ชีวิตวัยมัธยมศึกษา

ข้าพเจ้าต้องหยุดเรียนไป 1 ปี ฝึกทำงานซ่อมวิทยุอยู่ที่บ้านกับพ่อ ส่วนฝึกตัดผมนั้นเนื่องจากข้าพเจ้ายังเด็กเกินไป และมีพี่ชาย 2 คนตัดผมอยู่แล้ว และได้ข่าวทางราชการอาจจะห้ามไม่ให้ตัดผมพ่อจึงหันมาประกอบอาชีพซ่อมจักรยานและก็เริ่มฝึกข้าพเจ้า ส่วนพี่สาวก็เปิดร้านตัดเย็บเสื้อผ้าผู้หญิงที่บ้านส่วนแม่ก็ค้าขาย

(เรื่องเล่าต่อไปโปรดอย่าได้ถือว่าอวดร่ำอวดรวยนะครับ เพราะจะเล่าไปตามความจริงที่ได้ประสบและจำนวนเงินที่มีนั้นถ้าเป็นสมัยนี้ก็ถือว่าไม่ได้มากเลยครับ เพราะมูลค่ามันลดลงตามกระแสของเงินเฟ้อ)

ถือว่าครอบครัวข้าพเจ้าไม่เคยขาดรายได้เลยมีฐานะการเงินมั่นคงมีเงินเก็บหลายแสน ติดอยู่ขั้นคนรวยในสมัยนั้นแต่ทำตัวอยู่อย่างคนจนๆ เพราะไม่เคยเอาเงินไปฝากธนาคารและการใช้จ่ายก็ใช้จ่ายอย่างประหยัดสุดๆ

ช่วงอยู่กับบ้าน 1 ปี หัดซ่อมจักรยานและวิทยุอยู่ พ่อกับแม่เริ่มเผยฐานะการเงินให้ข้าพเจ้าทราบตามลำดับ เพราะพี่ผู้ชายต่างไปทำงานเย็บผ้าในเมือง พี่จีนก็สติไม่ดี จึงบอกที่เก็บเงินและที่ซ่อนทองให้ข้าพเจ้าทราบทั้งหมด คือเงินใบละร้อยจะม้วนพับอย่างดีแล้วเก็บในกระป๋องยาสูบที่มีขนาดเท่ากระป๋องนมมีฝาสวมปิดได้อย่างมิดชิดกระป๋องใบหนึ่งเก็บได้หลายพัน มีอยู่หลายสิบกระป๋องซ่อนไว้ในลังถ่านสมัยนั้นยังหุงข้าวด้วยถ่านไฟจึงต้องซื้อมาตุนไว้ทีละลังใหญ่ๆ บ้างก็ซ่อนไว้ใต้เก้าอี้ตัดผมเก่า บ้างก็ซ่อนไว้ในกระสอบข้าวสารเก่าที่เก็บไว้ คือไม่มีใครคิดเลยว่าที่เหล่านั้นจะเป็นที่เก็บเงินหลายแสนบาท ส่วนทองแม่กับพ่อเริ่มซื้อสะสมทองตั้งแต่ทองบาทละ 400 บาท ส่วนมากจะเป็นทองแท่ง มีถึงเกือบ 50 บาท ท่านก็แบ่งใส่ห่อผ้าไว้ไปซ่อนไว้หลายที่ ในที่ๆไม่มีใครคาดคิดถึง

ถึงแม้พ่อแม่จะให้ข้าพเจ้าเห็นทรัพย์เหล่านั้นข้าพเจ้าก็เฉยๆ มันไม่มีค่าสำหรับข้าพเจ้า เพราะจิตใจของข้าพเจ้าอยากเรียนต่อในเมื่อไม่มีใครช่วยได้ ก็ต้องขอพระพุทธเจ้าช่วยคือไหว้พระสวดมนต์ก่อนนอนอธิษฐานทุกคืน แต่ในช่วงหนึ่งปีที่ไม่ได้เรียนนั้นข้าพเจ้าเริ่มจะติดการพนันแบบเด็กๆ เพราะในสมัยนั้นการพนันนั้นระบาดหนักในตำบลลำปำ เล่นเก็บสตางค์กันได้แม้กระทั่งเด็กเล็กๆ จนถึงผู้ใหญ่ เหมือนเป็นแหล่งเสรีในการเล่นพนัน ข้าพเจ้าเพียงแค่เริ่มติดเท่านั้น ข้าพเจ้าสามารถปั่นแปะ บังคับให้ออกหัวหรือก้อยได้ ถ้าปั่นสองเหรียญ ก็บังคับให้ออกกลาง หรือหัว หรือก้อยทั้งสองเหรียญได้ มีบางครั้งเล่นยี่สิบเอ็ด แล้วทุ่มเงินกันใครใจกล้ากว่าชนะ ข้าพเจ้าเคยมีแต้มเพียง 3 แต้ม ยังเอาชนะคนที่มีแต้ม 18 ได้ แต่เล่นการพนันทำให้เงินที่เก็บไว้ในวัยเด็กหายหมดเกลี้ยง นี่แหละการพนันไม่เคยเป็นทางที่ถูกที่ดีเลย มีแต่เสื่อมลงต่ำลง

 

ข้าพเจ้าก็ไม่ทราบว่าเป็นด้วยแรงอธิษฐานหรือเปล่าเพราะข้าพเจ้าไหว้พระสวดมนต์อธิษฐานทุกคืน และในปลายปีนั้น คุณครูบรรเลงที่สอนอยู่ในระดับประถม คิดที่จะเปิดโรงเรียนเอกชนระดับมัธยมขึ้นในตำบลลำปำซึ่งอยู่ใกล้บ้าน ข้าพเจ้าจึงอ้อนวอนขอร้องพ่อและแม่ อ้อนวอนแล้วอ้อนวอนเล่าว่า โรงเรียนอยู่ใกล้ค่าเล่าเรียนก็ไม่แพง กลับมาตอนเย็นหลังเลิกเรียน และเสาร์-อาทิตย์ ข้าพเจ้าก็สามารถช่วยงานทำงานให้พ่อได้ ลูกขอให้สัญญา จนพ่อใจอ่อนอนุญาตให้เรียนในปีถัดมานั้น ข้าพเจ้าก็เรียนได้ที่ 1 ของโรงเรียน ประมาณ 80 เปอร์เซ็นต์ ที่มี 2 ห้องเรียน แล้วในปีถัดมาเด็กที่จะมาสมัครเรียนในปีถัดไปมีน้อยมากเพราะชาวบ้านนิยมส่งลูกไปเรียนในตัวจังหวัดหมด โรงเรียนจำต้องปิดตัวลงที่เปิดเรียนได้เพียง 1 ปี เหมือนกับโรงเรียนแห่งนี้เปิดขึ้นมาด้วยแรงอธิษฐานของข้าพเจ้าเท่านั้นก็ว่าได้ ทั้งๆ ที่ภาวะสังคมขณะนั้นของตำบลลำปำไม่น่าจะเอื้ออำนวยให้เปิดโรงเรียนเอกชนระดับมัธยมได้ และก็คงไม่มีเด็กคนไหนที่จะมานั่งไหว้พระสวดมนต์และอธิษฐานต่อพระพุทธเจ้าทุกคืนทั้งปีที่หยุดเรียนอยู่ว่า “ขอให้ข้าพเจ้าได้เรียนต่อด้วยเถิด”

 

เมื่อโรงเรียนเอกชนในตำบลต้องปิดกิจการ ข้าพเจ้าก็ต้องย้ายไปเรียนในโรงเรียนเอกชนระดับใหญ่ของจังหวัดพัทลุง( ม.พ. โรงเรียนมัธยมพิทยาคม)ในขณะนั้น โดยที่พ่อไม่ได้ทัดทานคือปล่อยให้เรียนต่อไป อาจจะเนื่องด้วยข้าพเจ้าได้กระทำตามสัญญาที่ให้กับพ่อไว้คือช่วยงานพ่อตามปกติ เมื่อได้เข้าเรียนโรงเรียนแห่งใหม่ข้าพเจ้าก็สามารถเรียนได้ที่ 1 ของโรงเรียนเช่นเดิม ประมาณ 83 เปอร์เซ็นต์ ช่วงนี้พ่อกับแม่ได้ตกลงกับเพื่อนบ้านข้างๆ ว่าจะสร้างเป็นตึกแถวสองชั้น 4 ห้องเป็นตึกแถวชุดแรกที่เกิดขึ้นในตลาดลำปำ เป็นของครอบครัวข้าพเจ้า 2 ห้อง ส่วนอีก 2 ห้องเป็นของเพื่อนบ้าน ค่าใช้จ่ายในการสร้างตึกสองห้องสมัยนั้นเป็นเงิน 95,000 บาท ถ้าเป็นสมัยนี้ก็น่าจะ 5 - 6 แสน ชาวบ้านใกล้เรือนเคียงก็สงสัยกันใหญ่ว่าพ่อแม่ข้าพเจ้าไปเอาเงินมาจากไหน ตั้งเป็นแสนบาท แม่ของข้าพเจ้าเลยพูดแบบส่งๆไปว่า ได้มรดกมาญาติส่งมาให้ เพื่อกลบกระแสข่าวลือว่าเอาเงินมาจากไหน? ในตำบลลำปำ

แล้วตั้งแต่นั้นมาพ่อแม่ของข้าพเจ้าก็รู้จักเอาเงินฝากธนาคาร รวมๆ กันแล้ว 6-7 แสนบาท ไม่รวมทองแท่งที่ซื้อเก็บซ่อนไว้ โดยฝากธนาคารครั้งละหมื่นสองหมื่นแต่ละธนาคาร ทยอยทุกเดือนทั้งปี จะได้ทยอยรับดอกเบี้ย เพราะดอกเบี้ยเงินฝากสมัยนั้นแพงมาก คือร้อยละ 12 ต่อปี คิดดูสิครับ เงินเจ็ดแสนจะได้ดอกเบี้ย 84,000 บาทต่อปี เฉพาะดอกเบี้ยก็เหลือกินเหลือใช้แล้วในสมัยนั้น และด้วยการใช้จ่ายอย่างประหยัดตระหนี่ถี่เหนียวของพ่อกับแม่ แต่สามารถหาเพิ่มได้เรื่อยๆ จึงเอาดอกเบี้ยที่ได้รับรวมกับที่หาได้เพิ่มทบต้นไปเรื่อย เป็นอันว่าช่วงนี้ข้าพเจ้าก็ได้เงินรายวันไปโรงเรียนก็มากพอไม่อดอยากเหมือนตอนอยู่ชั้นประถมแล้ว เพราะได้ช่วยงานพ่อแม่ตามสัญญา และได้ค่าแรงจากการช่วยพ่อซ่อมรถจักรยานช่วงตอนเย็นและเสาร์-อาทิตย์ จนเศษสตางค์หนึ่งบาทหรือห้าบาทเก็บไม่เป็นที่เป็นทางในห้อง

แต่พ่อได้อุบเงินประมาณ 7 แสนบาททั้งหมดที่หามาทั้งพ่อและแม่เป็นของพ่อคนเดียว และบอกแม่ว่าเงินทั้งหมดเป็นของพ่อคนเดียวดอกเบี้ยทั้งหมดออกมาก็เป็นของพ่อ แม่โกรธอยู่หลายวัน หลังจากนั้นเมื่อขายของได้กำไรมาแม่ก็เก็บไว้เอง ภายหลังแม่รู้ว่าคนที่ไม่รู้หนังสือก็เปิดธนาคารได้ด้วยการแปะโป้ง แม่จึงไปเปิดบัญชีธนาคารได้และเริ่มเก็บเงินเป็นของตนเองตั้งแต่นั้นมา แม่เริ่มสนใจเรียนเขียนอ่านหนังสือ โดยข้าพเจ้าเป็นคนแนะนำสอนแม่ จนพออ่านเขียนได้

แม่บอกว่าช่วงนั้นขายของได้ดี เก็บเงินได้เป็นแสนเฉพาะส่วนตัวของแม่ ไม่เกี่ยวกับพ่อแล้ว และพ่อก็ออกลวดลายต่อคือแอบเอาทองไปขายได้เงินมาก็เอาไปฝากธนาคารในชื่อของพ่อทั้งหมด ตอนนี้พ่อก็มีเงินฝากธนาคารเกือบล้านแล้ว ตอนนี้พ่อเริ่มมีรายได้ลดลง เพราะไม่ได้ตัดผมและรายได้จากการซ่อมจักรยานและซ่อมวิทยุก็ไม่มากนักที่จะเหลือเก็บมากมายเหมือนสมัยก่อน เพราะเริ่มมีร้านอื่นเปิดขึ้นมาใหม่ร้านสองร้าน ดังนั้นเงินในธนาคารที่เพิ่มขึ้นก็เป็นเงินดอกเบี้ยที่ทบต้นไปเรื่อยๆ แม่จึงกันทองไว้เกือบ 20 บาทเป็นของแม่ไม่เช่นนั้นพ่อเอาไปขายหมดเพราะเห็นดอกเบี้ยธนาคารดี ภายหลังอีก 2-3 ปี แม่ได้เอาทองออกจากที่แอบซ่อนเมื่อประมาณ พ.ศ. 2522 (เรียนอยู่ ม.ศ.4-5) เพื่อตัดให้ข้าพเจ้าน้ำหนักประมาณ 50 สตางค์ไปทำแหวนใส่ โดยที่ข้าพเจ้าไม่เคยขอท่านเลย ข้าพเจ้าจะเล่าต่อเมื่อถึงช่วงเวลานี้อีกทีนะครับ

 

ข้าพเจ้าเริ่มได้อ่านหนังสือธรรมในห้องสมุด ได้อ่านหนังสือเกี่ยวกับพระอาจารย์มั่น จึงศรัทธาท่านมาก จึงเริ่มมีอุบายในการปฏิบัติสมาธิ โดยหายใจเข้าภาวนาว่า “พุทธ” หายใจออกภาวนาว่า “โธ” ก็คือใช้หลักภาวนา “พุท-โธ” นั่นเอง ข้าพเจ้าจึงนั่งสมาธิภาวนา “พุท-โธ” ตามลมหายใจเป็นประจำก่อนนอน

ช่วงเรียนชั้น ม.ศ.3 ข้าพเจ้าเริ่มอ่านหนังสือของ ม.ศ.4 เพราะต้องการสอบเทียบไล่รุ่นเดียวกันให้ทันที่ข้าพเจ้าหยุดเรียนไปหนึ่งปี จึงทำให้ผลการเรียนของข้าพเจ้าต่ำลงมาหน่อยหนึ่ง จาก 83 เปอร์เซ็นต์ เหลือ 78 เปอร์เซ็นต์ แต่ข้าพเจ้าก็ไม่คิดอะไรเพราะหวังจะสอบเทียบจบม.ศ.5 ไล่เพื่อนให้ทันเมื่อตอนขึ้นเรียน ม.ศ.4

ช่วงนี้ทางการก็ห้ามครอบครัวข้าพเจ้าตัดผมโดยเด็ดขาด พี่ชายทั้งสอง จึงไปเรียนตัดเย็บเสื้อผ้าผู้ชายในตัวเมือง เป็นอันว่ารายได้ที่จะเหลือเก็บของพ่อนั้นยุติลงอย่างสิ้นเชิง รายได้จากการซ่อมวิทยุและซ่อมจักรยานจักรยานสองล้อนั้น ก็เพียงพอใช้จ่ายในแต่ละเดือนเท่านั้นเหลือสะสมก็เพียงเล็กน้อย ส่วนอาชีพเป็นหมอเถื่อนของพ่อก็มีรายได้น้อยลงแทบจะไม่มีเพราะทางการแพทย์ได้เจริญเข้าถึงตำบลลำปำมากขึ้น เป็นอันว่ารายได้ที่มากมายของพ่อจึงหยุดอยู่เพียงแค่นั้น ส่วนรายได้จากการขายของชำของแม่ ดำเนินไปได้ตามปกติ ดังนั้นเงินเก็บสะสมของแม่ในธนาคารก็จะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ถึง 4 แสนบาท

เมื่อข้าพเจ้าจบ ม.ศ.3 จากโรงเรียนเอกชน ข้าพเจ้าก็เข้าเรียนในระดับมัธยมปลาย ม.ศ.4-5 ข้าพเจ้าก็สามารถเข้าเรียนในโรงเรียนรัฐบาลชายประจำจังหวัดพัทลุง( พ.ท.) โดยที่ไม่ต้องสอบเข้า เพราะมีผลการเรียนที่ดี ข้าพเจ้าเข้าเรียนสายวิทยาศาสตร์เรียกว่าโปรแกรม 1 แต่ข้าพเจ้ากลับอ่านหนังสือในชั้นที่สูงกว่า 1 ปี เพื่อเตรียมตัวสอบเทียบไล่เพื่อนให้ทันที่ข้าพเจ้าหยุดเรียนไป 1 ปี ทำให้ระดับผลการเรียนและเกรดเฉลี่ยในห้องเรียนของ ม.ศ. 4 ตกไปพอควรคือประมาณ 2.6-2.7 ซึ่งวิชา วิทยาศาสตร์ (เคมี ชีวะ ฟิสิกส์ คณิตศาสตร์ )+ภาษาอังกฤษ ข้าพเจ้าจะได้ เกรด 3 และมี 4 บางวิชา(และบางวิชาบางเทอมได้คะแนนสูงสุดของโรงเรียน เช่นฟิสิกส์) ส่วนวิชาที่เหลือนอกนั้นได้แค่เกรด 2 ตลอด ไม่เคยได้เกรด 1 สักตัวเดียว

ออ. สมัยนั้นนักเรียนที่เก่งที่ 1 ในห้องที่ได้เกรดเฉลี่ยถึง 3 มีเพียงคนเดียวหรือสองคนเท่านั้น ต่างกับสมัยนี้เกรด 4 หรือ 3 ได้เป็นสิบคนในแต่ละห้อง เพราะการตัดเกรดต่างกับปัจจุบันมาก คือสมัยนั้นยังอิงเปอร์เซ็นต์อยู่มาก และในช่วง ม.ศ. 4 ข้าพเจ้ามีความคิดแปลกดีๆ ขึ้นมาอีกว่า “เราจะต้องศึกษาค้นคว้า หาพลังงานแนวใหม่ที่ไม่เป็นอันตรายต่อมนุษย์ และสัตว์ เพื่อให้พ้นจากความทุกข์ ที่สามารถมีใช้ได้ไม่จำกัด”

ความคิดเหล่านั้นผุดขึ้นตามการศึกษาที่เพิ่มขึ้นและพัฒนามาจากวัยเด็ก ที่ผุดขึ้นมาเอง เหมือนมีการส่งต่อไปเรื่อยๆ ข้าพเจ้าเคยคิดถึงเครื่องยนต์ที่ใช้น้ำและการแตกตัวของน้ำในการขับเคลื่อนเมื่อปี พ.ศ. 2521 แบบเด็กๆ ปัจจุบันนี้ พ.ศ. 2550 ญี่ปุ่นคิดได้แล้ว ส่วนเครื่องยนต์ที่ใช้กำลังลม เยอรมัน และ ออสเตรเลีย คิดได้แล้ว ได้ความเร็วช่วง 60-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมง แต่ยังมีข้อจำกัดอยู่หลายอย่าง

 

เมื่อถึงวันที่จะไปสมัครสอบเทียบที่ศาลากลางจังหวัดพัทลุง ทางเจ้าหน้าที่ ที่รับสมัครสอบเทียบเมื่อเห็นเป็นนักเรียนเพราะแต่งชุดนักเรียนไปสมัครสอบ เจ้าหน้าที่จึงห้ามไม่ให้นักเรียนสมัครสอบ รู้สึกว่าจะเป็นปีแรกและปีเดียวที่ห้ามในช่วงนั้น สิ่งที่ข้าพเจ้าเตรียมมาทั้ง 2 ปีเป็นอันว่ามลายหายไป และเกรดสะสมของข้าพเจ้าทั้ง ม.ศ.4-5 จึงโดนดึงลงอย่างมากมาย เพราะเสียไปตอนช่วงเรียนอยู่ ม.ศ.4 ช่วงที่ข้าพเจ้าเรียน ม.ศ.4 - 5 ชาวบ้านต่างๆ ทราบชัดแล้วว่าบ้านข้าพเจ้ามีเงินมีฐานะ เพราะเมื่อเอาเงินฝากธนาคารก็ไม่สามารถปิดใครได้แล้ว และแม่ก็เก็บเงินฝากธนาคารจากการขายของได้เพิ่มขึ้น แม่จึงให้เงินข้าพเจ้าไปฝากธนาคารในชื่อข้าพเจ้า ครั้งละหมื่น สมัยนั้นเงินมีใบละร้อยเป็นส่วนมากใส่กระเป๋ากางเกงนักเรียนตุงเลยครับ แม่ให้เงินข้าพเจ้าฝากเงินถึง 3 หมื่น และฝากธนาคารที่เป็นสองชื่อกับแม่ที่เป็นประเภทฝากประจำอีกเกือบ 2 แสน

หลังจากนั้นแม่กับพ่อก็ปรึกษากันว่าควรค่อยๆ กระจายเงินฝากธนาคารเป็นสองชื่อกับลูกทุกคน จะได้ไม่เกิดปัญหาในภายหลังเพราะเห็นว่าลูกทุกคนซื่อๆ ไม่มีนิสัยขโมย พ่อจึงตัดสินใจไปเปิดบัญชีธนาคารกับข้าพเจ้าเป็นสองชื่อ แต่ค่อยให้เงินข้าพเจ้าไปฝากที่ละหมื่น ไม่น่าเชื่อว่าเงินที่พ่อแม่เก็บไว้ในกระปุกยาสูบตอนที่พ่อให้ข้าพเจ้าเห็นตอนจบประถม 7 เมื่อ 4-5 ปีมาแล้ว นั้นยังมีอยู่หลายกระปุก เป็นใบละร้อยเก่าๆ แบบที่นักสะสมชอบเก็บสะสม บางกระปุกใบละร้อยโดนแมลงกินกระดาษกินแหว่งไปบางส่วน เมื่อข้าพเจ้าเอาเงินไปฝาก พนักงานธนาคารเห็น ต่างก็แสดงความแปลกใจอย่างออกหน้าออกตา และพูดกับเพื่อนพนักงานด้วยกันว่า อือดูสิ. ใบละร้อยสมัยเก่าทั้งนั้นน่าจะแลกไปเก็บสะสมไว้ ส่วนข้าพเจ้าก็เฉยๆ และบางครั้งพ่อก็ไปเพิ่มให้เองจนเพิ่มเงินในบัญชีได้แสนกว่า แต่ก็มีเหตุที่พ่อได้เบรกและหยุดเอาเงินเข้าธนาคารให้ข้าพเจ้าอย่างสิ้นเชิง แล้วเริ่มถอนออก และข้าพเจ้าต้องอยู่อย่างอดอยากด้วยความเป็นคนซื่อและไม่คิดว่าเงินเหล่านั้นเป็นสิทธิของตนที่จะเบิกมาใช้ได้ ข้าพเจ้าจึงไม่เคยแตะเงินฝากส่วนนั้นอีกเลยทั้งของพ่อและของแม่ ข้าพเจ้าจะเล่าให้ฟังเพิ่มเติมเมื่อถึงช่วงนั้น

 

เมื่อใกล้จบมัธยมปลาย ม.ศ.5 ข้าพเจ้าก็สอบตรงเข้ามหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์( มอ.)ได้ในคณะวิทยาศาสตร์ แต่ข้าพเจ้าไม่สามารถเข้าเรียนได้เพราะหลักฐานไม่ถูกต้องเนื่องด้วยไม่มีสิทธิ์เข้าเรียนในระดับอุดมศึกษา ข้าพเจ้าแทบล้มทั้งยืนเมื่อได้ทราบในวันสัมภาษณ์ที่อาจารย์สอบสัมภาษณ์บอกให้ทราบ ต่อมาก็ไม่มีกำลังใจในการเรียนในการสอบปลายภาคที่จะจบ ม.ศ. 5 ทำให้เกรดออกมาไม่ดีฉุดเกรดเฉลี่ยลงไปอีกเหลือแค่ 2.69 และหมดใจในการสอบเอ็นทรานช์ใหญ่

( หมายเหตุ แต่ภายหลังลูกสาวของข้าพเจ้าได้แก้ปมเจ็บลึกๆ ที่ฝังใจตรงนี้ของข้าพเจ้าได้หมดสิ้นแล้วเพราะเขาสามารถสอบวิชาพื้นฐานทางการแพทย์ได้ถึง 64 เปอร์เซ็นต์ และสอบติดตรงคณะวิศวคอมพิวเตอร์ มหาวิทยาลัยมหิดลได้ หลังจากนั้นเขามีเวลาอีก 2 เดือน ที่สามารถเตรียมตัวเพื่อสอบเอาแพทย์ได้ แต่เขาไม่ประสงค์จะเรียนแพทย์เพราะไม่ชอบมาตั้งแต่เด็กตั้งแต่เห็นน้องป่วยเข้าโรงพยาบาลเป็นประจำและต้องเครียดกับโรคภัยไข้เจ็บ เขาตั้งใจเรียนที่ วิศวคอมพิวเตอร์ ที่มหิดลที่เดียว ข้าพเจ้าจึงบอกกับลูกสาวว่าอย่างนั้นก็ทำคะแนน o-net และ a-net ให้ดี ที่สามารถติดวิศวคอมพิวเตอร์ ในมหาวิทยาลัยที่เด่นกว่านี้ในทางวิศวคอมพิวเตอร์ให้ได้ จะได้ไม่มีใครมาข่มทำให้เราหวั่นไหวได้ เมื่อได้มาทำงานร่วมกันว่าเราด้อยกว่าเขา เพราะเขาเรียนมหาวิทยาลัยที่เด่นกว่าในทางวิศวคอมพิวเตอร์ ถึงแม้เราจะตัดสินใจเรียนมหาวิทยาลัยมหิดลแล้วก็ตาม แล้วเขาก็สามารถสอบเอ็นทรานซ์ o-net ได้ประมาณ 75 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งผ่านเกณฑ์เบื้องต้นในการที่จะเรียนแพทย์ได้ตั้งมากแล้ว แต่เขายุติในการอ่านหนังสือเพื่อสอบ a-net เขาบอกว่าขี้เกียจเพราะตั้งใจเรียนวิศวคอมพิวเตอร์ที่มหิดลแล้ว ผลการสอบ a-net จึงลดลงมากว่าเกณฑ์ที่เขาน่าจะทำได้มากกว่านี้ แต่เมื่อรวมทุกอย่างแล้วเขาได้ ประมาณ 69.89 เปอร์เซ็นต์ หรือประมาณ 70 เปอร์เซ็นต์นั้นเอง แต่เขาไม่ยอมยื่นผลคะแนนต่อ สกอ. เพราะไม่อยากไปตัดสิทธิ์ผู้อื่น เพราะตั้งใจเรียนวิศวคอมพิวเตอร์มหิดลไม่เปลี่ยนแปลงแล้ว เมื่อทราบผลคะแนนสูงต่ำในภายหลังซึ่งก็พอรู้อยู่แล้วในผลคะแนนเมื่อปีก่อนว่าเขามีโอกาสติดอะไรได้บ้าง เป็นอันว่า เขาสามารถติดทั้งวิศวคอมพิวเตอร์ ม.เกษตร และม.พระจอมเกล้าลาดกระบัง และสามารถ ติดบัญชี ม.เกษตร และคะแนนเขาก็น่าจะถึงเภสัช )

เมื่อพ่อข้าพเจ้าทราบถึงปัญหาที่ไม่สามารถเรียนต่อได้ จึงห้ามข้าพเจ้าอย่างเด็ดขาดว่าห้ามเรียนต่อ แต่ข้าพเจ้าแอบขอแม่และมุ่งหน้าไปสมัครเรียนที่มหาวิทยาลัยรามคำแหง ตั้งแต่นั้นพ่อก็ระงับการเอาเงินเข้าบัญชีในชื่อข้าพเจ้ากับพ่อแถมยังโยกย้ายไปให้พี่คนอื่น จากแสนกว่าลดลงเหลือเก้าหมื่น ที่เหลือคงที่ไว้เก้าหมื่นเพราะแม่ได้พูดดักเอาไว้ว่า “ลำเอียงรักลูกไม่เท่ากัน” แต่ข้าพเจ้าก็หาได้สนใจไม่ ได้ติดต่อกับเพื่อนชื่อโดก ที่เรียนอยู่คณะนิติศาสตร์มหาวิทยาลัยจุฬาลงกรณ์ ปีที่ 1 คือขอไป(สิง)อยู่หอพักเจ้าโดกที่จุฬา และให้เพื่อนพาไปสมัครเรียนที่มหาวิทยาลัยรามคำแหง เมื่อถึงเวลายื่นใบสมัครให้อาจารย์ดู (สมัยนั้นปีการศึกษา พ.ศ. 2522 อาจารย์เป็นผู้รับสมัครเอง) อาจารย์ก็ยื่นใบสมัครกลับคืนแล้วพูดว่า “คุณไม่มีสิทธิ์เรียนในระดับอุดมศึกษา” ข้าพเจ้าหมดอาลัยแทบล้มทั้งยืน เมื่อหันไปมองหน้าเพื่อน ที่ยืนอยู่ข้างๆ สีหน้าเขาก็มีความผิดหวังและผิดคาดอย่างแรง ข้าพเจ้าต้องกลับบ้านเกิดอย่างคอตก

กลับมาบ้านพ่อก็ซ้ำเติมอีกว่า “จะไม่ให้เรียนต่อโดยเด็ดขาด” ข้าพเจ้าต้องทำงานซ่อมจักรยาน ปะยางที่บ้าน และช่วงนี้ ข้าพเจ้าเริ่มหันไปติดการพนันอีก เคยเล่นไพ่ดัมมี่ และสมสิบ เสียเงินเป็นร้อยๆ เพราะมีรายได้จากการทำงานที่บ้านเพราะพ่อแบ่งค่าแรงให้ เล่นแบบข้ามคืนข้ามวันไม่ยอมนอนในวันสงกรานต์เรียกว่า วันว่างมี 3 วัน เพราะในสมัยนั้นวันสงกรานต์เขาจะปล่อยให้เล่นการพนันกันโดยตำรวจไม่จับ หิวก็สั่งอาหารมากินโดยพ่อแม่และพี่ๆ ไม่รู้เลย แต่เรื่องอธิษฐานเพื่อเรียนต่อข้าพเจ้าอธิษฐานไหว้พระสวดมนต์ก่อนนอนเป็นประจำ และช่วงเข้าพรรษาก็ไปฟังเทศนาที่ศาลาเป็นประจำ และช่วงเย็นๆ ข้าพเจ้าก็ชอบถีบจักรยานไปที่ชายทะเลลำปำเป็นประจำเพื่อระบายความเศร้าของตนเองด้วยการมองท้องฟ้าและสุดขอบทะเล สังเกตเห็นปลาตัวเล็กว่ายอยู่ วันหลังจึงเอาขนมปังให้ปลากิน เมื่อให้หลายวันจำนวนปลาก็มากขึ้น แต่ความรู้สึกคำนึงของข้าพเจ้านั้นอมทุกข์อยู่ตลอดเวลาเรื่องการอยากศึกษาต่อ

หลังจากนั้นพ่อส่งข้าพเจ้าไปฝึกซ่อมจักรยานยนต์ในตัวจังหวัดข้าพเจ้าก็เริ่มหลุดพ้นจากการติดหนึบเรื่องการพนัน ภายหลังก็ฝึกพ่นสีรถยนต์ และข้าพเจ้าได้เงินเดือนค่าจ้างในการเป็นเด็กซ่อมจักรยานยนต์เดือนแรกในชีวิต 400 บาท โอ้... ดีใจแทบแย่เลย เป็นอันว่าข้าพเจ้าหาได้ติดการพนันจริงๆ เพียงแต่กลบเกลื่อนใจตนไม่ให้โหยหาสิ่งที่ต้องการเรียนหนังสือมากไปเท่านั้นเอง และเพราะอยู่ในถิ่นใกล้สิ่งยั่วยุ ก็จะไปคลุกอยู่กับมันเท่านั้น

แต่ด้วยจิตของข้าพเจ้ายังโหยหาเรื่องการศึกษาต่ออยู่ ในเมื่อไม่สามารถหาสิ่งใดช่วยได้ ก็ต้องอธิษฐานพึ่งพระพุทธเจ้าอีกเหมือนเดิม สวดมนต์ไหว้พระนั่งสมาธิ และอธิษฐานว่าขอให้ข้าพเจ้าได้ศึกษาต่อด้วยเถิด ก่อนนอนเป็นประจำตลอด เผื่อจะเกิดได้สมหวังดังที่ผ่านมาเหมือนตอนได้เข้าเรียนมัธยมต้นเมื่อ 6 ปีมาแล้ว

ข้าพเจ้าเป็นคนที่แปลกอย่างหนึ่งไม่ค่อยจะอธิษฐานขออะไร นอกจากเมื่อคราวจำเป็นไม่มีสิ่งอื่นใดทำได้แล้วเมื่ออธิษฐานแล้วจะประกอบด้วยการไหว้พระสวดมนต์นั่งสมาธิ และอธิษฐานสิ่งนั้นโดยตลอดก่อนนอนอย่างมั่นคง แล้วในคืนวันหนึ่งก่อนเปิดภาคเรียนของปีใหม่ ข้าพเจ้าก็ฝันว่า ได้มีราชรถมาเกยถึงหน้า แต่เห็นลางๆ หลังจากนั้นข้าพเจ้าก็ได้ช่องทางมีสิทธิ์ศึกษาต่อระดับมหาวิทยาลัยเป็นรายๆ ไป โดยน้าที่อยู่ในตัวเมืองพัทลุงเป็นผู้บอกข่าวให้ทราบ แต่เมื่อพ่อทราบเรื่องในวันที่น้ามาบอกข่าว พ่อทั้งพูดตำหนิและว่าน้าอย่างรุนแรง แล้วประกาศด้วยเสียงอันดังอย่างโกรธว่า “จะไม่ให้มันเรียนต่อโดยเด็ดขาด และจะขัดขวางไม่ให้เรียนต่อทุกอย่าง ไม่ต้องมาส่งเสริมมัน” น้าหน้าเสียกลับบ้านแทบไม่ทันเพราะความโกรธของพ่อ

เนื่องจากพ่อไม่ยินยอมข้าพเจ้าจึงจำเป็นต้องส่งหลักฐานที่มีเพียงแม่เป็นคนยินยอมส่งเสีย จึงยังไม่สมบูรณ์รออยู่เป็นเดือนกว่า ก็ไม่ได้ข่าวคราวการตอบรับ ข้าพเจ้าจึงไปหาเจ้าหน้าที่ เจ้าหน้าที่ก็บอกว่า มีหนังสือสอบถามมาแต่ยังไม่อนุญาต ข้าพเจ้าก็รู้ตัวว่าการได้รับใบอนุญาตนั้นคงยาก จึงขอถ่ายเอกสารที่ทางกระทรวงมหาดไทยสอบถามมาที่ยังไม่สมบูรณ์ไปก่อนเพื่อเอาไปสมัครสอบเอ็นทรานส์ ทางเจ้าหน้าที่ก็ให้เพราะเห็นว่าข้าพเจ้าเป็นเด็กดีมาตลอด

ส่วนแม่ที่จำเป็นต้องช่วยข้าพเจ้าทั้งที่รู้อยู่ว่าเรียนจบมาก็หาทำงานอะไรไม่ได้ เพราะมีสิ่งที่แม่กลัวมากกว่าสิ่งนั้นคือกลัวว่าข้าพเจ้าจะเสียสติเหมือนกับพี่ชายคนโต ช่วงนั้นเพื่อนๆ และเพื่อนรุ่นพี่ และคนทั่วไปในตำบลต่างก็บอกว่า อย่าฝืนไปเรียนต่อเลย เขาไม่อนุญาตให้เรียน ถึงเรียนก็ไม่ได้อะไร สมัครทำงานก็ไม่ได้ แต่ข้าพเจ้าก็หาได้ฟังและไม่สนใจ เพราะข้าพเจ้าตั้งใจว่า ข้าพเจ้าจะเรียนเพื่อความรู้และปัญญาเท่านั้น ส่วนเรื่องอื่นข้าพเจ้าหาได้สนใจ ในปีนั้นข้าพเจ้าก็ไปสอบเอ็นทรานส์เช่นกัน เพราะมีกำลังใจเต็มร้อย แต่ตลอดทั้งปีไม่เคยได้อ่านได้ทบทวนที่เรียนมาเลยต้องทำงานเสียมากกว่า และเนื่องจากทราบข่าวจากน้าก็ปลายปีใกล้จะสอบเอ็นทรานส์แล้ว จึงสอบไม่ติดแม้แต่ข้อเขียนเพราะเลือกคณะวิทยาศาสตร์ขึ้นไปที่จุฬาเป็นหลัก แต่ก็หาได้เสียใจเพราะเจตนาอยู่ที่ มหาวิทยาลัยรามคำแห่ง เพียงแค่ได้สิทธิ์เรียนต่อก็ยากนักหนาแล้ว