกรรมร่วมระหว่างรุ่นพี่รุ่นน้อง มีความใกล้ชิดกับอาจารย์ เพราะนักศึกษาคณะวิทยาศาสตร์ไม่ได้มากมาย ต่างก็เคยเห็นหน้าเห็นตากันในชั่วโมงเรียนบ่อยๆ

แต่ความทุกข์ที่สุมในใจข้าพเจ้ามีอยู่ ข้าพเจ้าได้ซ่อนไว้ไม่แพร่งพรายบอกให้ใครหรือเพื่อนใหม่ทราบเลย ความทุกข์ที่เขาเหล่านั้นเห็นคือการพันแขนด้านซ้ายด้วยผ้าพันแขนเป็นประจำ และปากและลิ้นข้าพเจ้าเป็นแผลเป็นประจำจนพูดจาไม่ชัด แต่คงไม่รู้หรอกว่า ข้าพเจ้าเจ็บปวดทรมานขนาดไหนเมื่อมันอักเสบเป็นประจำ จนข้าพเจ้าชาด้านต่อความเจ็บปวด บางครั้งเจ็บปวดอักเสบทั้งข้อและลิ้น เมื่ออยู่หอคนเดียวข้าพเจ้าต้องคู้ซุกตัวด้วยความทรมานนั้นจนหลับ เมื่อตื่นขึ้นมายังเจ็บปวดทรมานอยู่เหมือนเดิม คือข้อมือเหมือนกระดูกจะเบียดอย่างทรมานกันตลอดเวลาไม่จบสิ้น ลิ้นและปากก็ชาด้านแต่เมื่อขยับลิ้นก็จะเจ็บปวดอย่างทรมาน จนน้ำตาไหลออกมาเอง ข้าพเจ้าจึงตัดสินใจพยายามรักษาศีล 8 ตั้งแต่ขึ้นปี 3 โดยไม่ทานข้าวเย็นตั้งแต่นั้น ยกเว้นบางโอกาสละศีล 8 ทานข้าวเย็นเมื่อพบปะกับเพื่อนๆ แต่การไหว้พระสวดมนต์และอธิษฐานนั้นข้าพเจ้าทำเป็นประจำทุกคืน

มีอยู่คืนหนึ่งข้าพเจ้าได้ฝันว่า ตนเองกำลังเล่นบาสเก็ตบอลกับเพื่อนๆ แล้วเพื่อนโยนลูกบอลให้ข้าพเจ้ารับ ในความฝันนั้นข้าพเจ้ายกมือขึ้นจะรับแต่ด้วยความรู้สึกว่าตนเองเจ็บข้อมือจนต้องหดมือกลับไม่กล้ารับลูกบอล จะเห็นว่าความเจ็บปวดทรมานนั้นเป็นประจำบ่อยจนเก็บลงในจิตใต้สำนึกในความฝันได้

 

ข้าพเจ้าก็เป็นที่รู้จักของเพื่อนๆ และรุ่นพี่ว่าเรียนเก่ง อยู่ปี 2 ลงเรียนของปี 3 ก็ผ่าน ลงเรียนกันเป็นร้อยๆ คน ผ่านแค่ 20-30 คน ก็ยังมีชื่อข้าพเจ้าอยู่ในจำนวนคนที่ผ่าน

แต่ก็ยังมีสิ่งที่ข้าพเจ้าได้พูดผิดพลาดโดยไม่มีเยื่อใยไปอย่างไม่น่าให้อภัยจนถึงเดี๋ยวนี้ข้าพเจ้าก็ยังรู้สึกไม่ดีกับตัวเองเลยในปัจจุบัน ด้วยเหตุเพราะการตัดใจไม่ไปคิดรักหรือชอบใครให้ตนเองต้องทุกข์เพิ่มขึ้นอีกเป็นอันขาด และจากการที่เมื่อต้นปีก่อนน้องผู้หญิงที่เคยเรียนแลปเคมี 2 ต้องการใกล้ชิดกับข้าพเจ้าแต่ข้าพเจ้าวางเฉย เพราะข้าพเจ้าไม่ต้องการให้ความทุกข์ในเรื่องความรักความชอบเกิดขึ้นกับข้าพเจ้าอีก น้องจึงถอยไปและไปรวมอยู่กับกลุ่มเคมี ซึ่งมีซุ้มอยู่ใกล้ๆ กับกลุ่ม ฟิสิกส์

แต่เมื่อขึ้นปีที่ 3 เทอมที่ 1 น้องเขาเรียนไม่ได้ตามเป้าหมายคือยังเก็บหน่วยกิจได้น้อยและกลัวตัวเองจะไม่จบ ด้วยความที่น้องเขานึกชอบข้าพเจ้าแล้วตั้งแต่เรียนอยู่ปี 2 แต่ข้าพเจ้าเป็นคนซื่อบื้อไม่สนใจอะไรเรื่องเหล่านี้ และข้าพเจ้าก็ไม่เคยมีแฟนเป็นตัวเป็นตน ในขณะที่ข้าพเจ้านั่งรอที่จะเรียนตามคาบเรียนอยู่ที่ซุ้มใต้ต้นหูกวาง ซึ่งมีรุ่นพี่ผู้ชายฟิสิกส์คนหนึ่งนั่งอยู่ใกล้ ก็คุยกับรุ่นพี่เล็กน้อย แล้วข้าพเจ้าก็นั่งอยู่เฉยๆ เพื่อรอเรียนในคาบต่อไป

ในขณะนั้นน้องเขาอยู่ซุ้มเคมี ก็ปลีกตัวเดินออกมาคนเดียว ตรงมาหาข้าพเจ้า ข้าพเจ้าก็งงนิดหนึ่ง แล้วน้องก็พูดว่า “ขอคุยกับเซียมได้ไหม

ข้าพเจ้าก็ตอบว่า “ได้สิ.”

แล้วน้องเขาพูดตรงๆ ว่า(ขอตัดซื่อออกนะครับ) “...อยากเป็นเพื่อนกับเซียม เซียมเป็นคนเรียนเก่ง ถ้าได้ไปเรียนด้วยกัน ไปทานข้าว เข้าห้องสมุดอ่านหนังสือด้วยกัน อาจทำให้ ... ขยันขึ้นเรียนดีขึ้นและสามารถเรียนจบได้”

ด้วยความอ่อนต่อโลกในด้านนี้ของข้าพเจ้าและตลอดเวลาที่ข้าพเจ้าเห็นน้องเขา 1 ปี ซึ่งอยู่ซุ้มเคมีด้านข้างๆ น้องเขาเป็นคนสนุกสนานมีเพื่อนมากคุยกันอย่างสนุก ไปไหนก็ไปเป็นกลุ่ม ข้าพเจ้าก็คิดว่าน้องเขามีเพื่อนมากอยู่แล้วครื้นเครงสามัคคีกันดี ข้าพเจ้าเป็นคนไม่สนุกครื้นเครงซื่อๆ เฉยๆ มีแต่เพื่อนในกลุ่มเมทคอมที่ทำให้สนุก และความสนุกนั้นไม่ได้เริ่มจากตัวข้าพเจ้า ซ้ำตามแปลนที่ข้าพเจ้าวางไว้ก็สามารถจบได้แล้วในปีที่ 3 นี้ จึงไม่มีเวลาเป็นเพื่อนกับน้องได้นาน

ข้าพเจ้าก็ตอบว่า “ก็ .... มีเพื่อนมากอยู่แล้วนี่ครับ ผมคงเป็นเพื่อนกับ .... ไม่ได้” ข้าพเจ้าใช้คำผิดไปควรใช้คำว่า “ได้ไม่ดี” แต่ด้วยเป็นคนซื่อๆ ตรงๆ จึงพูดแบบไม่คิด

หน้าของน้องคนนั้นเศร้าแบบผิดหวังลงไป ใจข้าพเจ้าวูบเลย แต่รุ่นพี่นี้แหละตัวดีที่นั่งอยู่ข้างๆ ได้พูดแซวน้องทันทีและแรงด้วยว่า “แหวๆ หน้าไม่อาย มาขอเขาคบเป็นเพื่อน แต่เขาไม่เล่นด้วย”

น้องหญิงคนนั้นจากหน้าเศร้าๆ แบบผิดหวัง พลิกกลายเป็นความโกรธขึ้นมาทันที พูดจาด่ารุ่นพี่ฟิสิกส์คนนั้นจนหน้าจ๋อยหน้าเสียไปทีเดียว ทำให้ข้าพเจ้านี้ตั้งตัวตั้งใจไม่ทันเลยครับ แต่ก็รู้ว่าน้องเขาคงเก็บความโกรธนั้นไว้ในใจลงที่ข้าพเจ้าแบบพลอยฟ้าพลอยฝนไปด้วย เพราะการยุ่งไม่ได้เรื่องของพี่คนนั้น แล้วน้องก็เดินกลับไปด้วยความโกรธ

ภายหลังจากที่ข้าพเจ้าเรียนจบไปแล้วประมาณ 2-3 ปี ข้าพเจ้าเข้าไปทำธุระในมหาวิทยาลัยรามคำแหงกำลังเดินอยู่ ก็เห็นน้องเดินผ่านมาแบบสวนทางกัน ข้าพเจ้าก็จะเข้าไปถามน้องทักทายน้อง หน้าน้องบึ้งไม่ตอบไม่พูดแล้วเดินผ่านไป รุ่นพี่ตัวดีทำเจ็บจริงๆ

 

เป็นอันว่าเรียนปี 3 เทอม 1 ข้าพเจ้าก็มีชีวิตสมกับการเป็นนักศึกษา แต่ผลสอบออกมาข้าพเจ้าพลาดตกไป 1 วิชา ลงไปเต็มที่ 19 หน่วยได้ 17 หน่วย ทำให้ในเทอมที่ 2 ข้าพเจ้าขอจบไม่ได้ ก็เพราะเหตุวิชาทดลองแลปริ่งชีวะ1 นี้แหละ ข้าพเจ้านี้ไม่ถูกโรคกับการสอบวิธีนี้เลย ที่ให้เวลาดูกล้องจุลทรรศน์ ใน 1 นาทีแล้วต้องตอบแล้วมีเสียงกริ่งของกระดิ่งดังให้เลื่อนไปดูข้อต่อไป ตามลำดับ ข้าพเจ้าลงมาสามครั้งแล้วยังไม่ผ่านเพิ่งจะมาผ่านในเทอมนี้ ทำให้เทอม 1 นี้ข้าพเจ้าไม่สามารถลงได้เต็มที่ 21 หน่วย มีผลทำให้เมื่อตกไปหนึ่งวิชารู้สึกว่าจะเป็นวิชา แคลคูลัสชั้นสูง จึงทำให้ไม่สามารถขอจบในเทอมที่ 2 ของปี 3 ได้ เพราะเทอมขอจบสามารถลงได้ถึง 30 หน่วย

เมื่อเรียนเทอมที่สองข้าพเจ้าต้องระวังตัวเพิ่มขึ้น แต่ก็ยังสนุกอยู่กับเพื่อนๆ ได้เหมือนเดิมเพราะทุกคนต่างก็เป็นเด็กเรียนกันทั้งหมด ความเจ็บปวดทรมานก็เหมือนเพิ่มขึ้นอย่างช้าๆ การอ่านหนังสือก็ละเอียดเพิ่มขึ้นก่อนสอบ แล้วในวันหนึ่งเมื่ออ่านหนังสือบนเตียงที่หอ เกิดง่วงนอนจึงนอนหงายบนเตียงแล้วเผลอหลับงีบไป มารู้สึกเสมือนกับว่าตนเองนอนลืมตาอยู่ มองไปบนท้องฟ้า เห็นดวงอาทิตย์ สามารถมองดูดวงอาทิตย์ได้ แต่ดวงอาทิตย์นั้นกลับเลื่อนลงมาใกล้ข้าพเจ้าเรื่อยๆ จนเห็นดวงอาทิตย์นั้นขยายใหญ่ขึ้นแสงสว่างจ้าขึ้น จนดวงอาทิตย์ใกล้ชิดหน้าข้าพเจ้า แสงสว่างจ้ามากจนข้าพเจ้าแสบตาสุดๆ จนข้าพเจ้าโพล่งลืมตาขึ้นออกจากนิมิตนั้น ก็ยังรู้สึกว่าตาข้าพเจ้าก็ยังแสบด้วยแสงสว่างจ้านั้น

หลังจากนั้นข้าพเจ้าก็ไปเรียนตามปกติ อ้อ..ลืมบอกวันไหนที่ไม่มีกิจกรรมในการเรียนเช่นเสาร์หรืออาทิตย์ ข้าพเจ้าจะขลุกอ่านหนังสือที่หอสมุด ตั้งแต่ 8.00 จนถึง 16.00 จนหอสมุดปิด ตอนเที่ยงพักทานข้าวหน่อยหนึ่งทำเช่นนี้เป็นประจำ

ดังนั้นถ้าเพื่อนๆ จะตามหาข้าพเจ้าก็ตามไปที่ห้องสมุดชั้น 4 ก็จะเจอข้าพเจ้าทุกครั้ง ตอนนั้นหอสมุดเริ่มจะมีระบบที่ตั้งกันเองที่เรียกว่า “ใครลุกเสียม้า” เพราะเก้าอี้นั่งไม่พอกับนักศึกษา ใครลุกไปทำธุระหรือไปเก็บหรือหยิบหนังสืออ่านโดยไม่จองไว้ กลับมาก็เสียเก้าอี้ไปแล้ว

เมื่อถึงวันสอบเทอมที่สองของชั้นปีที่ 3 ข้าพเจ้าก็ไปสอบตามปกติ ก่อนสอบเสร็จ คุณกุ้งได้มาชวนข้าพเจ้าไปทำกรรมฐาน ที่คณะ5 วัดมหาธาตุท่าพระจันทร์ โดยบอกว่ามีเพื่อนที่หอเขาไปเข้ากรรมฐานมาแล้ว แต่ข้าพเจ้ายังลังเลไม่ตอบตกลง

วันต่อมาคุณกุ้งมาชวนอีก และบอกว่า อยู่ฟรี กินฟรี ให้ทำกรรมฐานอย่างเดียว ข้าพเจ้าสนใจทันที เพราะข้าพเจ้าจนเอามากๆ ได้กินฟรีอยู่ฟรีก็ถือว่าเป็นบุญแล้ว จึงตอบตกลง ก็นัดกันว่าเมื่อสอบเสร็จก็จะเดินทางไปในวันนั้น

หอป้าเตือนนั้นเป็นหอไม้สองชั้นแบ่งเป็นสองฟากเป็นรูปตัว U ตรงปลายตัว U บนชั้นสองจะเป็นที่ว่างให้นักศึกษามานั่งพักหรือตากผ้าได้ ทั้งสองฟากจึงเห็นกันอย่างชัดเจน สร้างอยู่บนน้ำครำห่างจากริมคลองแสนแสบฝั่งตรงข้ามกับมหาวิทยาลัย เช้าวันหนึ่งข้าพเจ้าตื่นสายเพราะอ่านหนังสือเตรียมสอบดึกไปหน่อย และห้องของข้าพเจ้าอยู่บนชั้นสองติดกับปลายตัว U ด้านขวามือ เมื่อข้าพเจ้าลุกขึ้นก็ออกจากห้องเพื่อตรงไปนั่งที่ระเบียงด้านนอก ข้าพเจ้าเห็นคุณกุ้งนั่งอ่านหนังสือเตรียมสอบอีกฝั่งหนึ่ง แล้วเป็นที่แปลกใจมากเมื่อเห็นคุณกุ้งมีรัศมีสว่างกระจายขาวใส่ออกมา ข้าพเจ้าก็คิดว่าข้าพเจ้าจะทำให้เกิดแสงสว่างนั้นจากตัวข้าพเจ้าบ้าง ข้าพเจ้านั่งที่ระเบียงตรงกันข้าม แล้วข้าพเจ้าน้อมจิตมาที่ร่างกายพิจารณาความเป็นไตรลักษณ์ สักพักหนึ่งคุณกุ้งมองมาที่ข้าพเจ้า จ้องนิ่งอยู่แล้วรีบลงมาหาข้าพเจ้าอีกฝั่งหนึ่ง แล้วพูดอย่างแปลกใจว่า “เซียม ผมเห็นรัศมีออกจากตัวเซียม แล้วก็จ้าขึ้นขยายไกลขึ้นๆ”

ข้าพเจ้าก็ถามว่าเห็นจริงหรือ? กุ้งตอบว่าเห็นจริง ข้าพเจ้าจึงบอกว่าข้าพเจ้าก็เห็นรัศมีออกจากร่างกายกุ้ง เลยกำหนดจิตพิจารณาไตรลักษณ์เพื่อให้รัศมีเกิดขึ้นด้วย

 

เมื่อสอบเสร็จข้าพเจ้ากับคุณกุ้ง ออกเดินทางจากหอพักหน้ารามคำแหงเวลาประมาณ 6 โมงเย็น ด้วยรถเมล์สาย 60 ไปถึงคณะ 5 วัดมหาธาตุท่าพระจันทร์ เกือบ 2 ทุ่ม

ข้าพเจ้าและกุ้งได้แจ้งให้กับพระภิกษุที่โต๊ะประชาสัมพันธ์ และรับบริจาคให้ท่านทราบว่า มีความประสงค์ ที่จะมาทำกรรมฐานและอยู่ประจำ พระท่านเห็นสภาพการแต่งตัวเหมือนเด็กจนๆ และมาเวลานี้ ท่านจึงบอกว่า ห้องพักเต็ม ข้าพเจ้ากับกุ้งจึงยืนทำอะไรไม่ถูกอยู่ที่หน้าโต๊ะประชาสัมพันธ์

พอดีมีแม่ชีคนหนึ่งคงเห็นท่าทาง ของข้าพเจ้าและกุ้งต้องการมาทำกรรมฐานจึงเข้ามาถามว่า "ลูกจะมาทำกรรมฐานหรือ?"

กุ้งตอบว่า "ใช่ครับ" ซึ่งตอนนี้แม่ชีรู้แล้วว่าพระที่โต๊ะประชาสัมพันธ์ไม่ต้อนรับ จึงกล่าวต่อไปว่า "ลูกอยู่รอก่อน 2 ทุ่มหรือ 2 ทุ่มกว่า พระอาจารย์จะเข้ามา"

กุ้งใจชื้นขึ้นแต่ข้าพเจ้ายังรู้สึกเฉยและคิดว่า ที่นี้คนมากจังวุ่นว่ายไม่เหมาะกับการ ทำกรรมฐาน แต่เมื่อมาแล้วลองดูเพราะไม่มีที่อื่นที่เหมาะกับสถานะตนเองในช่วงนั้น ขณะที่รออยู่ประมาณ 10 กว่านาที ท่านพระอาจารย์ก็เข้ามา แม่ชีคนเดิมจึงเข้ามาบอกกับพระอาจารย์ว่า ข้าพเจ้ากับเพื่อนประสงค์มาทำ กรรมฐานและอยู่ประจำ พระอาจารย์ก็หันมามองดู แล้วพิจารณาข้าพเจ้ากับเพื่อนเพียงแว่บเดียวก็กล่าวว่า "มีที่พักว่างเยอะให้ขึ้นไปพักที่ห้องหัวกะโหลก"

ข้าพเจ้ากับกุ้งจึงขึ้นไปพักที่ ห้องหัวกะโหลก ซึ่งเป็นห้องโล่งจุได้ประมาณ 10 กว่าคน แต่มีคนพักอยู่ก่อน 2 คน จึงจองที่พักได้สบาย เพราะไม่มีฝากั้นและอยู่ตามสถานะ

เวลาการทำกรรมฐานเริ่ม 8.00-10.00, 13.00-16.00, 18.00-20.00. ทุกวัน รวมเวลาวันละ 7.ม แม่ชีที่มาบอกข้าพเจ้าและเพื่อนให้รอพระอาจารย์ก่อนทราบชื่อภายหลัง ว่าแม่ชีประไพ และพระอาจารย์ชื่อว่า พระปลัดพนม และเจ้าคณะ 5 ชื่อว่า พระเทพสิทธิมุนี เป็น ฉายาสมัยนั้น (ฉายาหลังสุด พระปลัดพนม เป็นพระปลัดธีรวัต พระเทพสิทธิมุนี เป็นพระธรรมธีรราชมหามุนี ถ้าจำไม่ผิด) ส่วนห้องที่พักชื่อว่าห้องหัวกะโหลก เพราะมีกะโหลกผีอันหนึ่งตั้งปนอยู่บนโต๊ะหมู่บูชา กะโหลกอันนี้คือ กะโหลกของชายมีอายุคนหนึ่ง ที่มาเข้า กรรมฐาน แต่เป็นโรคเกี่ยวกับกระดูกเสื่อม นั่งกรรมฐานกำหนด เจ็บหนอ ไม่ยอมลุกขึ้นด้วยใจเด็ดเดี่ยวจนตาย จึงเอากะโหลกมาตั้งไว้เพื่อเป็นแบบอย่าง

และต่อไปนี้ข้าพเจ้าจะใช้คำว่า พระอาจารย์ แทนชื่อพระปลัดพนม และใช้คำว่า หลวงพ่อ แทนชื่อ พระเทพสิทธิมุนีเพื่อให้สะดวกในการเล่า ในเช้าวันรุ่งขึ้น 7.00 รับประทานข้าวต้ม 8.00 น เริ่มทำกรรมฐานโดยมีแม่ชีประไพเป็นผู้สอน แนะนำในการกำหนดภาวนา และการเดินจงกรมระยะต่างๆ การภาวนาเน้นการภาวนา ยุบหนอ-พองหนอ ของท้อง และการเดินจงกรมระยะ 1 ถึง 6 เป็นหลัก นับว่าเป็นการ เริ่มทำกรรมฐานที่เป็นระบบครั้งแรกในชีวิต

การเดินจงกรมนั้นไม่มีปัญหาสำหรับข้าพเจ้า ที่มีปัญหาคือการภาวนาดูท้อง พองหนอ-ยุบหนอ ซึ่งข้าพเจ้าทำไม่ได้เอาเสียเลย เพราะจะมีสติมาจับที่จมูกดูลมเข้า-ออกอย่างเดียว เพราะฝึกดูลมมานานแล้ว จึงพยายามเลี่ยงกำหนดเป็น นั่งหนอ-ถูกหนอ คือนั่งหนอให้รู้ตัวว่านั่ง ถูกหนอให้รู้ส่วนที่กระทบกับพื้น แต่สติก็ยังไปจับที่จมูก แล้วดูลมหายใจพยายามทำอย่างนี้ อยู่ 3 วัน หลังจากนั้นเวลานั่งกำหนดกรรมฐานจะรู้สึก คล้ายกับกระดูกสันหลังเคลื่อนคล้ายกับจะโยกตัวเล็กๆ น้อยๆ แต่ไม่โยก เป็นห่างๆ ก่อนแล้วค่อยถี่ขึ้น

ข้าพเจ้าได้ ฟังหลวงพ่อสอบอารมณ์เวลา 20.00 -21.00 น ว่าให้จับได้ว่าผงกตอนไหน และเรื่องรูปนามบ่อยๆ จึงเกิดความอยากทำให้ได้(ความคิดนี้ผิดเสียแล้วเพราะพยายามที่จะจับให้ได้) และก็ยังคิดไปว่าทำอย่างนี้กิเลสจะละตรงไหน? แต่ก็ยก ความคิดนี้ทิ้งไปทำกรรมฐานต่อจนครบ 8 วัน

เพราะห่วงการเรียนเพื่อดูผลสอบ จึงต้องออกจากกรรมฐานก่อน ส่วนคุณกุ้งเขาอยู่ปฏิบัติต่อ เมื่อออกมาดูผลสอบเป็นอันว่าข้าพเจ้าสอบผ่านทุกวิชา เป็นอันว่าภาคฤดูร้อนข้าพเจ้าขอจบได้ ซึ่งเหลือ อยู่ 3 วิชาเป็นวิชาเลือกง่าย ข้าพเจ้าสามารถทำเกรด G ได้ทั้ง 3 วิชา แต่ใจของข้าพเจ้าติดอยู่ที่การปฏิบัติธรรมเสียแล้ว และปฏิบัติเองทุกวันที่หอ ให้เวลาเรียนอ่านน้อยลง แต่ไม่น่าหนักใจคือจบแน่นอนเพราะเป็นวิชาเลือกง่ายๆ ที่ชั้นปี 1 เขาเรียนกัน

และในช่วงภาคฤดูร้อนนี้เองที่เกิดแผ่นดินไหว ที่รู้สึก ได้ชัดเจนในกรุงเทพมหานครเมื่อต้นปี พ.ศ. 2526 หลังจากสอบภาคฤดูร้อนเสร็จสิ้นข้าพเจ้าก็เข้าทำกรรมฐานต่อ ความต้องการ ที่จะเรียนต่อปริญญาโทที่ตั้งใจไว้เป็นอันว่าต้องพับไว้ หันมารักษาจิตใจเป็นหลัก ซึ่งกุ้งก็ยังทำ กรรมฐานอยู่ ที่วัดมหาธาตุคณะ 5 ท่าพระจันทร์