เมื่อเกิดมีพระอินทร์หรือองค์อมรินทร์จริงถึงสามองค์

เป็นเรื่องชวนสับสน ไม่ใช่สับสนธรรมดาตามประชาชาวโลก เพราะที่เล่านั้นเกินจากมิติของโลกมนุษย์ที่ชวนให้สับสนอยู่แล้ว แต่เกิดการสับสนซ้อนเข้าไปอีก จนข้าพเจ้าแทบตัดสินใจยุติเรื่องเหล่านี้ไปเลยทีเดียว ด้วยคิดว่า อุปาทานปรุงแต่งผิดเพี้ยนไปเองก็ได้

ข้าพเจ้าขอทำความเข้าใจเสียก่อนว่า ในการสื่อสัมผัสทางจิตกับโอปปาติกะ นั้นไม่ใช่ว่า โอปปาติกะผู้นั้นจะต้องเคลื่อนย้ายรูปกายมายังที่เราอยู่ คือยังอยู่ในที่เดิมของเขา ส่วนโอปปาติกะที่เป็นเทพนั้นก็จะมีบางท่านที่มีทิพย์ที่สามารถเห็นเราได้แม้ว่าจะอยู่ไกล แต่บางท่านก็ไม่เห็นแต่สนทนากันได้ ส่วนเรานั้นไม่สามารถเห็นโอปปาติกะเหล่านั้นได้เลย แต่แยกแยะได้เมื่อวางใจให้เป็นกลางก็จะรู้ได้ด้วยการสนทนาถึงความแตกต่างกันของแต่ละโอปปาติกะนั้น แต่เสียงก็เป็นเสียงของผู้สื่อสัมผัสเหมือนเดิม ก็ทำให้แยกแยะได้ยากขึ้นอีกสักหน่อย

แต่แม้แต่คนเราธรรมดาสัก 10 คน มีลักษณะการคุย เนื้อหาในการคุย ทั้งความรู้ ปัญญา ไหวพริบในการคุย ของแต่ละคนก็แตกต่างกัน ที่สามารถพอแยกแยะได้

และแม้แต่บทความของแต่ละคนที่เขียนโดยอิสระที่สื่อออกมาเป็นตัวหนังสือ ก็ยังพอแยกแยะได้ว่าเป็นคนละคนกันที่เขียนบทความ(ถ้าไม่มีเจตนาเลียนแบบ)

และด้วยข้าพเจ้ากับแฟน ก็ไม่มีเหตุอันใดที่แฟนต้องมาหลอกลวงข้าพเจ้า และเขาก็ไม่มีจิตที่จะหลอกลวงข้าพเจ้า ด้วยเขาก็ไม่จำเป็นต้องพึ่งต้องง้อข้าพเจ้า ด้วยเขาก็มีงานมั่นคงทำมีเงินเดือนเป็นของตนเอง

 

จึงเหลือเพียง 2 กรณีเท่านั้นคือ 1.สื่อสัมผัสได้จริง กับ 2. ปรุงแต่งอุปาทานไปเอง

เพราะไม่มีเรื่องลาภผลประโยชน์ทางลาภที่ต้องหลอกลวงกันเข้ามาเกี่ยวข้องเลยสักนิดเดียว

 

เริ่มเรื่องของความสับสน

เริ่มเมื่อปีปลายปี 2547 สามปีมาแล้ว พระอินทร์ได้มาสื่อสัมผัสทางใจ แล้วมาทดลองใจ และเหตุการณ์ก็จบไปด้วยดี โดยพระอินทร์บอกให้ทราบว่า ท่านเป็นพระอินทร์องค์ใหม่ มาครองตำแหน่งเมื่อประมาณ 200 ปีของโลกมนุษย์เรา พระอินทร์องค์เก่าได้เปลี่ยนภพภูมิที่มีคุณธรรมสูง กว่าไปแล้ว

และข้าพเจ้าก็เชื่ออย่างนั้นมาตลอด และเชื่อว่าพระอินทร์มีเพียงองค์เดียว

 

และอีก 3 ปีต่อมา เมื่อ 30 ก.ค. 50 ก็ได้มีโอปปาติกะที่มาสื่อสัมผัส อ้างว่าเป็น องค์อมรินทร์ แต่เมื่อถามว่าท่านเป็นเทวดาอยู่สวรรค์ชั้นไหน ท่านก็บอกว่า อยู่ชั้น จาตุม

ข้าพเจ้าก็ งง อยู่เหมือนกัน แต่ก็จำได้ว่าในพระไตรปิฎกก็มีกล่าวว่า มีบุตรของท้าวโลกบาลทั้ง 4 ที่ปกครองอยู่ชั้นจาตุมหาราชิกา มีชื่อว่า อินทร์ เป็นเทวดาชั้นผู้ใหญ่ของชั้นจาตุม ดังนั้นท่านใช้ชื่อว่า องค์อมรินทร์ ก็พอเป็นไปได้

 

แต่เมื่ออีก 3 เดือนต่อมา ประมาณวันที่ 5 ตุลาคม 50 นี้ แฟนข้าพเจ้าต้องการหาบ้านใหม่เพื่อหนีเสียงเครื่องบิน จึงทำให้เกิดมีการสื่อสัมผัสขึ้นมา ดังเรื่องที่พิมพ์ไว้ต่อไปนี้

เมื่อประมาณอาทิตย์แรกของเดือนตุลาคม 2550 นี้ ภรรยาข้าพเจ้าเกิดอยากสื่อสัมผัสกับเทวดาโดยไม่ได้เจาะจงเพียงเพื่อประสงค์จะสนทนาเรื่องหาบ้านใหม่ หนีเสียงเครื่องบิน เมื่อทำการสื่อสัมผัส ข้าพเจ้าก็ถามว่า “ท่านเป็นใคร”

แล้วเทพองค์นั้นตอบว่า “เราเป็นองค์อมรินทร์”

ข้าพเจ้าก็งงนิดหนึ่งจึงถามว่า “ท่านเป็นองค์อมรินทร์ ที่ปกครองเทวดาชั้นดาวดึงส์”

เทพองค์นั้นตอบว่า “ใช่ เราปกครองอยู่ชั้นดาวดึงส์”

ข้าพเจ้าชักแปลกใจจึงถามว่า “ท่านเป็นองค์อมรินทร์ที่ปรารถนาเป็นอัครสาวกเบื้องซ้ายใช่หรือไม่”

อมรินทร์องค์นั้นตอบ “เราไม่ได้เป็นองค์เดียวกัน และเราก็ไม่ทราบ เพียงแต่เรามีจิตที่จะบอกว่า ท่านไม่ต้องรีบร้อนเรื่องบ้าน ด้วยเมื่อท่านทั้งสองยังดำรงตนอยู่ในศีลในธรรมอย่างนี้ ท่านจะไม่ตกต่ำกว่านี้แล้ว เรื่องที่อยู่ใหม่ท่านก็จะได้เองเมื่อถึงเวลาเหมาะสม”

แต่ใจของข้าพเจ้าสับสนและงงในเรื่ององค์อมรินทร์ผู้เป็นใหญ่ปกครองชั้นดาวดึงส์นั้นมีเพียงองค์เดียวเท่านั้น แต่ตอนนี้กลับเกิดมีสององค์แล้ว ข้าพเจ้าจึงถามว่า “ท่านได้เป็นองค์อมรินทร์ กี่ปีมาแล้ว”

องค์อมรินทร์ก็ตอบว่า “ท่านหมายถึงปีของเทพหรือของมนุษย์”

ข้าพเจ้าจึงบอกว่า “ปีที่เทียบกับโลกมนุษย์”

องค์อมรินทร์ก็ตอบว่า “ก็หลายร้อยปีมาแล้ว”

ข้าพเจ้าถึงตอนนี้ทั้งสับสนทั้งขัดเคืองขึ้นแล้วพูดว่า “แล้วทำไม องค์อมรินทร์ จึงมีหลายองค์จัง แต่ในพระไตรปิฎกได้เขียนและกล่าวอย่างชัดเจนว่า มีเพียงองค์เดียวเท่านั้นที่ปกครองชั้นดาวดึงส์ ซึ่งมันเป็นข้อมูลที่ขัดแย้งกับพระไตรปิฎกมาก”

องค์อมรินทร์นั้นก็กล่าวว่า “เราก็ไม่ทราบว่าในพระไตรปิฎกกล่าวไว้อย่างไร แต่เราทราบว่าเหล่าเทวดาทั้งหลายในส่วนของเรา ต่างยกและแต่งตั้งเราเป็นองค์อมรินทร์ปกครอง”

ด้วยความที่ข้อมูลผิดเพี้ยนข้าพเจ้าก็เกิดการขัดใจ จึงกล่าวว่า “อย่างนั้น เทวดาองค์ไหนก็อยากตั้งตนเองเป็นองค์อมรินทร์ก็ได้”

องค์อมรินทร์นั้นก็กล่าวว่า “เราไม่ได้แต่งตั้งตนเอง แต่บุญที่ทำไว้ได้ส่งผลแล้วเหล่าเทพทั้งหลายในอาณาบริเวณแต่งตั้งให้เป็นองค์อมรินทร์”

หลังจากนั้นข้าพเจ้าถามถึงบุญที่ส่งให้ท่านเป็นอมรินทร์ ว่าเกิดจากอะไร องค์อมรินทร์ก็บอกข้าพเจ้าว่า บุญที่ท่านได้อุปัฏฐาก พระภิกษุรูปหนึ่งที่เห็นว่ามี จริยาวัตรดีและเป็นพระอริยะอย่างเต็มกำลังด้วยจิตที่เต็มไปด้วยศรัทธาและกระทำโดยตลอด

แต่ด้วยข้าพเจ้ายังขัดเคืองเรื่องข้อมูลที่มีองค์อมรินทร์สององค์ครองชั้นดาวดึงส์ไม่รู้องค์ไหนจริงองค์ไหนเท็จจึงพูดไปว่า “เรื่ององค์อมรินทร์มีหลายองค์ที่ปกครองชั้นดาวดึงส์ ผมยอมรับไม่ได้ ทำไมต้องมาหลอกอ้างกันหลายท่าน ซึ่งไม่ตรงกับพระไตรปิฎก ผมก็คงเลิกสนทนา”

หลังจากนั้นก็ยุติการสนทนา และไม่อยากสื่อสัมผัสอีกเพราะเห็นว่า ข้อมูลมันชักจะเพี้ยนๆ ไปใหญ่แล้ว และกลายเป็นว่าที่ผ่านมาของการสื่อสัมผัสเป็นเรื่องที่เชื่อไม่ได้ และสับสนข้อมูลตีกันมั่ว จะเชื่ออะไรได้

เวลาผ่านมาอาทิตย์กว่าในคืนวันอาทิตย์ที่ 14 ต.ค. 50 ด้วยความใจตรงกันของข้าพเจ้าและภรรยาเพราะมันอย่างไร? อย่างไรอยู่นะ ข้าพเจ้าจึงบอกภรรยาว่า “ลองสื่อสัมผัสเทวดาสนทนาดูซิ” ภรรยาก็บอกว่าลองดู โดยไม่ได้เจาะจงแต่ขอเป็นเทวดาชั้นดาวดึงส์

แล้วมีเทวดาองค์หนึ่งมาสื่อสัมผัส ข้าพเจ้าก็ถามว่า “ท่านชื่ออะไร”

เทวดานั้นบอกว่า “ไม่ต้องทราบชื่อเราหรอก เพราะไม่เป็นสาระสำคัญ”

ข้าพเจ้าจึงถามว่า “ท่านเป็นเทวดาอยู่กันหลายท่านหรือ

เทวดาบอกว่า “เราอยู่ กันหลายท่าน”

ข้าพเจ้าถามต่อ “อย่างนั้นท่านเป็นเจ้าของวิมานใช่ไหม

เทวดาตอบว่า “เราไม่ใช่เจ้าของวิมาน เราเป็นบริวารอยู่กับพระแม่เจ้า”

ข้าพเจ้าจึงถามว่า “อย่างนั้นท่านเป็นบริวารของคู่ครองบารมีของพระโพธิสัตว์ที่จะเป็นพระศรีอริยเมตไตรยสิ (เพราะข้าพเจ้าคิดว่า พระแม่เจ้า ต้องเป็นคู่ครองบารมี)

เทวดาตอบว่า “ไม่ใช่ ท่านพูดจนเรานี้ปีติเลย พระแม่เจ้าของเราเป็นเทวดาอยู่บนชั้นดาวดึงส์นี้เอง”

ข้าพเจ้าจึงถามว่า “แล้วเหล่าเทวดาที่เป็นบริวารพระแม่เจ้ามีจำนวนเท่าไร

เทวดาตอบว่า “เราไม่อยากบอกท่าน เดี๋ยวท่านไม่เชื่อ”

ข้าพเจ้าเลยคะยั้นคะยอ ว่า “บอกเถอะ ผมอยากทราบเพื่อเป็นข้อมูล”

เทวดาก็บอกว่า “มีเป็นโกฏิท่าน”

ข้าพเจ้าได้ฟังข้าพเจ้าก็เฉยๆ เพราะแค่ 10ล้านท่าน นั้นในหนังสือก็กล่าวไว้หลายเล่มที่มากกว่านั้น จึงไม่รู้สึกว่าจะไม่เชื่อ

แล้วข้าพเจ้าได้ถามเทวดาต่อไปว่า “อย่างนั้นพระแม่เจ้าของท่านเป็นมเหสีขององค์อมรินทร์ท่านหนึ่งสิ

เทวดาตอบว่า “ไม่ใช่ พระแม่เจ้าไม่ได้เป็นมเหสีของพระอินทร์”

ข้าพเจ้าจึงถามว่า “แล้วท่านเกิดเป็นเทวดานานแค่ไหนแล้ว

เทวดาตอบว่า “เราเกิดเป็นเทวดามาพันกว่าปีแล้ว”

ข้าพเจ้าจึงถามว่า “อย่างนั้นท่านก็รู้จักพระอินทร์สิ

เทวดาตอบว่า “ไม่เคยเห็นตัวจริงของพระอินทร์ แต่รู้จักว่าท่านเป็นผู้ที่รักษาศีลและธรรมอยู่เป็นประจำ”

ข้าพเจ้าจึงถามด้วยความสงสัยว่า “แล้วตลอดพันกว่าปีที่ท่านเกิดเป็นเทวดา พระอินทร์ก็เป็นพระอินทร์องค์เดียวตลอดหรือ

เทวดาตอบว่า “เป็นองค์เดียวมาตลอด”

ข้าพเจ้าจึงถามว่า อย่างนั้น “พระอินทร์องค์นี้ก็เป็นพระโสดาบันที่ได้พบกับพระพุทธเจ้าใช่หรือไม่ครับ

เทวดาตอบว่า “เราไม่ทราบในรายละเอียด เราเพียงแต่รู้ว่าเมื่อเราเกิดมาเป็นเทวดาพันกว่าปีแล้ว ก็มีพระอินทร์องค์นี้ปกครองโดยตลอด และท่านก็มีภารกิจมาก ได้ข่าวว่าท่านเป็นผู้อยู่ในศีลธรรม และเราก็ไม่เคยได้เห็นท่านเลย”

เมื่อเทวดาตอบอย่างนี้ความแปลกประหลาดใจของข้าพเจ้าก็เพิ่มขึ้นและไม่มีเรื่องอะไร ที่จะสนทนาต่อกับเทวดาองค์นี้ จึงขอบคุณท่านที่ได้มาสนทนาและให้ข้อมูล

 

เมื่อยุติการสื่อสัมผัสกับเทวดาองค์นี้แล้ว ภรรยาก็พูดว่า "ทำไมไม่สื่อสัมผัสกับพระอินทร์นี้ให้ทราบว่าเป็นอย่างไรล่ะ?" ข้าพเจ้าก็บอกว่าเอาสิ "ดูซิว่าจะออกมาในรูปแบบไหน?"

 

นับว่าเป็นการสื่อสัมผัสกับพระอินทร์โดยอธิษฐานอ้างอย่างตรงๆ ที่ข้าพเจ้าได้รู้เพราะภรรยาอธิษฐานเองในใจบอกให้ทราบในภายหลัง เมื่อมาสัมผัสแล้วเทพองค์นั้นเรียกข้าพเจ้าก่อนเลยว่า “โพธิสัตว์น้อย” แล้วก็เงียบนิ่งเงียบไปเหมือนรับรู้แล้วหยั่งเชิง

ข้าพเจ้าถามว่า “ท่านเป็นใคร บอกชื่อได้ไหมครับ (ตอนนั้นไม่ทราบว่าภรรยาอธิษฐานติดต่อแบบตรง)

เทพองค์นั้นก็บอกว่า “ไม่จำเป็นต้องทราบชื่อของเราก็ได้เพราะมันไม่ใช่สาระสำคัญ”

แต่เมื่อข้าพเจ้าถามว่า “ท่านเป็นองค์อมรินทร์ใช่ไหมครับ”

พระอินทร์ก็ตอบว่า “ใช่เราคือองค์อมรินทร์”

ข้าพเจ้าถามว่า “ท่านเป็นผู้ปกครองเทวดาชั้นดาวดึงส์ใช่ไหม

พระอินทร์ตอบว่า “ใช่”

ข้าพเจ้าถามว่า “ท่านเป็นองค์อมรินทร์ ที่ปรากฏในพระไตรปิฎกในสมัยที่พระพุทธเจ้ามีพระชนม์ชีพที่ได้บรรลุเป็นพระโสดาบันใช่ไหม

พระอินทร์ตอบว่า “ใช่ เราเป็นผู้เดียวกับที่ท่านกล่าว”

ข้าพเจ้าก็ถามว่า “เป็นอันว่าตลอดตั้งแต่พระพุทธเจ้ามีพระชนม์ชีพจนถึงเดี๋ยวนี้ ท่านก็เป็นองค์อมรินทร์ปกครองชั้นดาวดึงส์โดยตลอด”

พระอินทร์ตอบว่า “ใช่”

ข้าพเจ้าจึงยิงคำถามเข้าปัญหาที่เกิดขึ้นว่า “ทำไม มีเทพเทวดาบางท่าน อ้างชื่อว่าเป็นองค์อมรินทร์เหมือนท่านหลายคนเล่า

พระอินทร์ตอบว่า “อาจเพราะมีมนุษย์ไปอุปโลกน์ว่าท่านเป็นองค์อมรินทร์ ท่านเลยสมยอมแสดงบทไปด้วย”

ข้าพเจ้าจึงยิงคำถามที่สำคัญว่า “ก็มีผู้ที่อ้างว่าเป็นองค์อมรินทร์ปกครองชั้นดาวดึงส์ และได้มาปรารถนาเป็นอัครสาวกเบื้องซ้ายกับกระผม”

พระอินทร์ตอบเหมือนไม่รู้มาก่อนว่า “จริงหรือ? เราไม่ทราบ”

ข้าพเจ้าก็ย้ำไปว่า “ก็มาสื่อสัมผัสแบบที่ท่านสื่อสัมผัสนี้แหละ”

พระอินทร์ก็ถามว่า “แล้วมาสื่อสัมผัสแบบนี้กี่ครั้งแล้ว”

ข้าพเจ้าก็ตอบว่า “ว่าสื่อสัมผัสประมาณ 4 หรือ 5 ครั้งแล้ว”

หลังจากนั้นพระอินทร์ก็เงียบเหมือนกับนั่งสมาธิ แล้วท่านก็ยิ้มพยักหน้าเหมือนกับคุยทางจิตอยู่กับผู้อื่น หลายครั้งหลายคราอยู่พักหนึ่งแล้วท่านก็พูดกับข้าพเจ้าในเชิงยั้ง ๆ ว่า “โพธิสัตว์น้อย อาจเป็นพระอินทร์จากจักรวาลอื่นก็ได้”

ข้าพเจ้าจึงถามไปว่า “เป็นไปได้อย่างไรครับ เพราะมันไกลกันมากๆ”

พระอินทร์จึงบอกข้าพเจ้าว่า “โพธิสัตว์น้อยเมื่อบุญบารมีมันเหมาะสมสมดุลกัน สิ่งเหล่านี้ย่อมเกิดขึ้นได้”

ข้าพเจ้าจึงถามว่า “มันเป็นอย่างไรผมไม่เข้าใจครับ โปรดอธิบายให้ผมเข้าใจหน่อยนะครับ”

แล้วพระอินทร์อธิบายให้ฟังว่า “ในสมัยที่มีพระพุทธเจ้าเหตุการณ์อย่างนี้ย่อมเกิดขึ้นได้ง่าย และในช่วงที่พระพุทธเจ้ามีพระชนม์ชีพอยู่ เหล่าเทพเทวดาทั้งหลาย จากจักรวาลที่นับไม่ถ้วนได้มาประชุมรวมกันได้ ด้วยรูปกายแท้ๆ ดังนั้นเหล่าเทวดาต่างจักรวาลย่อมไปมาหาสู่กันได้โดยสะดวกระหว่างจักรวาล มายังจักรวาลนี้ ในช่วงที่พระพุทธเจ้าอุบัติขึ้นในจักรวาลนี้”

และพระอินทร์พูดต่อไปอีกว่า “ส่วนการสื่อสัมผัสจิต เป็นเรื่องที่ง่ายและสะดวกกว่ามาก ส่วนโพธิสัตว์น้อยในชาตินี้ท่านได้เกิดเป็นมนุษย์ธรรมดา สามารถระลึกตนเองได้ สามารถสร้างบุญบารมีได้อย่างนี้ นับว่าเป็นบุญอันประเสริฐแล้ว ทั้งยังก่อให้เกิดสิ่งเหล่านี้ได้ นับว่าประเสริฐกว่าที่ท่านเกิดเป็น เทพเทวดา หรือมหาเทพ หรือองค์อมรินทร์ ที่ไม่สามารถก่อให้เกิดสิ่งเหล่านี้ได้”

 

ข้าพเจ้ายอมรับว่าข้าพเจ้าพูดอะไรไม่ออก เมื่อทราบเรื่องมีองค์อมรินทร์ต่างจักรวาลที่เราอยู่ได้มาสื่อสัมผัส กับมนุษย์ที่อยู่ในจักรวาลนี้ที่เคยมีบุพกรรมร่วมกันมา เหมือนกับแนวคิดอินเทรนของหนังวิทยาศาสตร์สมัยใหม่ ที่เดินทางทะลุระหว่างมิติจักรวาล แล้วจะเกิดจากไอเดียของภรรยาหรือ? เพราะแม้แต่ภรรยาเองก็คิดไปไม่ถึงเลยว่า จะออกมาในรูปแบบนี้

หลังจากนั้นข้าพเจ้าก็ขอให้พระอินทร์แนะนำสั่งสอนบอกกล่าวกับข้าพเจ้า แล้วพระอินทร์ก็แนะนำสั่งสอนหลายเรื่อง แต่ไม่ขอพิมพ์ก็แล้วกันเพราะจะยืดยาวเกินไป

หลังจากพระอินทร์ให้ศีลให้พร ก็ยุติการสื่อสัมผัสกับพระอินทร์ ซึ่งเป็นการสื่อสัมผัสกับพระอินทร์ที่ปรากฏในพระไตรปิฎกที่เป็นพระโสดาบันบอกให้ทราบเป็นครั้งแรกในช่วงเวลาสื่อสัมผัสมาเกือบถึง 20 ปี

เมื่อได้ยุติสื่อสัมผัสกับพระอินทร์ในจักรวาลที่เราอยู่นี้แล้ว ข้าพเจ้าก็เห็นควรว่าควรจะสื่อสัมผัสจิตกับพระอินทร์ที่ปรารถนาเป็นอัครสาวกเบื้องซ้าย เพราะข้าพเจ้าคิดว่าท่านคงรออยู่ เพราะตอนที่พระอินทร์ในจักรวาลที่เราอยู่นี้ นิ่งเข้าสมาธิ ก็คงไปสื่อสัมผัสจิตกับพระอินทร์ ในจักรวาลอื่นที่เป็นผู้ปรารถนาเป็นอัครสาวกเบื้องซ้าย เพราะเห็นท่านยิ้มและพยักหน้าหลายครั้งหลายคราเหมือนกับคุยอยู่กับผู้อื่นทางจิต

เมื่อภรรยาสื่อสัมผัสทางจิต พระอินทร์ต่างจักรวาลองค์นั้นก็มาสัมผัส ข้าพเจ้าจึงถามว่า “ท่านเป็นพระอินทร์ต่างจักรวาลที่ปรารถนาเป็นอัครสาวกเบื้องซ้ายในสมัยของผมใช่ไหมครับ

พระอินทร์ต่างจักรวาลตอบว่า “ใช่”

หลังจากนั้นก็มีการคุยในเรื่องปลีกย่อยกันเล็กน้อยในเรื่องทั่วไป

ต่อจากนั้นข้าพเจ้าได้ถามว่า “ตอนที่สื่อสัมผัสอยู่นี้ท่านได้เข้ามาอยู่ในสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ในจักรวาลที่ผมอยู่หรือ

พระอินทร์ต่างจักรวาลตอบว่า “เราก็อยู่ในที่อยู่ของเราดังเดิม ไม่ได้ย้ายรูปกายไปที่ไหน เพียงแต่อาศัยการสื่อสัมผัสจิตเท่านั้นบวกกับทั้งความเป็นทิพย์อภิญญาของเทวดาเราจึงเห็นและรู้ได้อย่างดี ถ้าเราย้ายรูปกายไปยังจักรวาลที่ท่านอยู่ ย่อมทำให้เหล่าเทพสับสนวุ่นวายน่าดู จึงไม่จำเป็นหรือเห็นควรว่าต้องย้ายไปในจักรวาลที่ท่านอยู่”

หลังจากนั้นก็ยุติการสื่อกับพระอินทร์ต่างจักรวาล ด้วยความสำนึกได้ว่าข้าพเจ้าได้แสดงและต่อว่าพระอินทร์อีกจักรวาลอีกองค์หนึ่งไปมาก จึงขอให้ภรรยาสื่อสัมผัสกับท่านใหม่ และเมื่อท่านมาสื่อสัมผัส ข้าพเจ้าก็ขอขมา ที่กล่าววาจาและแสดงความขัดเคืองกับท่าน ท่านก็ยกโทษให้และกล่าว “เราย่อมไม่สมควรโกรธผู้ไม่รู้”

หลังจากสนทนากันเล็กน้อยแล้ว ก็ยุติการสนทนา แต่การสนทนาครั้งนี้ก็ทำให้ยังมีเหตุมีผลที่พอเชื่อได้อยู่ ไม่เช่นนั้นข้าพเจ้าคงห่างและถอยไม่อยากสื่อสัมผัสอีกนี้แน่เลย เพราะมันชักจะเพี้ยนไปมากจากหลักฐานที่อ้างอิงได้ในพระไตรปิฎกจนเกินไป แต่ในพระไตรปิฎกนั้นได้กล่าวถึงเทพเทวดา ถึงหมื่นโลกธาตุที่มาประชุมรวมกันเพื่อฟังธรรมจากพระพุทธเจ้าหรืออันเชิญพระมหาโพธิสัตว์ลงมาเกิดเพื่อตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า จึงทำให้มีเหตุมีผลที่อ้างอิงได้อยู่ และไม่หลุดจากกรอบของหลักฐานที่มี

 

ซึ่งโลกธาตุ แบ่งเป็น 3 ประเภท ดังนั้น

โลกธาตุขนาดเล็ก จะมีจำนวนพันจักรวาล คือจะมีพระอินทร์พันองค์ จะมีท้าวมหาพรหมพันองค์

โลกธาตุขนาดกลาง จะมีจำนวนล้านจักรวาล คือจะมีพระอินทร์ล้านองค์ จะมีท้าวมหาพรหมล้านองค์

โลกธาตุขนาดใหญ่ จะมีจำนวนล้านล้านจักรวาล .....

ดังนั้นถ้ากล่าวถึง หมื่นโลกธาตุ ย่อมมีจำนวนจักรวาลที่นับไม่ถ้วนเลยทีเดียว ตามพระไตรปิฎกและพระอรรถกถา

 

เนื่องจากจักรวาลที่เราอยู่นี้เป็นจักรวาลที่มีพระพุทธเจ้าอุบัติขึ้นได้ ย่อมเป็นจักรวาลที่อยู่ในโลกธาตุขนาดใหญ่ ก็คือมีจักรวาลอยู่รวมๆ กัน ถึงล้านล้านจักรวาล

เป็นอันว่าเมื่ออ้างอิงหลักฐานตามพระไตรปิฎกและพระอรรถกถา ก็ยิ่งทำให้เหตุการณ์ที่ปรากฏกับข้าพเจ้า นั้นเป็นเพียงเหตุการณ์ที่เกิดเพียงขี้ปะติ๋วนิดเดียวเอง แต่ก็ดีที่ยังมีเหตุและมีผลอ้างอิงได้อยู่ ไม่ใช่ว่าจะเพี้ยนๆ ไปใหญ่ จนเลยเถิด จนหลงตัวหลงตนโดยไม่มีข้อมูลอื่นๆ รองรับ

 

เมื่อมีการสื่อสัมผัสกับโอปปาติกะหรือเหล่าเทพมากมายจนนับไม่ถ้วน ในเวลาถึง 20 กว่าปี ไม่ใช่ว่าเรื่องต่างๆ เสมือนง่ายๆ แต่ความจริงแล้วมีปัญหาข้อปลีกย่อยหลายๆ เรื่องเข้ามาให้แก้ปัญหาบางเรื่องก็ใช้เวลาแก้ปัญหาในการสื่อสัมผัสครั้งเดียวก็จบ บางเรื่องกว่าจะจบเรื่องก็มีการสื่อสัมผัสหลายๆ ครั้ง เป็นอาทิตย์เป็นเดือนหรือหลายเดือนเช่นเรื่อง ลูกสุนัขโพธิสัตว์ จนวิมานล่มสลาย กว่าเรื่องเหล่านั้นจะจบ ส่วนเรื่องพระอินทร์คนละจักรวาลกว่าเรื่องจะกระจ่างแจ้งก็ใช้เวลาถึง 3 ปีจึงกระจ่าง และเรื่องของผู้ที่ปรารถนาเป็นอัครสาวกเบื้องซ้ายที่มีฤทธิ์เป็นเลิศ ใช้เวลาถึง 18 ปีจึงจะจบลงอย่างสมบูรณ์ ต่อไปก็เป็นเรื่องหนึ่งที่มีปัญหาที่เกิดขึ้น ความจริงแล้วปัญหาปลีกย่อยมีหลายเรื่อง แต่ข้าพเจ้าก็ยกเรื่องนี้มาเป็นหลักดังนี้

เมื่อพญามารทักท้วงและขัดขวาง

การสื่อสัมผัสสนทนากับโอปปาติกะ ไม่ใช่ว่าจะต้องการสื่อสนทนาอย่างไรก็ได้ตามใจของเราที่ต้องการ จะต้องมีเหตุ และสิ่งที่ปรากฏก็เป็นไปตามวาระของ วาสนาและโอกาสหาได้เป็นไปตามจุดประสงค์เสมอไป เพราะไม่ใช่ว่ามีเพียงเราคนเดียวที่จะแสดงที่จะประสงค์ให้เป็นอย่างโน้นอย่างนี้ตามจุดประสงค์ของตน แต่เป็นเหมือนกับการได้เกิดปฏิสัมพันธ์ กับหลายๆ บุคคลซึ่งแตกต่างกันไป ทั้งความคิดและความมุ่งหมาย และเรื่องทั้งหมดก็หาได้ถูกผูกเรื่องจากข้าพเจ้าหรือภรรยาข้าพเจ้า แต่เรื่องต่างๆ ก็จะปรากฏตามภาวะของเหตุการณ์เอง ดังนั้นอุปสรรคในการสื่อสัมผัสสนทนากับโอปปาติกะนั้นย่อมมีและหลายรูปแบบ ต่อไปนี้ก็เป็นรูปแบบหนึ่งที่เกิดขึ้นโดยที่ไม่คาดคิดหรือคาดว่าทิศทางจะเป็นไปอย่างนั้น ดังเรื่องต่อไปนี้

 

ประมาณต้นเดือนพฤศจิกายน 2550 ข้าพเจ้าต้องการทราบชื่อของข้าพเจ้าเมื่อชาติที่แล้ว เพื่อเป็นข้อมูล จึงสื่อสัมผัสกับเทพที่รู้จักกันเมื่อชาติที่แล้ว แต่สื่อสัมผัสอะไรไม่ได้ แล้วดันมีผู้อื่นมาสื่อสัมผัสแทน ท่าทางขึงขังและไม่พอใจอย่างมาก ข้าพเจ้าจึงถามว่า “ท่านเป็นใคร

โอปปาติกะนั้นก็พูดบอกว่า “เราเป็นพญามาร”

ข้าพเจ้าจึงถามว่า “ท่านไม่พอใจขึงขังเรื่องใดครับ

พญามารจึงพูดว่า “เหตุอยู่ที่ท่านนี้เอง”

ข้าพเจ้าก็งงๆ เลยครับ จึงถามว่า “เหตุอันใดที่ผมทำให้ท่านไม่พอใจหรือ

พญามารพูดว่า “แม้แต่ผู้ที่เป็นเปรตท่านปล่อยได้อธิษฐาน ปรารถนาเป็นภิกษุสาวกในสมัยของท่านได้ ภายหลังได้มาคุยโอ้อวดยกตน ว่ามีบุญอย่างโน้นมีบุญอย่างนี้ ตนจะได้เป็นมหาสาวกในสมัยของท่าน ทำให้เหล่าบริวารของเราเสียระบบวุ่นวายไปหมด ทำไมท่านจึงปล่อยให้เหล่าเปรตอธิษฐานปรารถนาซึ่งเป็นภพภูมิที่ต่ำ เมื่อได้เปลี่ยนภพภูมิดีหน่อยก็คุยโม้โอ้อวดจนวุ่นวายไปหมด”

ข้าพเจ้ายัง งง อยู่ จึงตอบไปว่า “เขาก็ปรารถนาของเขาเอง ผมหาได้ไปชักชวนหรือชี้นำเขาเลยครับ อีกอย่างเมื่อเขามีกุศลจิตอย่างแรงกล้า ผมก็ไม่ควรไปขัดขวางกุศลจิตนั้น เพราะเกิดขึ้นด้วยตัวเขาเอง เอ้ ... แล้วเขาเหล่านั้นไปเกี่ยวข้องทำให้บริวารของท่านสับสนวุ่นวายอย่างไรครับ

พญามารก็พูดอย่างไม่พอใจว่า “ก็มันดันมาเกิดในอาณาบริเวณของข้า มีรัศมีมากวิมานใหญ่และคุยว่าต่อไปในอนาคตจะเป็นโน้นจะเป็นนี้สมัยของท่าน ทำให้เหล่าบริวารของข้าสับสนและวุ่นวาย ว่าผู้ที่เคยเป็นเปรตมาโอ้อวดและได้ดีกว่าพวกเขาได้อย่างไร? ทำให้ข้าทราบว่าสาเหตุนั้นมาจากท่าน ที่สื่อสัมผัสกับโอปปาติกะได้รวมทั้งเปรต แล้วปล่อยให้พวกเขาอธิษฐานปรารถนาสับสนมั่วไปหมด ทำให้เกิดวุ่นวายไม่เป็นระบบเลย”

ข้าพเจ้าจึงพูดว่า “ก็เป็นบุญเป็นกรรมของผู้นั้นเอง ผมไม่ได้ไปทำอะไรนี่ครับ”

พญามารจึงพูดสำทับว่า “สาเหตุมาจากท่าน ท่านต้องเลิกสื่อสัมผัสสนทนากับโอปปาติกะ เพื่อไม่ให้เหล่าเปรตอธิษฐานมั่วซั่วได้อีก ท่านยังไม่ยิ่งใหญ่พอ ท่านยังไม่สมบูรณ์พอ ท่านยังไม่พร้อมไม่ควรทำอย่างนี้ เพราะเกิดการสับสนวุ่นวายไปหมด”

ข้าพเจ้าจึงพูดว่า “ครับ ผมยังไม่ยิ่งใหญ่พอ ยังไม่สมบูรณ์พอ ผมทราบตัวเองครับ ผมเป็นเพียงมนุษย์ธรรมดาคนหนึ่ง แม้แต่ในสังคมมนุษย์ก็ไม่ได้เป็นที่รู้จักของใครๆ แต่สิ่งเหล่านี้ที่เกิดขึ้นนั้นเกิดขึ้นมาเองตามฐานะครับ โดยที่ผมก็ไม่ได้คาดคิดเหมือนกันว่าจะออกมารูปแบบนี้ ดังนั้นท่านจะห้ามไม่ให้เกิดโดยเด็ดขาดก็คงไม่ได้ครับ แต่ผมก็จะพิจารณาเรื่องการที่มีผู้เข้ามาอธิษฐานปรารถนาอีกที่หนึ่ง เพราะผมก็เห็นว่ามันก็ยังเป็นเรื่องที่ยังไม่แน่นอน จะเปลี่ยนใจเมื่อใดก็ได้ และขณะนี้พระพุทธพระธรรมและพระสงฆ์ก็ยังดำรงอยู่อย่างสมบูรณ์ แต่ผมจะไปห้ามเขาเมื่อเขาเกิดกุศลจิตอย่างมากก็คงไม่ได้”

พญามารก็พูดว่า “อย่างนั้นเราต้องห้ามไม่ให้ท่านสื่อสัมผัส”

ผมจึงพูดว่า “ผมยังมีกิจอื่นที่ต้องสื่อสัมผัส ที่ไม่เกี่ยวกับการให้ผู้อธิษฐานปรารถนา”

พญามารก็สายหน้าแบบไม่พอใจ แล้วจากไป หลังจากนั้นจะสื่อสัมผัสก็ไม่ได้อีกเลย......

ต่อมาก็จะสื่อสัมผัสไม่ได้อีกเลย ข้าพเจ้าจึงต้องกล่าวสัจจะอ้างบารมีที่สร้างสมมาเพื่อสื่อสัมผัส เพื่อจะถามในสิ่งที่สงสัยอยู่ คือชื่อเมื่อชาติที่แล้วชื่ออะไร? ก็สื่อสัมผัสได้ และเมื่อข้าพเจ้าถามว่า “ท่านเป็นใคร

ผู้ที่สื่อสัมผัสก็บอกว่า “เราเป็นบริวารของท่านพญามาร ท่านพญามารสั่งไว้ให้คอยขัดขวางการสื่อสัมผัสของท่าน ”

เป็นอันว่าเทวดาที่เคยใกล้ชิดที่ทราบชื่อดี ไม่สามารถสื่อสัมผัสได้ ข้าพเจ้าจึงบอกว่า “ผมต้องการจะสนทนาในกิจเรื่องอื่นไม่ใช่ ให้ผู้อื่นมาอธิษฐานปรารถนา ดังนั้นน่าจะอนุโลม เพราะไม่เกี่ยวกันกับจุดประสงค์ในการที่ท่านคอยขัดขวาง อีกอย่างเมื่อข้าพเจ้ากล่าวอ้างบารมีอยู่อย่างนี้ท่านเอง ก็อาจจะลำบากไปด้วย”

 

เทวดาฝ่ายมารก็เข้าใจพยักหน้าแล้วจากไป เทพที่เคยใกล้ชิดกับข้าพเจ้าในชาติที่แล้วก็เข้ามาสื่อสัมผัสแทน ก็สนทนาเรื่องสารทุกข์ทั่วไป แล้วข้าพเจ้าจึงถามไปว่า “ชาติที่แล้วชื่อผมนั้นชื่ออะไร? ผมกำลังหาข้อมูลอยู่ครับ”

เทพที่เคยใกล้ชิดกับข้าพเจ้าก็พูดชื่อเป็นภาษาเทพขึ้นมาเป็นเสียงภาษาเทพสูงๆ ต่ำๆ เหมือนภาษาต่างประเทศ ผมแยกแยะไม่ออก ส่วนเทพนั้นก็พูดซ้ำหลายรอบ ผมก็ยังแยกเพื่อเขียนเป็นภาษาไทยไม่ออก ผมจึงบอกว่า “ท่านช่วยพูดให้คล้ายเป็นแบบภาษาไทยได้ไหม

เทพนั้นกล่าวว่า “เสียงเป็นอย่างนี้ถ้าปรับเป็นสำเนียงภาษาไทยคงลำบาก” หลังจากนั้นเทพองค์นั้นก็ควักมือเรียกเทพองค์อื่นมาช่วย แล้วพูดภาษาเทพย้ำใหม่ ช้าๆ ตัดเป็นทีละคำแต่มันยากตรงที่ออกสำเนียงท้ายคำปรับใช้กับอักษรภาษาไทยลำบาก เมื่อปรับลงเพื่อให้ง่ายๆ ก็สามารถเขียนเป็นภาษาไทยได้ว่าชื่อ “โชออ...(ลากเสียงยาวแล้วตามด้วย) มัตตะ” ถ้าตัดให้สั้น ก็คือ โชออ..... หรือ โชต... ที่ออกเสียงลากยาวนั้นเอง ก็จะเป็น โชต>>มัตตะ ถ้าตัดให้สั้นมีชื่อว่า โชต หรือ โชตนาม นั้นเอง เมื่อข้าพเจ้าทราบชื่อเมื่ออดีตชาติแล้วก็ยุติการสื่อสัมผัสเพียงแค่นั้น

 

หลังจากนั้นก็ไม่ได้สื่อสัมผัสอีกเลย และมีปัญหาที่ต้องขัดใจกันตลอดในเรื่องต่างๆ ในครอบครัว วันหนึ่งปลายเดือนพฤศจิกายน ผมคิดที่จะสื่อสัมผัส ก็ดันมีเรื่องทะเลาะกันจนใจคิดแทบจะแยกจากกัน ต่างฝ่ายต่างก็นิ่งข่มใจไปหนึ่งคืนกับหนึ่งวัน เมื่อสงบต่างฝ่ายก็คิดได้ ก็อยู่กันได้ตามปกติ

ก่อนสิ้นเดือนพฤศจิกายนนี้เอง ข้าพเจ้าประสงค์จะสื่อสัมผัสเพราะยังคาใจเรื่องพญามาร จึงอยากจะพูดกันให้ชัดเจน ถึงจุดประสงค์จริงว่าที่ห้ามไม่ให้สื่อสัมผัสนั้นเป็นอย่างไรกันแน่ ระหว่าง

1. เป็นห่วงพระพุทธศาสนา ที่ยังสมบูรณ์อยู่ ทั้งพระพุทธ พระธรรม และพระสงฆ์ แต่เหล่าโอปปาติกะดันมาปรารถนาสิ่งที่ไกลเกินไป ที่ไม่แน่นอนเกิดความล่าช้า

2. ประสงค์ให้สัตว์ทั้งหลายปรารถนา พระนิพพานโดยเร็วพลัน

3.ไม่ต้องการให้เปรตนั้นมาอธิษฐานปรารถนา เพราะทำให้พญามารควบคุมไม่ได้

4. กลัวว่าข้าพเจ้าหรือ เปรตที่ไปเกิดใหม่ยิ่งใหญ่กว่า

 

ครั้งแรกก็สื่อสัมผัสแบบธรรมดาก่อน ก็สามารถสื่อสัมผัสกับเทพใกล้ชิดได้ตามปกติ ข้าพเจ้าจึงแปลกใจถามว่า “ทำไมสื่อสัมผัสได้ พญามารไม่คอยขัดขวางแล้วหรือ

เทพใกล้ชิดบอกให้ทราบว่า “เมื่อกาลเวลาเปลี่ยนไปทุกอย่างก็เปลี่ยนไป”

แล้วเทพใกล้ชิดก็แนะให้ไปทำบุญในวันพระที่วัดในอาทิตย์ที่ 2 ธันวาคม 50 ที่จะถึงนี้ ซึ่งขาดการทำบุญมาสองเดือนแล้ว เมื่อสนทนาเสร็จ ข้าพเจ้าก็บอกภรรยาว่าประสงค์สื่อสัมผัสกับพญามารที่เคยมาขัดขวาง เพราะอยากทราบจุดประสงค์หลักของพญามาร และมีความเป็นมาอย่างไร

หลังจากนั้นก็ทำการสื่อสัมผัสกับพญามารท่านนั้นตรงๆ และเข้ามาสื่อสัมผัสแต่ก็มีอาการขัดเคืองใจอยู่ข้าพเจ้าก็ถามว่า “ท่านเป็นพญามารที่เคยมาขัดขวางข้าพเจ้าใช่หรือไม่

พญามารตอบว่า “ใช่ เราเอง”

ข้าพเจ้าจึงถามว่า “ท่านยังมีความขัดเคืองไม่พอใจ ในเรื่องเดิมอยู่หรือ

พญามารตอบว่า “เรายังมีความขัดเคืองอยู่ ไม่พอใจอยู่ เหล่าเทพบริวารเราต่างก็ตั้งอยู่ศีลและธรรมโดยตลอด แล้วผู้ที่เคยเป็นเปรตมาเกิดเป็นเทพซ้ำมีรัศมีและมีความสมบูรณ์มากกว่า แล้วยังคุยโอ้อวดว่า ตนเองปรารถนาจะเป็นพระมหาสาวกในสมัยของท่าน ทั้งที่ศีลและธรรมก็ไม่ได้ตั้งมั่นมาตลอดเหมือนดังเทพที่อยู่ก่อน ทำให้เทพเหล่านั้นสับสนและสงสัยว่าตนเองก็ได้ตั้งมั่นในศีลธรรมแต่ทำไมเปรตนั้นที่มาเกิดเป็นเทพได้ดีกว่า ทั้งที่ไม่เคยตั้งมั่นในศีลธรรมมาก่อน”

ข้าพเจ้าจึงถามพญามารขึ้นว่า “แล้วเทพที่เคยเป็นเปรตนั้น ได้มาคุยโอ้อวดเรื่องนี้โดยตรงกับท่านหรือเปล่า

พญามารตอบ “ไม่ได้มาโอ้อวดกับเราโดยตรง เทพบริวารที่มีความสับสนสงสัยได้ยกเรื่องนี้มาถามเรา ว่าทำไม? เปรตที่ไม่เคยตั้งมั่นอยู่ในศีลในธรรมแต่เมื่อปรารถนาจะเป็นพระมหาสาวกในสมัยของท่าน ภายหลังเมื่อตายจากเปรตมาเกิดใหม่เป็นเทพ กลับมี รัศมี วิมาน ยศ ดีกว่าพวกเขาได้อย่างไร? เราจึงเห็นว่า สาเหตุมาจากท่านที่สื่อสัมผัสกับโอปปาติกะได้ แล้วทำให้เกิดเรื่องเช่นนี้ เกิดความวุ่นวายขึ้น เกิดความเสียหายในการปกครอง และผิดหลักการทำความดี เพียงแค่อธิษฐานปรารถนาเป็นสาวกในสมัยท่าน ก็ได้ดีกว่าผู้ที่ตั้งมั่นในศีลธรรมมาตลอดได้อย่างไร

ข้าพเจ้าจึงพูดขึ้นว่า “การที่ผู้ที่เคยเป็นเปรตแล้วปรารถนาเป็นมหาสาวกในสมัยของผม ภายหลังได้เกิดเป็นเทพที่มี รัศมี วิมาน และยศ ดีกว่าเทพเก่าก่อนนั้น เกิดจากทานศีลและธรรมในชาติก่อนๆ ที่เขานั้นได้ทำมาอย่างมากแล้วก็ได้ ส่งผลในปัจจุบัน หาใช่เพราะการปรารถนาเป็นมหาสาวกอย่างเดียวก็ได้นะครับ”

พญามารนั้น อึ้งนิ่งไปเสมือนนึกได้ แต่ก็ยังพูดว่า “แต่เราไม่ต้องการให้เกิดความสับสนวุ่นวายอย่างนี้กับเทพบริวารทั้งหลาย”

ข้าพเจ้าจึงพูดว่า “อย่างนั้นถ้าเกิดมีเปรต มาอธิษฐานปรารถนาในภายหลัง ผมก็จะบอกว่าว่า เป็นสิ่งที่ไม่แน่นอน อย่าเอาไปโอ้อวดกับผู้อื่น เพราะอาจเปลี่ยนใจได้”

พญามารพูดว่า “ไม่ใช่อย่างนั้น เราไม่ต้องการให้มีการโอ้อวดว่า เป็นเปรตหรืออะไรก็ตามแล้วปรารถนาเป็นมหาสาวกในสมัยของท่านแล้ว เมื่อได้มาเกิดเป็นเทพแล้วมีรัศมี วิมานและยศ เหนือกว่าผู้อื่น โดยไม่ต้องตั้งมั่นในศีลและธรรมมาก่อน”

ข้าพเจ้าก็พูดว่า “อ๋อ.. ผมเข้าใจแล้ว เมื่อเปรตหรืออะไรก็ตามเกิดมาอธิษฐานปรารถนาเป็นพระมหาสาวก ให้ผมเน้นย้ำให้เขาทราบและตั้งมั่นอยู่ในศีลธรรมเสียก่อน และไม่ว่าจะไปเกิดในภพภูมิที่ดีขึ้น ดีกว่าผู้อื่นในที่อยู่เก่า ก็ให้ตั้งมั่นอยู่ในศีลธรรม ไม่ใช่เพราะความปรารถนาเป็นมหาสาวกอย่างเดียวทำให้เขาได้ดีอย่างนี้ เพื่อไม่ให้เหล่าเทพเข้าใจผิดในภายหลัง”

พญามารพยักหน้าแล้วกล่าวว่า “ใช่เราต้องการให้เข้าใจและรู้อย่างนี้ ให้ตั้งมั่นอยู่ในศีลธรรมเป็นหลัก เหล่าเทพก็จะไม่เกิดการสับสนวุ่นวายในการปกครอง”

 

แล้วพญามารก็จากไป พญามารท่านนี้คงไม่ใช่เป็นมารที่แท้จริง เพราะให้ตั้งมั่นอยู่ศีลธรรม และขัดเคืองผู้ที่คุยว่า ได้ดีเพราะปรารถนาเป็นมหาสาวก หรือเป็นอะไรก็ตามในสมัยใด ของใครในอนาคต จึงทำให้ตนหรือมาเกิดเป็นเทพได้ดีกว่าผู้อื่น ซึ่งมันก็เป็นเหตุผลที่ถูกของท่าน แต่วิธีของท่านที่กระทำมันไม่ค่อยถูกมากนัก....

 

 

จากเมื่อปลายปี 2550 สิ่งที่ผมสงสัยเล็กๆ น้อยๆ ภายในใจในเรื่องการสื่อสัมผัสของภรรยาก็เหลือเพียง กรณีเดียว คือ อาจจะเป็นเพราะจิตใต้สำนึกของภรรยาสร้างอุปาทานขึ้นมาเอง เพราะภรรยาได้ทำการสแกนสมอง แบบ MRI อย่างละเอียดแล้วก็หามีส่วนใดบกพร่องแม้แต่นิดเดียว และทานยาบำรุงสมอง การพูดผิดกลับกันในบางคำของภรรยาก็หายเป็นปกติดี

ซึ่งเป็นปกติของใจปุถุชน เมื่อมีความคลางแคลงสงสัย มันก็จะเก็บความสงสัยอยู่ภายในจิตอยู่เล็กๆ น้อยๆ แต่ไม่แสดงออกอย่างชัดเจน จนกว่าจะเกิดเหตุการณ์ขัดกับอารมณ์และความคาดหวังอย่างมาก ก็จะปรากฏมาอย่างชัดเจน

 

ต้นปี 2551 ประมาณ กุมพาพันธ์ - มีนาคม การสื่อสัมผัสก็ดำเนินไปตามปกติ และแล้วก็มีเทพพระอรหันต์ บังเกิดเข้ามาสื่อสัมผัส สนทนาธรรมทั่วไป แล้วตอนที่ท่านจะยุติการสื่อสัมผัส ท่านก็ได้บอกกับผมว่า "โพธิสัตว์น้อย อาตมาเห็นว่าเป็นเวลาอันควรที่โพธิสัตว์ควรรักษาพรหมจรรย์ถือศีลแปด อย่างน้อยหนึ่งวันในเจ็ดวัน หรือในวันพระ"

ผมได้ฟังแล้วก็เฉยและคิดว่า คงไม่จำเป็นและลำบาก เพราะสมัยตอนแต่งงานได้ประมาณ 5 ถึง 10 ปี เคยบอกภรรยาแล้วว่าจะถือศีลแปดในวันพระที่บ้าน แต่ภรรยาไม่ยอม เพราะจะไม่มีคนคอยช่วยดูแลลูกซึ่งเป็นผู้หญิง ซึ่งเขาก็จะต้องทำงานบ้าน.

แต่ปัจจุบันนี้ผมหาได้ประสงค์แล้ว และคิดว่าไม่จำเป็นแล้ว จึงไม่ไปสนใจในคำพูดนั้นของเทพพระอรหันต์นั้น

*******

หมายเหตุ ผมสงสัยคำที่พระอรหันต์เรียกผมว่า "โพธิสัตว์น้อย" มาตั้งแต่แรกแล้วตอนเทพพระอรหันต์ท่านแรกมาสื่อสัมผัส จึงถามท่านว่าทำไม? จึงเรียกผมว่า "โพธิสัตว์น้อย"

เทพพระอรหันต์ท่านตอบว่า "ก็โพธิสัตว์ ยังมีบารมีที่ไม่สมบูรณ์เต็มที่ ยังพร่องอยู่ อาตมา จึงเรียกว่า โพธิสัตว์น้อย นั้นแหละถูกแล้ว"

ผมจึงถามประมาณว่า "อย่างนั้นผมก็เพิ่งเริ่มสร้างบารมีสิครับ"

เทพพระอรหันต์ก็ตอบทำนองว่า "ไม่ใช่อย่างนั้นๆ พระโพธิสัตว์สร้างบารมีมายาวนานแล้วมากแล้ว เหลือเวลาอีกก็เพียงน้อยนิดเมื่อเทียบกับบารมีทั้งหมดที่สร้างมา แต่ถ้ากล่าวถึงความสมบูรณ์ ถือว่าพระโพธิสัตว์ยังสร้างไม่สมบูรณ์ อาตมาจึงเรียกโพธิสัตว์ว่า โพธิสัตว์น้อย"

เป็นอันว่าในภายหลังเทพพระอรหันต์ และพระอริยะที่มีญาณทราบได้ ก็จะเรียกผมว่า "โพธิสัตว์น้อย" ในเวลาสื่อสัมผัสกันเป็นต้นมา

*******

เวลาผ่านมาอีก 1 อาทิตย์พระอรหันต์ก็มาสื่อสัมผัสอีกก็สนทนาเรื่องธรรมทั่วไป และตอนจะยุติการสื่อสัมผัส เทพพระอรหันต์ก็บอกกับผมว่า "โพธิสัตว์น้อย อาตมาเห็นว่า โพธิสัตว์ควร ถือศีลแปดรักษาพรหมจรรย์ได้แล้วนะ เพราะมีเทพหรือมหาเทพอีกมาก จะกล่าวสัจจะวาจา ต่อหน้าพระโพธิสัตว์ เพื่อให้โพธิสัตว์สาธุ แต่เทพหรือพรหมเหล่านั้นเขาลังเล เพราะเขาต่างมีคุณธรรมพรหมจรรย์สูงกว่าโพธิสัตว์มาก เอาละอีก 7 วันอาตมาจะมาใหม่ โพธิสัตว์น้อยคงถือศีล 8 สัก 1 วันแล้วกันนะ"

เมื่อผมได้ฟังดังนี้ ใจผมก็คิดทันทีว่า เอาแล้วๆ เทพพระอรหันต์ทำแบบนี้อีกแล้ว มันแปลกๆ อยู่นะ แต่ปากก็กล่าวว่า "ครับ ครับ" แต่ใจนั้นผมไม่เล่นด้วย และด้วยตอนช่วงนั้นมีปัญหาการหลับนอนกับภรรยาเนื่องจากโรคภัยของภรรยาเอง ส่วนผมนั้นยังมีกามราคะอยู่เต็ม ผมก็เห็นว่าผมยังมี และใจก็แวบๆ เผลอปรุงแต่งเรื่องอิสระทางกามอยู่บ้าง

จึงคิดไปว่า น่าจะเป็นเงื่อนไขของภรรยาที่เกิดความกลัว จึงแปลงออกมาเป็นอุปาทาน ให้ผมถือศีลแปดเพื่อไม่ให้ผมไปหาเศษหาเลยกับผู้หญิงอื่น

 

เป็นอันว่าความสงสัยปรากฏขึ้นมาเต็มสมบูรณ์ตามเหตุการณ์และสิ่งแวดล้อม ผ่านมาอีก 7 วัน ก็สื่อกับเทพอรหันต์ ก็สนทนากันปกติ แล้วเทพอรหันต์ก็ถามผมว่า

"โพธิสัตว์น้อย ถือศีล 8 สักวันแล้วยัง?"

ผมตอบว่า "ยังครับ และไม่เห็นจำเป็นเลยครับ"
พระอรหันต์ก็ตำหนิผมตรงๆ เลย
คราวนี้ "พระโพธิสัตว์นี้ดื้อจริงๆ"


ผมจึงถามทำนองว่า "แล้วพระอรหันต์ ทำไมจึงต้องมา ทำเพื่อให้ผู้อื่นมากล่าวสัจจะอธิษฐานปรารถนาสร้างบารมีกับผมเล่า? พระอรหันต์ทำอย่างนี้ถูกหรือ? ทำไมไม่ให้เขาเหล่านั้นปรารถนาเพื่อให้บรรลุนิพพานโดยเร็วพลัน แม้แต่ผมเองก็ปรารถนาให้สัตว์ทั้งหลายบรรลุมรรคผลนิพพานโดยเร็วพลันเป็นสิ่งที่ดีกว่า"

(ตอนนี้ทั้งความสงสัยและอารมณ์ผมขึ้นในการสนทนาแล้วครับ เพราะคิดว่าน่าจะเป็นจิตใต้สำนึกของภรรยาอุปาทานขึ้นมา เพราะความกลัวในฐานะของตนเอง)

 

เทพพระอรหันต์ส่ายหน้ากล่าวว่า "พระโพธิสัตว์ขาดปัญญาจริงๆ ก็เพราะอาตมามีความเมตตาต่อสัตว์ทั้งหลาย ที่จะเกิดขึ้นในอนาคตกาลเบื้องหน้า จึงรับหน้าที่นี้ ถ้าเป็นเช่นนี้อาตมาไม่ขอสนทนากับโพธิสัตว์แล้ว"

แล้วพระอรหันต์ก็ยุติการสื่อสัมผัสไป ส่วนกิจการสนทนาการแก้ปัญหาของผมกับภรรยาเรื่องปัญหาสุขภาพของเขากับการหลับนอนที่เกิดขึ้นก็ดำเนินกันไป ตามระยะๆ และภรรยาก็ทุกข์ไม่ใช่น้อย

และเมื่อสัมผัสกับเทพต่างๆ เทพเหล่านั้นก็ตำหนิ และว่าผมดื้อ ว่าผมมี ทิฐิ กันทุกท่านเลย แม้ว่าผมจะอ้างว่า "การปรารถนา บรรลุมรรคผล นิพพานโดยเร็วพลัน ย่อมดีกว่า ประเสริฐกว่า ผมก็ปรารถนาดี ประสงค์ดีต่อสัตว์ทั้งหลายไม่ใช่หรือ?"

แต่ผมโดนตอกกลับ แล้วให้ผมต้องไปขอขมา ต่อเทพพระอรหันต์นั้นเสีย เพราะผมได้ทำในสิ่งที่ไม่ถูกไม่ควรต่อความปรารถนาดีของพระอรหันต์ และไม่ประสงค์สนทนากับผม

ส่วนใจผมตอนนี้ก็คิดว่า อึม.. ต้องเป็นอุปาทานของจิตใต้สำนึกของภรรยาแน่เลย แต่ก็จะดูต่อไปว่าเป็นอย่างไร?

และเมื่อผ่านมา 3-4 วัน เทพพระอรหันต์ ท่านนั้นก็มาสื่อสัมผัสอีกและบอกว่า
"อาตมา จะดับขันธ์ในเวลานี้ แม้ว่าอาตมาจะทำกิจให้แก่ท่านทั้งหลายไม่
เสร็จสมบูรณ์ อาตมาจะให้พรกับท่านทั้งสองและทั้งหลาย"

แล้วท่านก็ดับขันธ์ไป โดยที่ผมก็ไม่ได้ขอขมา แต่ใจผมก็เฉยๆ อีกหลายวันผมก็ให้ภรรยาสื่อสัมผัสว่าจะมีผู้ใดบ้างไหมที่เห็นด้วยกับผม โดยธรรมที่ว่า "การปรารถนาเพื่อให้ผู้อื่นๆ บรรลุมรรคผลนิพพานโดยเร็วพลัน ย่อมเป็นธรรมที่ถูกที่ควร" สื่อสัมผัสกับหลายท่านผมก็โดนตำหนิไม่เห็นด้วยทั้งนั้น

แล้วมีอยู่ครั้งหนึ่งผมจึงให้ภรรยาอธิษฐานให้ผู้ที่ศรัทธาผมโดยธรรมจริงๆ มาสื่อสัมผัส แล้วท่านผู้นั้นก็มา

ผมก็ถามว่า "ท่านศรัทธาผมโดยธรรมใช่ไหม? และไม่ใช่ความเป็นตัวตนของผม"

ผู้นั้นตอบทำนองว่า "เราศรัทธาท่านโดยธรรมมานานแล้ว เมื่อท่านอยู่ในธรรมเราก็ศรัทธาในคุณธรรมที่ปรากฏ แต่เมื่อท่านไม่อยู่ในธรรมเราก็หาได้สนใจท่านไม่"

ผมจึงถามว่า "การที่ผมต้องการปรารถนาให้สัตว์อื่นบรรลุมรรคผลโดยเร็วพลัน ย่อมเป็นธรรมเป็นสิ่งที่ดีไม่ใช่หรือ?"

ผู้นั้นตอบ "ย่อมเป็นสิ่งที่ดี และเป็นธรรมที่ดี"

และผู้นั้นเสริมต่อทำนองว่า "แต่ธรรมนั้นย่อมพิจารณาให้ดี ของเจตนาต่างๆ และถ้าเจตนานั้นดีตั้งแต่เบื้องต้น จะกล่าวว่าเจตนานั้นหรือธรรมนั้นไม่ดีหรือไม่ถูกต้องเลย ย่อมไม่ได้"

แล้วผู้นั้นกล่าวต่อทำนองว่า "แม้ด้วยเจตนาดี
ตั้งแต่เบื้องต้น แม้เพียงเล็กน้อยของท่านก็เป็นเจตนาดี เราจึงศรัทธาท่านมาโดยตลอดอย่างยาวนาน"

เมื่อท่านผู้นั้นพูดทำนองว่า "ด้วยเจตนาดีตั้งแต่เบื้องต้น แม้เพียงเล็กน้อยของท่านก็เป็นเจตนาดี"

ใจผมทบทวนในสิ่งที่เกิดขึ้นทันทีว่า ไม่ว่าเป็นอุปาทานของภรรยา หรือเป็นเรื่องเท็จหรือจริง สิ่งนั้นที่เกิดขึ้นเป็นเจตนาดี เพื่อให้ผมอยู่ในศีลในธรรมที่ดีขึ้น เพราะเป็นสิ่งที่ควรปฏิบัติ ในเมื่อผมสำคัญตนว่าเป็นพระโพธิสัตว์ และถ้าเป็นจริงก็จะเป็นสิ่งที่มีประโยชน์กับผม และสัตว์ที่มีบารมีอ่อนๆ ทั้งหลาย ผมผิดแล้วที่ถกเถียงด้วยอารมณ์ค่อนข้างพาล และพยายามหาผู้เป็นพวกที่เห็นด้วย

 

จึงพูดทำนองว่า "ท่านหยุดก่อน ผมพลาดไปแล้ว ท่านทำให้ผมกระจ่าง ผมขอกล่าววาจาขอขมาต่อเทพพระอรหันต์ท่านที่ดับขันธ์ก่อน"

 

ผมจึงกล่าวว่า "ผมขอขมาต่อเทพพระอรหันต์ท่านนั้นถึงแม้ดับขันธ์ไปแล้ว ถึงความผิดพลาดที่เกิดจากทางกาย วาจา และใจของผม ผมขอขมาลาโทษต่อท่าน ขอให้ท่านจงงดโทษ และขอเป็นอโหสิกรรม แม้ว่าท่านดับขันธ์ไปแล้วด้วยเทอญ"

 

ผู้ที่สื่อสัมผัสอยู่ก็กล่าวว่า "กิจที่พึงทำด้วยศรัทธาต่อโพธิสัตว์สมบูรณ์แล้ว ความมหัศจรรย์ทั่วทั้งโลกสวรรค์เกิดขึ้นแล้ว"

 

แล้วผู้นั้นก็ค่อยๆ จางไปจากจิตของภรรยา ภรรยามีความแปลกประหลาดมาก การสัมผัสจิตที่เป็นแบบนี้ไม่เคยเป็นมาก่อน (บอกให้ผมทราบภายหลัง)

 

หลังจากนั้นเทพชั้นต่างๆ แต่ละชั้นแต่ละคนประมาณ 4-5 ท่าน ก็มาสัมผัสจิตกับภรรยา ด้วยความสั่นๆ อยู่เลยว่า "เกิดโกลาหลอะไร ๆ ทำไมจึงเกิดเห็นเทพชั้นต่างๆ เบื้องสูงกว่า ต่างกล่าวสาธุ กันดังไปทั่วได้"

 

และเมื่อถามเทพเหล่านั้นว่า "ท่านผู้นั้นเป็นใคร" ก็ไม่มีผู้ใดทราบได้ว่ามาจากไหน?

บางท่านก็กล่าวว่า "เป็นเพราะบารมีของพระโพธิสัตว์นั้นแหละ จึงทำให้เกิดเหตุการณ์สวรรค์เปิดดังนี้"

บางท่านก็กล่าวว่า "เป็นเพราะพระอรหันต์ที่ดับขันธ์ไปแล้ว ท่านได้อธิษฐานจิตไว้ก่อนดับขันธ์ ด้วยกิจที่ท่านทำยังไม่สมบูรณ์ เพื่อให้สมบูรณ์"

แต่ผมและภรรยาก็หาได้ติดใจอะไร เพราะเป็นเพียงข้อมูล

หลังจากนั้นไม่กี่วันใจผมก็เริ่มทบทวนแล้วทบทวนอีก เรื่องการถือศีล 8 กับเรื่องของอุปาทานของภรรยา จึงเกิดภาวะอย่างนี้เกิดขึ้น ตามที่ผมได้พิมพ์ไว้แล้วดังนี้

ส่วนข้าพเจ้าก็ยังระแวงอยู่ว่า ทุกอย่างเป็นข้ออ้างของภรรยา และการสื่อสัมผัสที่เกิดขึ้นอาจจะเป็นจิตใต้สำนึกของภรรยาที่ปกป้องฐานะตนเอง เพื่อไม่ให้ข้าพเจ้าไปหาเศษหาเลยทางกาม ความขัดแย้งนี้ถือว่าอยู่ในระดับที่รุนแรงพอควร และยืดยาวมาเป็นเวลาประมาณ เดือน จนข้าพเจ้าต้องมาทบทวนตัวเองว่า

 

1.ความปรารถนาพุทธภูมินั้นเริ่มขึ้นมาเองจากจิตใต้สำนึกของข้าพเจ้าเอง แล้วบังเกิดเรื่องต่างๆ มีผู้ติดตามตามมาเอง แม้แต่ภรรยาข้าพเจ้าก็ติดตามโดยที่เขาเองก็ไม่คาดคิดว่าจะออกมาเป็นรูปแบบดังประสบการณ์ด้านบน

 

2.เมื่อรู้ตัวว่าเป็นพระโพธิสัตว์ที่เที่ยงแท้แล้ว ยังติดอยู่ในกามเผื่อจะมีกามอย่างนี้ก็ไม่น่าจะถูกต้องในสิ่งที่ปรารถนาสัพพัญญุตญาณ

 

3.เมื่อข้าพเจ้าปรารถนาถือศีลแปดที่บ้านมายาวนานแต่ไม่เคยได้ จนลืมไปแล้ว และการที่ได้มีโอกาสถือศีลแปดที่บ้านได้อย่างนี้ย่อมเป็นเป็นการดี เป็นบุญกุศลเป็นบารมีมากกว่า

ก็แปลกอยู่เหมือนกัน เมื่อใจข้าพเจ้าคิดได้ดังนี้ ใจก็เกิดความตั้งมั่นขึ้นอย่างแปลกประหลาด ประสงค์ที่จะถือศีลแปดในวันรุ่งขึ้นเลย ทดแทนวันพระที่ผ่านมาที่ไม่ได้ถือศีลแปด ประมาณกลางเดือนพฤษภาคม พ.ศ. 2551 แต่ก็หาได้ทำการสื่อสัมผัสกับสิ่งใดไม่.

 

            วันพระต่อมาปลายเดือนพฤษภาคม พ.ศ. 2551 ซึ่งตรงกับวันพระและวันวิสาขบูชาเป็นวันหยุดข้าพเจ้าถือศีลแปด ข้าพเจ้าและครอบครัวก็ไปทำบุญที่วัดในตอนเช้า เมื่อเป็นวันหยุดก็ย่อมมีเวลาว่างมาก ประมาณ 10.00 น ข้าพเจ้าจึงตั้งกติกาการสื่อสัมผัสขึ้นมาเพื่อเป็นสิ่งทดสอบ คือให้ภรรยาเข้าสมาธิวางใจเพื่อสื่อสัมผัส แต่ให้ข้าพเจ้าตั้งจิตอธิษฐานในใจโดยยกพระศรีรัตนตรัยเป็นสรณะเป็นเบื้องต้นแล้วข้าพเจ้าก็ตั้งจิตอธิษฐานในใจโดยที่ภรรยาข้าพเจ้าไม่ทราบเลย ว่าข้าพเจ้าอธิษฐานอะไร อย่างไร ให้ผู้ใดมาสื่อสัมผัส

 

ครั้งแรกข้าพเจ้ายกมือพนมแล้วกล่าววาจา “ข้าพเจ้าขอระลึกถึงคุณพระพุทธพระธรรมและพระสงค์ ข้าพเจ้าบูชาในพระพุทธพระธรรมและพระสงฆ์ ข้าพเจ้าศรัทธาในพระพุทธเจ้าและพระสงฆ์ ขอให้คำอธิษฐานในใจของข้าพเจ้าเป็นสัจจะเป็นจริงด้วยเทอญ”

แล้วข้าพเจ้าก็อธิษฐานในใจว่า “ขอให้ผู้ที่ได้รับพุทธพยากรณ์แล้วจากพระพุทธเจ้า ที่จะบรรลุธรรมในสมัยของข้าพเจ้าจึงมาสื่อสัมผัสกับภรรยาข้าพเจ้าได้อย่างเดียวเท่านั้น ส่วนท่านผู้อื่นขออย่าได้มาสื่อสัมผัสได้โดยเด็ดขาด” เมื่ออธิษฐานจบ ภรรยาก็สื่อสัมผัสกับผู้หนึ่งในทันทีและยิ้มแบบไม่เปิดปาก

ข้าพเจ้าจึงถามว่า “ท่านเป็นใครครับ

ผู้ที่มาสื่อสัมผัสก็บอกข้าพเจ้าว่า “เราเป็นพระพรหมผู้ที่ปรารถนาเป็นอัครสาวกมีปัญญาเลิศในสมัยของท่าน”

ข้าพเจ้าก็เกิดความประหลาดใจว่าตรงกับที่อธิษฐานได้อย่างไร ว่าต้องได้รับพุทธพยากรณ์แล้ว หลังจากนั้นข้าพเจ้าก็สนทนากับท่านเล็กน้อยก็จบกิจไป

แล้วข้าพเจ้าก็ให้ภรรยาวางใจแบบเดิม แล้วข้าพเจ้าก็กล่าววาจาและอธิษฐานแบบเดิม คราวนี้ก็มีผู้มาสื่อสัมผัส ข้าพเจ้าจึงถามว่า “ท่านเป็นใครครับ

ท่านผู้นั้นก็ตอบว่า “เราเป็นพระอินทร์ผู้ที่ปรารถนาเป็นอัครสาวกมีฤทธิ์เป็นเลิศในสมัยของท่าน”

ข้าพเจ้าก็นึกในใจว่า “อ้า... คราวนี้ไม่น่าถูกต้องเพราะพระอินทร์องค์นี้ท่านไม่ทราบมาก่อนว่าท่านได้รับพุทธพยากรณ์มาแล้ว แล้วมาสื่อสัมผัสได้อย่างไร” แต่ข้าพเจ้าก็หาทำให้ผิดสังเกต กลัวภรรยาจะรู้จึงสนทนากันเรื่องเล็กๆ น้อยๆ แล้วท่านก็จากไป

หลังจากนั้นข้าพเจ้าก็อธิษฐานแบบเดิม ให้ภรรยากำหนดจิตวางเฉยเพื่อสื่อสัมผัสแบบเดิม แล้วก็มีท่านใหม่มาสื่อสัมผัส เมื่อทักทายว่าเป็นใคร?

ท่านผู้นั้นก็บอกว่า “เราเป็นมหาเทพ ผู้ปกครองสวรรค์ส่วนหนึ่ง เป็นผู้ที่ได้รับพุทธพยากรณ์แล้วจากพระพุทธเจ้า จะได้เป็นพระอรหันต์ที่เป็นเอตทัคคะ และเรานี้เองเป็นผู้นิมนต์พระอรหันต์ให้มาช่วยชักนำชี้แนะท่าน”

ก็สนทนากับท่านเล็กน้อยท่านก็จากไป เพราะขณะนั้นข้าพเจ้าก็นึกไม่ออกว่าจะถามอะไรบ้างเพราะต้องการที่จะตรวจสอบทดสอบ

แล้วข้าพเจ้าก็กล่าววาจาและอธิษฐานแบบเดิม แล้วก็มีผู้มาสื่อสัมผัส เมื่อข้าพเจ้าทักทายว่าเป็นใคร ผู้มาสื่อสัมผัสตอบว่า

“เราเป็นองค์อมรินทร์อีกจักรวาลหนึ่ง เป็นผู้ ซึ่งได้รับพุทธพยากรณ์จากพระพุทธเจ้าแล้วว่า จะได้เป็นภิกษุเป็นเอตทัคคะ ในสมัยของท่านที่จะตรัสรู้”

ข้าพเจ้าก็หาได้สนทนาอะไรมากนัก เพราะก็ยัง แปลกใจอยู่ ในเรื่องพระอินทร์ที่ปรารถนาอัครสาวกเบื้องซ้ายเมื่อยังไม่ทราบว่าตนเองได้รับพุทธพยากรณ์แล้วหรือยังแต่กลับ สื่อสัมผัสได้อย่างไร คราวนี้ผมต้องเปลี่ยนคำอธิษฐานในใจใหม่ เพื่อตรวจสอบว่าเป็นจริงตามคำอธิษฐานในใจหรือเปล่าในครั้งนี้ว่า “ขออย่าให้ผู้ใดสื่อสัมผัสกับภรรยาข้าพเจ้าได้เลย”

หลังจากนั้นภรรยาข้าพเจ้าก็ยังนั่งหลับตานิ่ง แช่อยู่อย่างนั้นนาน จนเขาแปลกใจและลืมตาขึ้นส่ายหน้า แล้วบอกว่าไม่เห็นมีใครมาสื่อสัมผัสเลย ข้าพเจ้าก็ยิ้มแต่ไม่ได้พูดอะไรเลย แต่ก็คิดว่าพระอินทร์ท่านนั้นอาจจะได้รับพุทธพยากรณ์แล้วในสมัยพระพุทธเจ้าองค์อื่นในชาติเมื่อนานมาแล้ว ท่านจึงไม่รู้

หลังจากนั้นจึงบอกให้ลองกันใหม่โดยผมกล่าววาจา และอธิษฐานแบบเดิมเหมือนครั้งแรก คราวนี้ก็มีผู้มาสื่อสัมผัสได้ปกติ และทักทายว่าท่านผู้นั้นเป็นใคร

ท่านผู้นั้นก็ตอบว่า “เราคือผู้ที่จะได้เป็นอรหันต์เป็นเลิศในสมัยของท่าน และเราก็ได้รับพุทธพยากรณ์แล้วจากพระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบัน เป็นเลิศในการรักษาจิตได้อย่างยอดเยี่ยม”

ครั้งนี้ทำให้ข้าพเจ้าเฉลียวใจมากขึ้นเพราะได้ผ่านการทดลองไปแล้ว 1 ครั้ง จึงคิดในใจว่า เอ ทำไม? มีผู้ที่เป็นเอตทัคคะได้รับพุทธพยากรณ์ในสมัยข้าพเจ้ามากแล้วหรือ? แล้วข้าพเจ้าจึงถามว่า “ท่านเป็นเทวดาชั้นไหนหรือครับ

เทวดานั้นบอกว่า “เราเป็นเทวดาชั้นดุสิต”

ข้าพเจ้าถามต่อไปว่า “ตอนที่พระพุทธเจ้าทรงมีพระชนม์ชีพอยู่ พระองค์ทรงพุทธพยากรณ์ท่านว่าอย่างไร ผมอยากทราบครับ”

เทพองค์นั้นบอกว่า “พระพุทธเจ้าทรงตรัสว่า ท่านผู้นี้ต่อไปในอนาคตจะได้เป็นพระอรหันต์เอตทัคคะเป็นเลิศทางด้านรักษาจิตได้อย่างยอดเยี่ยม ในสมัยของพระพุทธเจ้านามว่า อเสติ”

หลังจากนั้นท่านก็จากไป หลังจากนั้นผมก็กล่าววาจา และอธิษฐานในใจต่อไป ก็มีท่านใหม่ มาสื่อสัมผัส เมื่อทักทายว่าท่านเป็นใคร

ท่านผู้นั้นก็ตอบว่า “เราคือผู้ที่จะได้เป็นอรหันต์เป็นเลิศในสมัยของท่าน และได้รับพุทธพยากรณ์แล้วจากพระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบัน”

ข้าพเจ้าถามไปว่า “ตอนที่พระพุทธเจ้าทรงมีพระชนม์ชีพอยู่ พระองค์ทรงพุทธพยากรณ์ท่านว่าอย่างไร ผมอยากทราบครับ”

เทพองค์นั้นบอกว่า “พระพุทธเจ้าทรงตรัสว่า ท่านผู้นี้ต่อไปในอนาคตจะได้เป็นพระอรหันต์เอตทัคคะเป็นเลิศทางด้านรักษาศีลได้อย่างยอดเยี่ยม ในสมัยของพระพุทธเจ้านามว่า อเสติ”

 

ขณะนั้นเวลาผ่านไปครึ่งชั่วโมงกว่า ก็คิดว่าเดี๋ยวลูกคงขึ้นมาเคาะประตูเรียก และภรรยาข้าพเจ้าก็เริ่มอึดอัดเพราะเขาไม่รู้เลยว่าข้าพเจ้าจะอธิษฐานอะไรบ้าง ข้าพเจ้าจึงให้ผ่อนคลาย จึงบอกภรรยาว่า ให้ลองตั้งจิตสื่อสัมผัสจิตกับ องค์อมรินทร์ที่ปรารถนาเป็นอัครสาวกเบื้องซ้ายดูสิ มีเรื่องจะคุยด้วย ภรรยาก็ทำการสื่อสัมผัส และท่านก็มา

ข้าพเจ้าจึงถามว่า “ตอนที่มาสื่อสัมผัสจิตครั้งแรก ท่านมาได้อย่างไร

ท่านก็งงๆ แล้วตอบว่า “ก็เรานึกประสงค์จะสื่อสัมผัสจิต สนทนากับท่าน ก็สัมผัสได้เลย”

ข้าพเจ้าจึงถามว่า “ท่านรู้หรือเปล่าว่า ผมอธิษฐานในใจว่าอย่างไร

พระอินทร์ก็บอกว่า “เราไม่รู้ได้”

ข้าพเจ้าจึงบอกว่า “ผมอธิษฐานในใจว่า ขอให้ท่านผู้ได้รับพุทธพยากรณ์จากพระพุทธเจ้าว่าจะได้บรรลุเป็นอัครสาวกหรือมหาสาวกผู้เป็นเลิศในสมัยของผมเท่านั้นสามารถสื่อสัมผัสได้”

ข้าพเจ้าจึงพูดต่อ “ถ้าเป็นจริงแล้วท่านสามารถสื่อสัมผัสได้ ดังนั้นท่านได้รับพุทธพยากรณ์แล้วนะสิ แต่คงไม่ใช่สมัยพระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบันท่านจึงระลึกไม่ได้”

พระอินทร์บอกว่า “สิ่งนั้นเราก็ไม่ได้ไปสนใจ แต่เมื่อเราได้อธิษฐานตั้งมั่นแล้ว เราก็หาได้คลอนแคลนในสิ่งใดแล้ว”

หลังจากนั้นก็จบการสนทนาการทดลองสื่อสัมผัสช่วงที่ 1 ในวันวิสาขบูชานั้น เพราะยังมีกังวลใจเรื่องลูกจะมารบกวน.

 

เมื่อถึงเวลาประมาณช่วง 15.00 น. ซึ่งลูกจะไปว่ายน้ำและเล่นกับเพื่อนที่สระว่ายน้ำ ในวันหยุดซึ่งเขาต้องใช้เวลาเล่นประมาณ 2-3 ชั่วโมง จึงได้โอกาส สื่อสัมผัสกันอีกครั้งหนึ่ง ครั้งนี้จึงใช้เวลายาวนานได้อย่างปลอดโปร่ง

และผมก็ได้อธิษฐานในใจเหมือนเดิมโดยที่ภรรยาไม่รู้เลยว่าผมจะเปลี่ยนคำอธิษฐานอย่างไรบ้าง ช่วงระยะแรกผมกล่าววาจาและอธิษฐานในใจแบบเดิม คือ ให้ผู้ที่ได้รับพุทธพยากรณ์แล้วและบรรลุในสมัยของข้าพเจ้าเท่านั้นมาสื่อสัมผัสได้ ตามลำดับ

ก็สร้างความแปลกใจของผมเป็นอย่างยิ่ง ทั้งท้าวมหาพรหมหรือมหาพรหม และเทพต่างๆ เป็นสิบกว่าท่าน ก็มาบอกให้ทราบว่า ท่านเหล่านั้นได้รับพุทธพยากรณ์แล้วในสมัยพระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบัน ที่จะได้เป็นพระอริยะผู้เป็นเลิศในสมัยของข้าพเจ้า ในนามว่า อเสติ บ้าง ในนามว่า อสิตะ บ้าง คือชื่อนามนั้นเสียงเพี้ยนกันอยู่ที่ อเสติ หรือ อสิตะ ข้าพเจ้าก็แปลกใจอยู่เหมือนกัน ทำไม? ชื่อออกเสียงไม่เหมือน ข้าพเจ้าเพิ่งกระจ่างเมื่อข้าพเจ้าได้ดู ทรูวิชันยูบีซี รายการสารคดีธรรมชาติช่อง 41 เรื่องลูกหมีในรัสเซีย ที่ภาคเป็นภาษาไทยเรียกลูกหมีกำพร้าตัวหนึ่งในสองตัวว่า “มิดชา” แต่เสียงในซาวด์แทรออกเสียงเป็น “มึสสึก” หรือ “มึสสึ..” ทำให้เข้าใจถึงการออกเสียงแต่ละถิ่นแต่ละภาษาก็ออกเสียงแตกต่างกันไป เพียงแต่เทียบเคียงให้พอเข้ากันได้.

ในบรรดาผู้ที่มากล่าวนั้นล้วนเป็นผู้ที่ได้รับพุทธพยากรณ์เป็น พุทธบิดา พุทธมารดา พุทธบุตร ผู้ทรงอภิธรรม ผู้ทรงธรรมกถึก ฯลฯ

แต่หาใช่ว่าข้าพเจ้าจะอธิษฐานในใจแบบเดียวตลอด น่าจะมีอยู่ครั้งหนึ่งที่อธิษฐานในใจว่า “ขอให้ผู้ที่ไม่ได้รับพุทธพยากรณ์เท่านั้นสื่อสัมผัสได้” ผู้ที่มาสื่อก็หาได้บอกให้ทราบเกี่ยวกับการได้รับพุทธพยากรณ์เลย แต่จะสนทนาเรื่องทั่วๆ ไป ก็จบกันไป.

เมื่อมีผู้มาสื่อสัมผัสหลายๆ ท่าน ประมาณยี่สิบกว่าท่าน ก็ใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมงกว่าเพราะสนทนาข้อปลีกย่อยด้วย ภรรยาจึงทนต่อความสงสัยไม่ได้ จึงพูดว่า “เซียม อธิษฐานอะไร? บอกบ้างสิ สงสัยจังเลยกลัวผิด ทำอย่างนี้มากแล้วเกิดความสงสัยไม่มั่นใจตัวเองเลย และก็เหนื่อยด้วย”

ข้าพเจ้าเห็นหน้าภรรยาแล้ว ท่าทางทนต่อความสงสัยต่อไปไม่ไหวแล้ว จึงต้องบอกความจริงที่อธิษฐานให้ทราบ และการอธิษฐานทดลองให้ทราบ

ภรรยาหน้าสลดลงแล้วพูดว่า “ไม่น่าสงสัยมากเลย ทำให้เสียกิจที่ควร ควรปล่อยให้เซียม ทำกิจให้เสร็จ”

ข้าพเจ้าก็บอกว่า “อือ.. แต่มันก็จบไปแล้ว ไม่เป็นไร”

 

แต่มีเรื่องพิเศษดังนี้ มีเทพพิลึก กายก็ใหญ่ใจก็มีกำลังกดหนักแน่นยิ่งนัก จนมนุษย์ที่มีกำลังสมาธิเพียงสัมผัสทางจิตก็มีโอกาสทำให้ หัวใจวายหยุดเต้นได้ ก่อนที่จะสื่อสัมผัสจิตเต็มๆ ก็ส่งกระแสจิตสะกิดบอกก่อนแล้วว่า ถ้าสื่อสัมผัสจิตเต็มที่ อาจจะทำให้ร่างกายของผู้สื่อสัมผัสนั้นทนอยู่ไม่ได้ ทำให้หัวใจหยุดเต้นได้.

แต่เนื่องด้วยข้าพเจ้าและภรรยาไม่เคยมีประสบการณ์อย่างนี้และคิดว่าไม่น่าเป็นอะไร และคิดว่าสมาธิของภรรยาที่ฝึกมาก็มากพอแล้วไม่น่าจะเกิดอะไรขึ้น และเป็นช่วงที่สำคัญ ที่จะได้ทราบที่มาที่ไปอย่างชัดแจ้งมากขึ้น ข้าพเจ้าก็คิดว่าไม่น่าเป็นอะไร ภรรยาก็บอกว่าก็ลองดู แล้วเทพผู้นั้นจึงสื่อสัมผัสกันได้เต็มกำลัง ที่สามารถกล่าววาจาได้แล้วกล่าววาจาให้ข้าพเจ้าทราบว่า

"เราเป็นมหาเทพที่มีจิตใจยิ่งใหญ่หนักแน่นดังภูผายิ่งกว่าเทพใดๆ ได้รับพุทธพยากรณ์จากพระพุทธเจ้าแล้วว่า จะได้เป็นเอตทัคคะสาวกผู้มีจิตใจยิ่งใหญ่หนักแน่นดังภูผา ในสมัยของท่าน"

แล้วเทพนั้นก็รีบถอนออกทันที แต่ภรรยาข้าพเจ้าต้องเอามือจับหัวใจตนเองตัวอ่อนพิงหัวเตียง หน้าและปากซีดเผือดลง หายใจแรงและถี่อยู่พักหนึ่ง พูดอะไรไม่ได้จุกและแน่น ตอนนั้นข้าพเจ้าหน้าเสียเลยครับ กลัวว่าภรรยาจะเป็นลมหมดสติ และหัวใจวาย เพราะภรรยาเป็นโรคความดันสูง และมีโรคหัวใจร่วมอยู่ด้วย.

เมื่อเวลาผ่านไปสักพักอาการต่างๆ ทุเลา ภรรยาก็บอกให้ฟังว่า ขณะที่เทพนั้นมาสื่อสัมผัสแบบเต็มๆ นั้น ภรรยาไม่สามารถหายใจได้เลย ร่างกายโดนกดดันทุกทิศทุกทาง ต้องฝืนและกลั้นใจตนเองเป็นที่สุด แทบจะทนไม่ได้ ดีที่เทพนั้นรีบกล่าวและรีบถอนออกไป.

 

เมื่อเป็นดังนี้ข้าพเจ้าก็ย่อมสงสัยต่อว่า ในเมื่อมีผู้ได้รับพุทธพยากรณ์เป็นพระเอตทัคคะแน่นอนแล้วอย่างมากท่าน ก็หมายความว่าระยะเวลาที่เหลือในการสร้างบารมีของข้าพเจ้าอย่างมากที่สุดก็เหลือประมาณเศษแสนมหากัปเท่านั้นเอง

เมื่อหมดกิจกับผู้ที่ปรารถนาตั้งมั่นแล้วจึงสื่อสัมผัสกับเทพพระอรหันต์ จึงถามท่านว่าเป็นเรื่องอะไรกันแน่

ท่านจึงตอบว่า “ในกัปนี้มีพระพุทธเจ้าบังเกิดขึ้นแล้วถึง 4 พระองค์ และเป็นกัปที่ผู้ร่วมสร้างบารมีกับโพธิสัตว์น้อยเริ่มได้รับพุทธพยากรณ์กันจำนวนหนึ่งแล้ว และที่เหลือจะได้รับพุทธพยากรณ์ทั้งหมดในสมัยของพระศรีอริยะเมตไตรยพุทธเจ้าเป็นองค์สุดท้าย ก็จะไม่มีอีกแล้ว เพราะถ้าเป็นในพระพุทธเจ้าองค์ต่อไม่ก็ไม่มีเวลาเหลือที่จะสร้างบารมีได้แล้ว ”

ข้าพเจ้าจึงถามต่อไปว่า “อย่างนั้นเวลาที่เหลือในการสร้างบารมี ก็ประมาณเศษแสนกัปสิครับ”

ท่านก็ตอบว่า “เป็นเช่นนั้น โพธิสัตว์น้อย”

 

หมายเหตุ ข้าพเจ้ามีข้อสังเกตว่าสามารถพิจารณาตามเงื่อนไขได้ อีกอย่างหนึ่งว่า ถ้าสิ้นกัปปัจจุบันแล้ว เป็นสูญกัปเป็นเวลายาวนานมากเกินแสนกัปไปมากๆ หรืออาจถึงอสงไขย โดยไม่มีพระพุทธเจ้าบังเกิดขึ้น และหลังจากนั้นมีพระพุทธเจ้าบังเกิดขึ้น 1 พระองค์ แล้วหลังจากนั้นไปไม่กี่หมื่นกัปก็ถึงสมัยข้าพเจ้า(วิเคราะห์ตามนิมิตที่ปรากฏกับข้าพเจ้า) นั้นย่อมหมายความว่า ผู้ที่จะมาเป็นพระเอตทัคคะสาวกในสมัยข้าพเจ้า ก็จำเป็นต้องได้รับพุทธพยากรณ์ในกัปปัจจุบันนี้เท่านั้นจึงจะทันการในการสร้างสมบารมี เพราะเลยจากกัปนี้ไปแล้วจะเป็นสูญกัปเป็นเวลายาวนาน ถึงจะมีพระพุทธเจ้าอีกพระองค์หนึ่ง แต่ห่างจากสมัยข้าพเจ้าไม่นานนัก ที่เหล่าพระเอตทัคคะสาวกได้รับพุทธพยากรณ์ครั้งแรกกับพระพุทธเจ้าองค์นั้นแล้วสามารถสร้างบารมีได้ทันการ เพราะช่วงห่างกันไม่ถึงแสนกัป. วิเคราะห์ได้จากในอดีตที่ผ่านมานั้นได้บังเกิดมีพระพุทธเจ้าห่างกันที่เป็นสูญกัปถึง 1 อสงไขย แต่เมื่อมีพระพุทธเจ้าองค์ใหม่อุบัติขึ้น พระองค์ก็จะมีพระอัครสาวกและพระเอตทัคคะสาวกบังเกิดตามอย่างพร้อมเพียง ก็หมายความว่าพระเอตทัคคะสาวกต่างๆ ได้รับพุทธพยากรณ์จากพระพุทธเจ้าองค์สุดท้ายจนหมดสิ้นก่อนสูญกัปถึง 1 อสงไขย ที่ไม่มีพระพุทธเจ้าอุบัติขึ้นเลยในช่วง 1 อสงไขยนั้น.

เพราะจากหลักการที่ประมวลตามที่พระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบันตรัสไว้ว่า พระเอตทัคคะสาวกได้รับพุทธพยากรณ์เป็นครั้งแรกและต้องสร้างบารมีต่อจากนั้นอย่างน้อยหนึ่งแสนกัป และพระเอตทัคคะสาวกของพระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบันนี้บางท่านได้รับพุทธพยากรณ์ในครั้งแรกเป็น อสงไขยก็มี

แต่เมื่อพิจารณาดูคำบอกกล่าวของพระอาจารย์ และนิมิตที่ปรากฏกับข้าพเจ้าในสมาธิ บวกกับสภาวะผู้แวดล้อมต่างๆ บอกให้ทราบนั้น ในสมัยของข้าพเจ้านั้น ก็คงไม่ยาวนานถึงอสงไขย และไม่เกินแปดแสนมหากัปจากนี้ไป อย่างน้อยสุดก็ประมาณแสนมหากัป ไม่ต่ำไปกว่านี้.

 

หลังจากนั้นก็จบการสนทนา และกาลเวลาต่อจากนั้นเสมือนภาวะเช่นนี้ ได้เกิดขึ้นอย่างสมบูรณ์แล้ว ใจของข้าพเจ้าก็เต็มอิ่มด้วยตัวของมันเองจนหมดสิ้น โดยไม่มีสิ่งใดที่ต้องสืบค้นอีกแล้ว ข้อมูลได้หลั่งไหลให้ทราบจนสมบูรณ์หมดสิ้นแล้วในช่วงเวลา 25 ปี ที่ข้อมูลทยอยให้ทราบ ใจก็สงบไม่ต้องดิ้นรนหาสาเหตุอีกต่อไปแล้ว ภาวะต่างๆ ก็สงบเป็นปกติ ดำรงไปตามวาสนาบารมี ในการสร้างบุญกุศลและบารมีต่อๆ ไปตามลำดับ.

การสร้างบารมีของข้าพเจ้านี้ เข้ามาสู่ในเศษแสนกัปแล้วเป็นอย่างน้อย ตามข้อมูลที่ได้มาตลอดทั้ง 20 กว่าปี มีผู้ร่วมสร้างบารมีได้รับพุทธพยากรณ์แล้วจำนวนหนึ่งที่เกือบสมบูรณ์แล้วในกัปนี้ ทั้งพุทธบิดา พุทธมารดา พุทธบุตร ฯลฯ ในสมัยที่ข้าพเจ้าจะตรัสรู้นั้น จะเป็นพระโพธิสัตว์นามว่าสุภัคทะ มีโคตรนามว่า อเสติ หรือ อสิตะ หรือมีนามว่า พระอเสติพุทธเจ้า หรือสุภัคทะโพธิสัตว์หรือพระสุภัคทะพุทธเจ้า

แต่ข้าพเจ้าก็ไม่หลงตนเองและหลงยึดมั่นในข้อมูลนั้น ซึ่งอาจจะผิดหรือคลาดเคลื่อนได้อยู่เหมือนกัน เพราะข้าพเจ้าเห็นและเข้าใจ อนัตตา(ความไม่เป็นตัวไม่เป็นตน) ความไม่ยึดมั่นถือมั่น ความเป็นเช่นนั้นเอง มีสติอยู่กับปัจจุบันโดยส่วนมาก

ช่วงที่เกิดภาวะสับสน เรื่องที่มีผู้อธิษฐานติดตาม จนใจของข้าพเจ้ากวัดแกว่งมาก และกินเวลาติดต่อยาวนานเป็นเวลาหลายเดือน ทำให้สติปัญญาข้าพเจ้าต้องสรุปและหาหลักที่จะดำเนินเป็นปกติสุขให้ได้ จึงได้แต่งกลอน ชุดแรกดังนี้

 

เมื่อรู้ว่า ยังอีกสามสมัย                         ยังอยู่ไกลถึงแสนมหากัป

จึงน้อมใจสันโดษและระงับ                            วางใจดับปรารถนาผู้ติดตาม

เพราะยังมีพุทธศาสตร์ดำรงอยู่                         มีครูผู้สอนธรรมพ้นจากกาม

ให้เขาเหล่านั้นวิมุตหลุดพ้นตาม                      พุทธญาณในกาลปัจจุบัน

 

จึงไม่ควรโน้มน้าวกล่าวชักชวน         ธรรมล้วนล้วนนั้นเหละจะจัดสรร

เมื่อยังไม่พ้นวาสนาต้องกัน                             บารมีนั้นย่อมนำทาง

หาได้ล่วงเลยจากสมัยเรา                                 ด้วยบารมีเขาเข้าสู่ทาง

เมื่อให้ธรรมกิเลสย่อมเบาบาง                          เขาย่อมถางกิเลสนั้นจนสิ้นไป

 

ปัจจุบันเพียงให้ธรรมเป็นทาน             ให้สืบสานอยู่ในธรรมไม่ไถล

เกิดปัญญาในธรรมไม่ห่างไกล                        ให้พ้นภัย สู่ทางสุขคติ

เทพเทวามากมายมีวาสนา                               ร่วมชาติกันมาสัมพันธ์อย่างใกล้ชิด

รู้ตนด้วยอภิญญาความเป็นทิพย์                      มาสถิตอธิษฐานร่วมสร้างบารมี

 

ชุดที่ 2 เป็นกลอน 6 ดังนี้

 

รู้ว่ายังอีกสามสมัย                    ยังอีกไกลหนักนา

เป็นแสนกัปนับเวลา                แต่เหล่าเทวาเฝ้าติดตาม

มีมากมายเหลือคณา                 เรานี้หนาสุดต้านทาน

ต่างก็มีปัญญาญาณ                  กลับอธิฐานตามมากคน

เป็นเรือนแสนที่อธิฐาน            คำทักทานไม่เป็นผล

เมื่อจิตเขาเห็นเป็นกุศล            เราก็จน ปล่อยตามใจ

อันเราเองก็กลัวหลง                กลัวจมลงกับตัณหาภายใน

จึงไม่พูดชักชวนผู้ใด               ใครมีใจ อธิฐานเอา.

 

แต่เมื่อเกิดมีจำนวนผู้อธิษฐานตามมากมายขึ้นใจก็เกิดตัณหาหวั่นไหวจึงเกิดกลอนส่วนนี้

 

เมื่อเข้ามากันมากครั้ง              ใจเราสุดยั้ง อยากมีเพิ่ม

แล้วเหล่าเทพได้กล่าวเติม       ว่ามีเพิ่มอีกมากมาย

ให้ถือศีลแปดบ่อยครั้ง                         ก็จะยังตามอีกมากหลาย

แต่ใจเราคิดกลับกลาย                         นี้เป็นที่หมายของตัณหา

มันจะพอกพูนจนหลง                         เราก็คงจม หลงศักดา

ไม่ต่างกับผู้อื่นนั้นหนา            แสวงหาอัตตา บริวาร

สิ่งเหล่านี้เกินรู้เห็น                  เกินประเด็นที่จะสืบสาน

จึงมีสติ พิจารณาญาณ                         ปล่อยตามกาลของเหตุ ไม่หลงตาม

 

จึงเกิดสติปัญญาว่าจะทำอย่างไรต่อไปเพื่อให้ดำรงตนได้อย่างปกติสุข จึงเกิดกลอนชุดนี้

 

สิ่งบังเกิดเป็นภพอื่น                ไม่ควรตื่นให้สับสน

มีสติรู้ไม่ปะปน                                    แยกแยะจนไม่วิปลาส

เราเป็นมนุษย์มีธรรมมา                       ตัณหาไม่พา จนผิดพลาด

รู้ฐานะจึงไม่ประหลาด                        ย่อมฉลาด นำจิตอย่างถูกทาง

 

สิ่งที่ควร ต้องกระทำ               คือให้ธรรม เป็นธรรมทาน

ธรรมนั้นแหละจะสืบสาน                   จะเบ่งบานในใจเขา

ดำเนินตามธรรมจัดสรร                       เป็นประกันไม่ต้องเขลา

เมื่อจิตเขายังไม่พ้นเบา                         ในสมัยเราคงพ้นได้.

 

ทบทวนสรุปของเรื่องอีกครั้ง

ตลอดเวลาที่ผ่านมา 20 กว่าปี(เริ่มเมื่อ พ.ศ. 2529) เรื่องพิสดารต่างๆ และข้อมูลต่างๆ ปรากฏให้ชัดเจนขึ้นตามลำดับ เกิดปมแล้วคลายปมเพื่อให้ทราบฐานะของตนเอง โดยที่จิตสำนึกของตนเองไม่เคยคาดคิดมากก่อน สรุปอีกครั้งดังนี้

ปี 2529 จิตใต้สำนึกปรากฏขึ้นมาเองถึงความตั้งมั่นปรารถนาเป็นพระพุทธเจ้า หลังจากนั้นทั้งญาณแห่งตน และเทพเทวดา ต่างบ่งบอกให้ทราบว่า เป็นพระโพธิสัตว์ที่เที่ยงแท้แน่นอนแล้ว(นิยตโพธิสัตว์) และภายหลังพระอาจารย์ใช้อภิญญาดูอดีตชาติให้ ถึงสมัยพระกัสสปะพุทธเจ้า ว่าได้พุทธพยากรณ์แล้ว

ปี 2531 จากการที่สามารถสนทนากับโอปปาติกะเทพและพรหมได้ ทำให้ทราบว่าปรากฏมีพระพรหมผู้ที่ปรารถนาเป็นอัครสาวกเบื้องขวามีปัญญาเลิศ ที่ได้รับพุทธพยากรณ์แล้วและในสมัยของพระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบันในสมัยที่ท่านได้บวชเป็นพระภิกษุอยู่ และทราบว่าคู่บารมี(นางแก้ว)ก็ได้รับพุทธพยากรณ์

ด้วยญาณและการบอกกล่าวของเทพพรหมและพระอาจารย์รู้ว่าตนได้สร้างบารมีมายาวนานจนได้รับพุทธพยากรณ์แล้ว แต่พอมีผู้ปรารถนาอัครสาวกเบื้องขวามีปัญญาเลิศปรากฏและบอกว่าท่านได้รับพุทธพยากรณ์แล้ว จึงทำให้รู้ตัวเองว่า จะต้องวนเวียนในวัฏสงสารอย่างมากสุดก็ไม่เกิน 1 อสงไขยกับเศษแสนกัป ตามตำรา จึงเบาใจไปเปราะหนึ่ง และมีโอปปาติกะเทพและพรหมมาอธิษฐานปรารถนาเป็นมหาสาวกผู้เป็นเลิศอีกประมาณสิบท่าน

ปี 2532 เนื่องจากประสบความทุกข์มาก และพระอาจารย์ได้มรณภาพไปแล้ว จึงทำการพิสูจน์เรื่องพุทธภูมิอย่างเด็ดขาดอีกครั้ง คือวัดด้วยการปฏิบัติธรรมโดยตลอด ปฏิบัติธรรมอย่างละเอียดรอบคอบต่อเนื่อง ไม่พยายามแต่กระทำไม่หยุดไปเรื่อยๆ ไม่เพ่งมากแบบเหมือนที่ผ่านมา จนครบ 5 ปีในปี 2537 ก็เข้าสู่ที่สุดของวิปัสสนาญาณ(โคตรภูญาณ) ก็สามารถเลิกความปรารถนาพุทธภูมิที่ปรากฏให้เห็นในจิตสำนึกจนหมดสิ้น คือไม่มีให้เห็นในจิตสำนึกที่ต้องให้ปรุงแต่งในเรื่องพุทธภูมิ ไม่ยึดมั่นถือมั่นในสิ่งทั้งปวง เห็นเป็นเช่นนั้นเอง ใจมีความเบาไกลจากความทุกข์ที่เคยเป็นอยู่อย่างมาก เป็นเวลาติดต่อกันยาวนานไปอีก 5 ปี เป็นอันว่าในเวลา 11 ปีนี้เป็นช่วงล้างความปรารถนาและความยึดมั่นถือมั่นในพุทธภูมิและพิสูจน์ตนเองอย่างสมบูรณ์ แต่ไม่เคยไปอธิษฐานลาตามที่ได้อธิษฐานไว้ เพราะเห็นว่าไม่สำคัญและจะพิสูจน์ด้วยการปฏิบัติธรรมให้ถึงที่สุด

ปี 2541 สิบเอ็ดปีหลังจากการพิสูจน์ตนเองจนพุทธภูมิไม่หลงเหลือในจิตสำนึกอีกแล้ว ไม่ยึดมั่นไม่ปรุงแต่งไม่สานต่ออีกแล้วในจิตสำนึก เหมือนดังก่อนปี 2528 ที่ไม่ได้ไปสำคัญมั่นหมายพุทธภูมิเลย เพราะไม่สนใจ จึงประสงค์ละกิเลสและนำพาครอบครัวให้เจริญขึ้นตามหน้าที่และเจริญปัญญาเสียมากกว่า แต่ก็เกิดเหตุการณ์พลิกความคาดหมายเมื่อความปรารถนาพุทธภูมิได้ผุดจากจิตใต้สำนึกอย่างรุนแรงด้วยปีติที่ไม่ได้คาดคิดในขณะที่ตื่นอยู่ปกติอยู่ ด้วยเพียงสักแต่พูดอุทิศส่วนบุญไปเท่านั้นเพื่ออาจจะช่วยบิดาที่ตายไปแล้วว่ากำลังจะไปเกิดเป็นอสุรกายแต่ขณะเดียวกันจิตก็คิดไปว่า “ถ้าให้พ่อพ้นจากทุกข์ แม้เราปรารถนาพุทธภูมิ ......... ก็ยอม” ความตั้งมั่นในความปรารถนาพุทธภูมิในจิตใต้สำนึกได้ช่องทันที ทะลักออกมาอย่างรุนแรงแผ่กระจายไปทั่วทั้งจิตสำนึกและอารมณ์ทั่วทั้งกาย ขณะที่เกิดภาวะอย่างนี้ใจหนึ่งก็ต้านและค้านอยู่ แต่ไม่สามารถระงับได้ จนต้องปล่อยความปรารถนานั้นที่เป็นปีติผุดจากจิตใต้สำนึกกระจายทั่วทั้งใจทั้งอารมณ์และกาย

เมื่อได้กลับมาพิจารณาทบทวนอย่างรอบคอบเรื่องพุทธภูมิต่างๆ ที่ผ่านมาอีกครั้งก็ทราบว่า ความตั้งมั่นปรารถนาพุทธภูมินี้ไม่ใช่เป็นตัณหาความอยากของจิตสามัญสำนึกเลยแม้แต่น้อย แต่สิ่งนี้นั้นฝังลึกติดแน่นอยู่ภายในจิตใต้สำนึก ที่ไม่สามารถใช้กำลังใดลบล้างได้อีกแล้ว จนจะสมบูรณ์ตามตั้งมั่นปรารถนาไว้

ปี 2542 – ถึงปี 2546 เมื่อความตั้งมั่นปรารถนาพุทธภูมิเป็นที่ยอมรับของจิตสำนึกแล้ว ข้อมูลพิสดารต่างก็เริ่มไหลมาให้ข้าพเจ้าทราบตามลำดับ จากการสื่อสัมผัสกับเทพและพรหมหรือพระอริยะที่เป็นเทพ

บ้างก็บอกว่าเหลือเวลาแค่เศษๆ เท่านั้นเมื่อเทียบกับเวลาที่สร้างบารมีที่ผ่านมาแล้ว

บ้างก็กำหนดให้ทราบตามที่ท่านพอรู้ แต่ท่านไม่สามารถดูไปถึงด้วยกำลังอภิญญาของท่านว่า เหลืออยู่ประมาณแปดแสนกัป

ด้วยการตรวจสอบด้วยญาณแห่งตนก็ทราบว่ายังมีพระโพธิสัตว์สร้างบารมีเต็มก่อนข้าพเจ้าอีก 2 ท่าน คือยังมีพระโพธิสัตว์ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าก่อนข้าพเจ้าถึงสองพระองค์จึงจะถึงสมัยของข้าพเจ้า

บางท่านก็บอกให้ทราบว่า สมัยที่ข้าพเจ้าตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้านั้น อายุเฉลี่ยของมนุษย์สมัยนั้น ประมาณ พันปี บางท่านก็ว่าประมาณ หมื่นปี บางท่านก็บอกว่าประมาณ สองหมื่นปี และจากการวิเคราะห์ตนเองและด้วยญาณแห่งตนก็ทราบว่า อายุขัยอยู่ที่ 10,000 ปี – 50,000 ปี อยู่ในช่วงนี้

เทพพระอรหันต์หลายๆ ท่านต่างบอกชื่อในสมัยที่ข้าพเจ้าได้ตรัสรู้ตรงกันว่า ชื่อ สุภัคทะ. จึงเข้าใจว่าชื่อ สุภัคทะพุทธเจ้า (แต่สมัยของพระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบัน มีชื่อว่า พระสิทธัตถะโพธิสัตว์ และ พระสมณะโคตมพุทธเจ้า หรือ พระโคดมพุทธเจ้าบ้าง หรือพระศรีศากยมุนีพุทธเจ้าบ้าง ในช่วงนั้นข้าพเจ้าหาได้สนใจหรือทราบ จึงเข้าใจว่ามีเพียงชื่อเดียว)

ปี 2547 ผู้ปรารถนาเป็นพระอัครสาวกเบื้องซ้ายมีฤทธิ์เป็นเลิศปรากฏ ปรารถนาให้ทราบต่อหน้า ต่อเทพพระอรหันต์ ต่อเหล่าเทพเทวดาทั้งหลาย ท่านมีฐานะเป็นองค์อมรินทร์ในจักรวาลอื่นๆ แต่ท่านปรารถนาเป็นพระโพธิสัตว์ในปัจจุบันชาติ เพียงแต่เมื่อได้เฝ้าติดตามดูข้าพเจ้ามาตลอดเป็นเวลานานเกิดความศรัทธาในกิจที่ข้าพเจ้าและภรรยากระทำอย่างต่อเนื่อง จึงเกิดความลังเลขึ้น และเมื่อได้มาลองใจข้าพเจ้าแล้ว ก็เกิดเปลี่ยนใจปรารถนาเป็นอัครสาวกเบื้องซ้ายมีฤทธิ์เป็นเลิศในสมัยของข้าพเจ้า รวมแล้วในช่วงนี้เหล่าโอปปาติกะเทพพระพรหมปรารถนาเป็นพระอริยะสาวกและมหาสาวกประมาณ สามหมื่นหรือสี่หมื่นท่านแล้ว คือรวมทั้งผู้ที่ติดตามมหาเทพของกลุ่มนั้นๆ แล้ว ที่มากล่าวบอกให้ทราบโดยประมาณ

ปี 2549 เกิดปรากฏการณ์ที่แปลกเป็นครั้งที่ 3 ที่มีผู้มาตั้งความปรารถนาติดตามเป็นมหาสาวก เมื่อมีมหาเทพต่างๆ มาแสดงตนอธิษฐานต่อหน้าปรารถนาเป็นพระมหาสาวกที่เป็นเลิศในสมัยของข้าพเจ้าอย่างมากท่าน ติดตามด้วยเหล่าบริวารของท่านที่ปรารถนาติดตามมหาเทพเหล่านั้นอย่างมากมายน่าจะเกินเรือนแสนไปแล้วไม่รู้เท่าไร เพราะเป็นกิจกรรมของแต่ละมหาเทพเองกับเทพบริวารของท่าน

ปี 2551 เป็นปีที่ข้าพเจ้าสามารถถือศีลแปดที่บ้านได้ในวันพระเป็นครั้งแรกหลังจากแต่งงานมาเป็นเวลา 20 กว่าปี และในวันวิสาขบูชา เป็นวันพระแรกที่ได้ถือศีลแปดที่บ้าน และข้าพเจ้าได้ทดลองกับภรรยา โดยข้าพเจ้าอธิษฐานในใจไม่บอกให้ภรรยาทราบ ว่าข้าพเจ้าต้องการให้ผู้ใดมาสื่อสัมผัส ข้าพเจ้าจึงอธิษฐานให้ผู้ที่ได้รับพุทธพยากรณ์แล้วจากพระพุทธเจ้า ที่จะได้เป็นมหาสาวกเป็นเลิศในสมัยข้าพเจ้าเท่านั้นที่สามารถมาสื่อสัมผัสได้ โดยที่ภรรยาไม่ทราบว่าข้าพเจ้าอธิษฐานอะไรแล้วเหตุประหลาดก็เกิดขึ้น ผู้ที่มาสื่อสัมผัส ต่างก็ทยอยมาสัมผัสแล้วกล่าวทำนองว่า เป็นเทพชั้น.. หรือเป็นพรหม มหาพรหม เราได้รับพุทธพยากรณ์แล้วในสมัยของพระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบัน ในสมัยที่เป็นภิกษุหรือภิกษุณี ว่าจะได้เป็นมหาสาวกเป็นเลิศทางด้าน.... ในสมัยพระพุทธเจ้ามีนามว่า อเสติ บางท่านก็ออกเสียงเป็น อสิตะ

การอธิษฐานไม่ใช่ว่าข้าพเจ้าจะอธิษฐานในใจเพียงแบบเดียว ข้าพเจ้าก็ได้ลองอธิษฐานแบบอื่นลองแล้ว ก็ได้ผลตามนั้น

 

ด้วยเหตุการณ์นี้ทำให้ข้าพเจ้าทราบแล้วว่า ข้าพเจ้ายังมีเวลาสร้างบารมีที่เหลือน้อยที่สุดประมาณเศษแสนมหากัปนับจากกัปนี้ไป. กว่าที่ข้าพเจ้าสามารถยอมรับและทราบฐานะนี้ได้ เพราะข้อมูลต่างๆ ค่อยทยอยมาเป็นเวลาถึง 20 กว่าปี จึงจะทราบชัดได้ แต่ถ้าเกิดมีเทพหรือพรหมบอกข้าพเจ้าตรงๆ ทั้งหมดทีเดียวเมื่อ 20 ปีที่แล้วข้าพเจ้าย่อมไม่เชื่อและจะปฏิเสธเสียมากกว่า

แต่เมื่อข้อมูลได้ปรากฏตามเหตุตามปัจจัยเกี่ยวเนื่องกันอย่างนี้ และข้าพเจ้าก็มีเวลามากพอเพื่อไตร่ตรองและทดสอบ เป็นเรื่องๆ ไป ให้ข้าพเจ้ายอมรับ ข้าพเจ้าจึงไม่สามารถปฏิเสธอย่างสิ้นเชิงได้. ก็ทำให้อดคิดไม่ได้ว่า เสมือนวาสนาบารมี หรือมีผู้อื่นหลายๆ ท่านที่เป็นเทพหรือพระพรหมกำลังประคองเพื่อให้เกิดภาวะเช่นนี้อยู่เบื้องหลังอย่างอดทน หรือคิดในทางกลับกันข้าพเจ้าเสมือนกำลังโดนต้อนให้ค่อยๆ ยอมรับในสิ่งต่างๆ เพราะจิตสำนึกที่มีความทุกข์มากมายและความต่ำต้อยในฐานะทางสังคมของข้าพเจ้าในชาตินี้ตั้งแต่เกิดจำความได้ จึงไม่ได้ไปคิดไปกล้าหวังปรารถนาพุทธภูมิเลย ทั้งๆ ที่ชีวิตวัยเด็กสัมผัสกับวัด กับพระ และฟังเทศน์บ่อยๆ แต่ประสงค์ที่จะเรียนทางวิทยาศาสตร์ เพราะด้วยความทุกข์มากมายจึงปฏิบัติธรรม ปรารถนานิพพาน เพื่อละและดับกิเลสเป็นอย่างยิ่ง.

สรุปฐานะตามข้อมูลต่างๆ

ยังเหลือเวลาอีกประมาณเศษแสนกัปเป็นอย่างน้อย

ยังมีพระโพธิสัตว์ตรัสรู้ก่อนหน้าอีก 2 พระองค์

มีพระมหาสาวกที่เป็นเลิศด้านต่างๆ ได้รับพุทธพยากรณ์แล้วในกัปนี้ และในสมัยพระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบัน เกือบเต็มจำนวน

ในสมัยตรัสรู้มนุษย์มีอายุขัยช่วง 10,000-50,000 ปี

มีนามว่า สุภัคทะ หรือพระอเสติพุทธเจ้า หรือพระอสิตะพุทธเจ้า ตามโคตรในสมัยนั้น หรืออาจจะนิยมเรียกว่าสุภัคทะพุทธเจ้า เป็นข้อมูลที่เกิดขึ้นเอง แต่เมื่อเปรียบเทียบก็ไม่ต่างจากพระนามของพระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบันที่เรียกพระนามได้หลายแบบคือ พระสิทธัตถะ พระโคตะมะพุทธเจ้า พระโคตมพุทธเจ้าหรือพระโคดมพุทธเจ้า หรือพระศรีศากยมุนีโคดมพุทธเจ้า

 

ข้อมูลต่างๆ ก็หลั่งไหลมาให้ทราบถือว่าสมบูรณ์ตามฐานะระดับหนึ่งแล้ว. จริงหรือเท็จก็หาควรยึดมั่นและถือมั่นเป็นอัตตา เพราะถ้าปรุงแต่งฟุ้งเฟ้อก็จะทำให้ขาดสติและเป็นทุกข์ได้เพราะความยึดมั่นและถือมั่น. และจะจริงหรือเท็จก็ไม่อาจสามารถรู้ได้อย่างแม่นมั่น รู้แล้ววางเพราะเป็นเพียงข้อมูลเท่านั้นเอง เป็นเช่นนั้นเอง และเรื่องเหล่านี้เกิดขึ้นไปตามเหตุปัจจัย ที่หนุนให้เป็นไปตลอดมากกว่าสิบปี เมื่อข้อมูลครบสมบูรณ์แล้ว ก็ค่อยคลายสงบไปดูเป็นเรื่องธรรมดา .

แต่การทำบุญให้ทานรักษาศีลปฏิบัติธรรม ก็ยังรักษาและปฏิบัติอยู่เป็นประจำ เพราะการอยู่ในธรรมจะยังความเจริญให้กับตนเองครอบครัวและบุคคลรอบข้าง ยังประโยชน์ปัจจุบันนี้และประโยชน์ภายภาคหน้าให้สมบูรณ์

จบบริบูรณ์