ชีวิตวัยประถม

เมื่อข้าพเจ้าครบวัยเรียนย่าง 8 ปี เกือบจะไม่ได้เข้าเรียน เพราะพ่อแม่ไม่สนใจให้ลูกเรียนและฐานะทาง กฎหมาย ถึงเรียนจบมาก็เอาความรู้มาหางานหาการทำอะไรไม่ได้ เมื่อถึงวันสุดท้ายของการสมัครเข้าเรียน เพื่อนของข้าพเจ้าได้สมัครเรียนหมดแล้ว ข้าพเจ้าจึงร้องไห้งอแงอยู่อย่างนั้นเพื่อให้แม่พาไปสมัครเรียน จนแม่ทนนั่งขายของอยู่ในตลาดไม่ได้ จำใจพาข้าพเจ้าไปสมัครเรียนโดยมีพิชัยไปเป็นเพื่อน ข้าพเจ้ากับพิชัยดองกันกลายเป็นเพื่อนเกลอ ถ้าข้าพเจ้าไม่ร้องงอแงคงจะไม่ได้ สมัครเรียนในปีนั้นแน่ และเมื่อแม่กำลังพาไปสมัครเรียนเดินไปตามถนนเกือบถึงทางเข้าโรงเรียนไม่รู้ว่างูตัวใหญ่มาจากไหนสีดำเลื่อยผ่านข้างหน้าจากขวาไปซ้าย และข้าพเจ้าก็ได้เรียนประถม 1. เหมือนเด็กทั่วไป แต่ข้าพเจ้าเรียนไม่เก่งเอาเสียเลย

ข้าพเจ้าจำได้ว่าตอน ป.1 นี้แหละช่วงวันหยุด ข้าพเจ้าขอสตางค์จากแม่ที่นั่งขายของอยู่ ซึ่งวันหยุดข้าพเจ้าจะไม่ได้สตางค์ กินข้าวที่บ้านอย่างเดียว 3 มื้อ แม่ก็ไม่ให้ ข้าพเจ้าเลยร้องงอแงอยู่อย่างนั้นเพื่อรบเร้าให้แม่ให้สตางค์ แม่ก็ไม่ย่อมให้ แถมยังตะโกนเรียกพ่อให้มาจัดการกับข้าพเจ้า พ่อถือไม้เรียวออกมาจากบ้าน ข้าพเจ้าจึงเริ่มวิ่งหนี ออกจากตลาดไปทางชายหาดลำปำ พ่อวิ่งไม่ทันข้าพเจ้าเพราะห่างกันมาก พ่อกลับไปบ้านไปเอาจักรยานสองล้อถีบไล่ตามข้าพเจ้า ข้าพเจ้าจึงวิ่งไปไกลครึ่งกิโลเมตรกว่าถึงโรงสีข้าว จึงไล่ทัน เมื่อไล่ทันข้าพเจ้าก็หยุด ให้พ่อตีเฉย โดนตีไปหลายทีแล้วจับข้าพเจ้าให้นั่งซ้อนท้ายจักรยานสองล้อกลับบ้าน ตกตอนเย็นแม่ก็ทายาหม่องที่โดนตี แต่ทาไปโดนว่าไปด้วยความโกรธของแม่ แถมทาไปบางครั้งเอานิ้วจิ้มหลังแบบแรงๆ อีก

จำไม่ลืมเลยครับว่าถ้าขอสตางค์จากแม่ถ้าแม่ไม่ให้ก็ไม่ต้องตอแยแบบร้องงอแงเพื่อเอาให้ได้ในทันที จึงหลีกมาใช้วิธีใหม่คือ ขอสตางค์แล้วไม่ให้ ก็นิ่งเสียไม่งอแง สักพักหนึ่งก็ขอใหม่ จนแม่รำคาญให้เอง แต่ก็น้อยครั้งที่จะได้ แล้วข้าพเจ้าก็ได้ใช้วิธีอื่นจะอธิบายในตอนหลัง

ช่วงนี้ข้าพเจ้าเห็นพ่อทะเลาะมีปากเสียงกับพี่ชายคนโตบ่อยมาก และไล่พี่ชายคนโตออกไปจากบ้าน จนพี่ชายคนโตออกไปจากบ้านจริง เป็นเวลาหลายวันแล้วก็กลับมา วนเวียนอยู่อย่างนี้เป็นประจำ แล้วแม่ก็เล่าเรื่องของพี่ชายคนโตให้ข้าพเจ้าฟังว่า ตอนที่แม่จะตั้งท้องพี่ชายคนโตแม่ได้ฝันก่อนในคืนหนึ่งว่า แม่นั่งพับเพียบอยู่ปรากฏงูเห่าตัวใหญ่เท่าแขนผู้ใหญ่ตัวดำมะเมื่อม ได้เลื้อยเข้ามาขึ้นบนตักของแม่แล้วขดตัวอยู่บนตักของแม่ เป็นเวลาพักหนึ่งก็เลื้อยออกไป แต่บนตักของแม่นั้นปรากฏเป็นรอยขดของงูอยู่บนตักอย่างชัดเจนจนแม่ตื่นขึ้น

หลังจากนั้นแม่ก็นำความฝันไปเล่าให้หมอดูหรือหมอธรรมในอำเภอท่าบ่อจังหวัดหนองคายให้ทราบ หมอดูก็ทายทันทีเลยว่า แม่จะได้ลูกผู้ชาย แต่ลูกชายคนนี้จะเป็นศัตรูกับพ่อเป็นคู่กรรมคู่เวรกัน จะต้องยกลูกชายคนนี้ให้กับคนอื่นจึงจะแก้กรรมนั้นได้ แต่เมื่อเวลาผ่านมาเมื่อคลอดลูกชาย แม่และพ่อก็หาได้สนใจคำทำนายนั้นคือไม่ได้เชื่อมากมายอยู่แล้ว พี่ชายคนโตเป็นที่รักของพ่อมากๆ จนครอบครัวของพ่อแม่ได้ย้ายมาอยู่ภาคใต้จังหวัดพัทลุง จนพี่ชายคนโตเรียนจบ ม.3 (เรียกว่า ม.3 แต่เป็น ม.3 สมัยก่อน) มา ซึ่งสมัยนั้นเด็กส่วนมากเรียนแค่ ป. 4 ก็ออกมาทำมาหากินไม่เรียนต่อกันแล้ว ถ้าเรียนต่อในชั้นต่อไปเรียกว่า ม.1 จนถึง ม.3 ส่วนพี่ชายคนรองและพี่สาวฝาแผดทั้งสองเรียนไม่เก่งจบแค่ชั้น ป. 4 ซึ่งในตำบลลำปำขณะนั้นเรียนได้ชั้นสูงสุดแค่เพียง ป. 4 แต่เนื่องด้วยพี่ชายคนโตเป็นคนเรียนเก่ง เป็นที่กล่าวขวัญกันในตำบล และเป็นลูกที่พ่อรักมากที่สุด พ่อห้ามไม่ให้แม่ตีเขาเลยตั้งแต่เล็ก ถ้าเห็นแม่ตีเมื่อใด แม่จะโดนพ่อดุด่าทุกที ด้วยความที่เขาเรียนเก่งและเป็นลูกที่พ่อรักมาก พ่อจึงยอมส่งเขาไปเรียนในตัวจังหวัดพัทลุงในชั้น ม.1-2-3 และพี่ชายคนโตก็เรียนเก่งขึ้นเรื่อยๆ จนเป็นที่กล่าวขวัญถึงทั้งในตำบลและในตัวจังหวัด มาในยุคสมัยของข้าพเจ้านั้นยกเลิกการเรียนแบบเก่าแล้วโรงเรียนวัดวิหารเบิกได้เปิดเรียนถึงชั้นประถม 7 แล้ว ส่วนสมัยปัจจุบันเปิดถึง ม.3

เมื่อพี่ชายคนโตเรียนจบชั้น ป.7 (หรือ ม.3 ในสมัยนั้นประมาณ พ.ศ. 2504 - 5 ) ในตัวจังหวัด ก็ต้องเรียนต่อระดับ ม.4-8 หรือวิทยาลัยเช่นวิทยาลัยครู ซึ่งต้องไปเรียนที่อำเภอหาดใหญ่หรือที่นครศรีธรรมราช แต่พ่อก็บังคับให้หยุดเรียนเพียงแค่นั้น เพราะด้วยเมื่อจบมาแล้วไม่มีสิทธิ์รับราชการ ซึ่งในสมัยนั้นผู้ที่เรียนจบมาแล้วต่างก็เข้ารับราชการเท่านั้น พ่อจึงบังคับให้เรียนตัดผมตามอาชีพของพ่อ ซึ่งพี่ชายคนรองที่เรียนไม่เก่งจบเพียง ป. 4 ก็เรียนตัดผมเป็นช่างตัดผมช่วยพ่อ แต่พี่ชายคนโตนั้นมีจิตใจที่จะเรียนต่ออย่างเดียว ต้องฝืนยอมรับฝึกตัดผมแต่กดดันตนเองตลอด จึงไม่สามารถทำอะไรได้ดี และด้วยเพราะพ่อนั้นเป็นคนเอาแต่ใจตนเองอย่างสุดๆ ไม่ให้ใครในบ้านขัดแย้งและต้องเป็นไปตามที่พ่อวางไว้ พี่ชายคนโตจึงทะเลาะกับพ่อเป็นประจำ แล้วค่อยรุนแรงขึ้นถึงขั้นถูกพ่อตบตี และถูกไล่ออกจากบ้าน เมื่อบ่อยๆ เข้าพี่ชายคนโตสุดทนก็ปกป้องตนเองและทำลายข้าวของ แล้วก็ออกจากบ้านไป ช่วงนี้สติสตังพี่ชายคนโตขาดลอยไปแล้ว เหมือนกับไม่มีการพัฒนาการรับผิดชอบในการสร้างเนื้อสร้างตัวแบบเป็นผู้ใหญ่อีกเลย คือเมื่อออกจากบ้านไป ทำงาน(ตัดผม หรือรับจ้างอย่างอื่น)ได้เงินมาก็ไม่รู้จักเก็บก็จะให้หรือแจกเขาหมดจนตนเองไม่มีเหลือ และไม่รู้จักอยู่กับที่ให้เป็นหลักแหล่ง เหมือนความคิดพี่ชายคนโตหยุดอยู่แค่อายุ 16-17 ปี เท่านั้น คือทำงานหาเงินได้ แต่จะไม่ทำงานอย่างต่อเนื่อง และไม่รู้จักเก็บเงินไม่ค่อยรู้จักดูแลตนเอง แต่บ้าเรื่องความสะอาดเป็นที่สุดกับสิ่งของรอบข้าง ทั้งที่ไม่รู้จักรักษาร่างกายตัวเองให้สะอาด ดีที่พี่ชายคนโตไม่เกเรไม่เป็นอันธพาลไม่สูบบุหรี่ ไม่ดื่มเหล้า ไม่ทำร้ายผู้ใดพูดจาดี

เมื่อพี่ชายคนโตออกไปจากบ้านได้สักพักหนึ่งเป็นเดือน บางครั้งก็หลายเดือนก็กลับมาอยู่บ้าน ระยะแรกก็ทำงานตัดผมได้ดี ตอนหลังก็ไม่อยากทำงานและพฤติกรรมเป็นดังที่เล่ามากลับเป็นมาอีก จึงต้องทะเลาะกับพ่ออีก สุดท้ายก็ทำลายข้าวของชกต่อยกับพ่อ และก็ออกไปจากบ้านอีกเหมือนเดิม เป็นอยู่อย่างนี้ซ้ำแล้วซ้ำเล่าจนปัญหาทางจิตของพี่ชายคนโตเพิ่มขึ้นเรื่อยสะสมขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งเขาจะโกรธและเกลียดทะเลาะชกต่อยกับพ่อของเขาเท่านั้น กับผู้อื่นไม่มีปัญหา เหมือนกับว่า ผู้มีปัญหาทางจิตอย่างพี่ชายคนโตกับผู้มีปัญหาทางอารมณ์และทางความคิดอย่างพ่อต้องก่อเกิดเป็นคู่แค้นคู่อาฆาตกันทั้งชีวิต ไม่จบสิ้นวนเวียนอยู่อย่างนั้น แต่ก็แปลกอย่างหนึ่งเหมือนกับกรรมบังตา อาจด้วยเพราะสิ่งแวดล้อมสังคมและฐานะสมัยนั้น และไม่ได้รับการแนะนำอย่างถูกต้องแท้จริงทางการแพทย์ในสมัยนั้น จึงไม่มีใครในครอบครัวเลยที่คิดจะเอาพี่ชายไปรักษาทางจิตเวชอย่างถูกต้องแม้แต่ครั้งเดียวตั้งแต่แรก แม่เคยคิดจะเอาไปรักษาแต่พ่อคอยขวางว่า พี่ไม่ได้บ้าแต่เป็นคนขี้เกียจ เพราะต้องเอาไปรักษาที่กรุงเทพ จึงเป็นเรื่องยาก จนอาการของพี่ชายเป็นมากขึ้น พ่อก็เป็นมากขึ้น ด้วยเหมือนกันเมื่อโมโหโกรธลูกคนใด ก็จะไล่ออกจากบ้านทุกคน แต่พี่คนอื่นและข้าพเจ้าปรับตัวได้จึงไม่เกิดปัญหารุนแรง

เนื่องจากพ่อมีปัญหาทางอารมณ์และทางความคิดและตระหนี่ขี้เหนียวสุดๆ ข้าพเจ้าทราบจากแม่ว่า พ่อนั้นต้องร่อนเร่หาเลี้ยงตัวเอง ออกจากบ้านเมื่อพ่ออายุประมาณ 14-15 ปี พ่อจึงมีความคิดทางอารมณ์ปฏิบัติต่อลูกเมียแปลกๆ พ่อจะต้องเป็นต้นเรื่องหาเรื่องและมีเรื่องทะเลาะกับแม่เป็นประจำ แต่แม่เป็นคนที่มีจิตใจที่เข็มแข็งและมีความอ่อนโยนและมีมนุษย์สัมพันธ์ที่ดี จึงพอสามารถรักษาตนผ่านพ้นไปได้ต่างกับพี่ชายคนโต ส่วนลูกๆ คนอื่นเรียนไม่เก่งจึงไม่คิดอะไรมากทำตามที่พ่อต้องการ คือเรียนตัดผมจากพ่อ หรือพี่สาวไปเรียนตัดเย็บเสื้อผ้า แล้วมาเปิดร้านทำงานที่บ้านจึงไม่ค่อยมีปัญหา

แม่บอกข้าพเจ้าว่า พี่ชายคนโตเสียสติหรือบ้า ก็เพราะเรียนเก่งและอยากเรียนต่อ เมื่อถูกบังคับให้หยุดเรียนจากพ่อ จึงทำงานอะไรให้ดีไม่ได้เพราะจิตใจข้องอยู่ในการเรียน จึงโดนกดดันจากพ่อจนเสียสติบ้าไป หลังจากนั้นพี่ชายคนโตของข้าพเจ้าก็ดำเนินชีวิตแบบกึ่งดีกึ่งบ้าจนถึงอายุ 43 ปี ก็เสียชีวิตด้วยวัณโรคปอด เพราะการที่ไม่รู้จักการรักษาตนเองไม่ยอมไปหาหมอ ไม่ว่าจะชวนอย่างไรให้ไปโรงพยาบาลอย่างไรก็ไม่ยอมไป เมื่อถึงที่สุดทนไม่ได้แล้วยอมไปหาหมอก็สายไปแล้วคือปอดนั้นโดนวัณโรคกินไปเกือบหมดไม่สามารถรักษาได้แล้ว

ส่วนพี่ชายคนรองเรียนไม่เก่งเกือบตกซ้ำชั้นเมื่อจบ ป.4 ก็ทำงานตามที่พ่อต้องการได้หมด คือตัดผมและตัดผมเป็นหลักของบ้านเพราะพ่อต้องออกไปรักษาคนไข้บ่อย ก็แปลกเหมือนกันเป็นหมอเถื่อนศึกษาตำรายาและการพยาบาลผู้ป่วยสามารถรักษาผู้ป่วยหายจากโรคได้เป็นร้อยๆ คนอย่างดีโดยรักษาไม่เคยผิดพลาด แต่กลับไม่มีความรู้เรื่องโรคจิตเวชเลยแม้แต่นิดเดียว

ช่วงหลังเมื่อพี่ชายคนรองรับตัดผมได้เต็มที่แล้วพ่อก็มีเวลาว่าง พ่อจึงเริ่มเรียนซ่อมวิทยุด้วยตนเอง และช่วงนี้แหละที่บ้านข้าพเจ้ามีโอกาสได้มีไฟฟ้าใช้ภายในบ้าน ทั้งที่บ้านอื่นมีไฟฟ้าใช้กันเกือบทุกบ้านแล้ว เพราะพ่อต้องการเปิดรับซ่อม วิทยุทรานซิสเตอร์ เป็นวิทยุสมัยเก่า ที่มีภาค AM ภายหลังก็มีภาค FM แล้วต่อมาค่อยพัฒนาเป็นวิทยุเทป ภายหลังก็มีกรรไกรตัดผมไฟฟ้าใช้ ส่วนแม่ก็ขายของชำในตลาดลำปำ ช่วงนั้นแม่บอกข้าพเจ้าภายหลังว่าช่วงนั้นแม่เก็บเงินได้เป็นแสนแล้ว แต่ทำตัวอยู่อย่างจนๆ คือไม่มีทีวี และเครื่องใช้ดีๆ ภายในบ้านเลย เมื่ออยากดูทีวีข้าพเจ้าต้องแอบไปดูบ้านคนอื่น ส่วนข้าพเจ้าก็ไม่เคยได้เงินซื้อขนมหรือของเล่นเลยครับ และช่วงนั้นพ่อกับแม่ก็ได้ซื้อสิทธิ์บ้านที่เช่าอยู่ จากเจ้าของคนเดิม ซึ่งเป็นห้องแถวไม้ตามที่กล่าวไว้ด้านบน ตั้งอยู่บนที่ดินราชพัสดุ(ดินหลวง) เพราะเจ้าของคนเดิมจะขายคนอื่น แต่พ่อกับแม่เห็นว่าอยู่บ้านหลังนี้ทำมาหากินขึ้นเก็บเงินได้มาก จึงตัดสินใจครั้งยิ่งใหญ่ยอมซื้อในราคา สองหมื่นห้าพันบาท ซื้อสองห้องก็ตกห้องละ หนึ่งหมื่นสองพันห้าร้อยบาท และแม่บอกเล่าในภายหลังเมื่อข้าพเจ้าจบมหาลัยแล้ว ว่าในสมัยนั้นพ่อแม่หาเงินได้มากโดยมีพี่ชายคนรองช่วยอีกแรงหาเงินได้แบบไหลมาเทมาหาง่ายเหมือนกับเก็บใบไม้เลยทีเดียว

(เล่าย้อนกลับ)

ข้าพเจ้าเป็นเด็กที่เรียนหนังสือไม่ค่อยเก่ง ในตอนเรียนชั้นประถมต้น ป.1- ป.3 ได้ลำดับที่ เลข 2 ตัวมีค่ามากเป็นประจำ พ่อแม่พี่ๆ ก็ไม่ค่อยรู้หนังสือ คือเรียนต่ำๆ พี่ชายคนโตก็สติไม่ดีไปเสีย ข้าพเจ้าก็มีชีวิตเหมือนเด็กชนบททั่วไปคือกลับจากโรงเรียนหรือเสาร์อาทิตย์ ก็ยิงนกตกปลาหาปลากัดมาเลี้ยงและขโมยผลไม้ในนาในไร่มากินเล่นสนุกตามประสากลุ่มเด็กๆ สมัยนั้น และมีการเล่นการพนันของเด็กๆ คือ ทอยเส้น ปั่นแปะ ขายฉลาก จับเบอร์ ช่วงนี้ข้าพเจ้าเริ่มรู้จักขโมยเศษเงินสตางค์หรือเงินบาทก็อยู่ ชั้น ป.2 นี้แหละ เพราะเคยขอแล้วไม่ได้แถมถูกตีอีก ข้าพเจ้าได้เงินวันละสลึง(25สตางค์) ไปโรงเรียน ซื้อข้าวกินจานเดียวก็หมดแล้ว อย่างอื่นไม่ต้องหวังได้กิน ในวันเสาร์-อาทิตย์จะไม่ได้เงินกินขนม จึงต้องแอบขโมยเศษเหรียญเมื่อไปช่วยแม่ขายของที่ร้านในตลาด ข้าพเจ้าขโมยได้อย่างแยบยล คือขโมยครั้งละ 25 - 50 สตางค์หรือ 1 บาท โดยเมื่อนั่งขายของช่วยแม่อยู่ก็เอาเหรียญนั้นทำเป็นตกลงในเศษกระดาษหนังสือพิมพ์แต่เก็บไม่หมด หรือซ่อนมาแล้วใส่บนกระดาษหนังสือพิมพ์แล้วขย้ำเศษกระดาษให้เป็นลูกบอลเล็กๆ โยนเล่นดีดเล่นตามประสาเด็กผู้ชาย บางครั้งก็พับเป็นเหลี่ยมๆ โยนเล่น แล้วใครจะไปรู้ว่ามีเหรียญอยู่ข้างใน

และด้วยกระดาษหนังสือพิมพ์เก่าที่แม่ซื้อมาเป็นตั้งๆ เพื่อเอามาห่อสินค้าขายให้กับลูกค้า มีประโยชน์กับข้าพเจ้ามากในช่วงชั้นประถม 4 ถึงประถม 7 ทำให้ข้าพเจ้าเก่งทั้งความรู้ทั่วไปกับวิทยาการใหม่มากกว่าเด็กคนอื่นๆ เพราะข้าพเจ้าชอบอ่านในส่วนของวิชาการและเทคโนโลยีปัจจุบันและอนาคตทั้งหมดจากหนังสื่อพิมพ์เก่าเหล่านั้น

แต่ข้าพเจ้าไม่เคยขโมยเงินหรือสิ่งของของคนอื่นเลยแม้แต่ครั้งเดียว แม้เห็นเงินเขาตั้งอยู่ข้างหน้าไม่มีใครเห็นข้าพเจ้าก็ไม่เคยหยิบไม่เคยขโมย ยกเว้นผลไม้ในไร่นา เพราะตามรุ่นพี่ๆ ไป แต่ก็น้อยครั้งส่วนมากจะขอเจ้าของก่อน เจ้าของส่วนมากจะอนุญาตให้เด็กเก็บกินได้เพราะเด็กจะเก็บกินก็จะกินพออิ่มเฉพาะตัวและเก็บติดมือไปบ้างเล็กน้อย หรืออีกกรณีหนึ่งหลังชาวไร่ชาวนาเก็บเกี่ยวแล้วก็จะมีตกค้างเหลืออยู่ หรือที่ไม่เป็นที่ต้องการแล้ว เด็กตลาดอย่างพวกข้าพเจ้าก็จะไปขอเจ้าของว่าขอเก็บส่วนที่ทิ้งหรือที่เหลือในนา ชาวไร่ชาวนาก็จะอนุญาตพวกข้าพเจ้าก็ลุย มีทั้งขุดหัวมันเทศ ถั่วลิสง หาแตงกวาที่เหลือ

การขุดหัวมันหรือถั่วนี้สนุก เพราะเดินไล่หาหน่อหรือเศษต้นหัวมันที่เป็นต้นอ่อนโผล่ออกมาแล้ววิ่งไปจองตรงจุดนั้นก่อนที่เพื่อนคนอื่นจะเห็นหรือมาจอง แล้วขุดลงไปก็จะได้หัวมันเล็กบ้างใหญ่บ้าง เอากลับมาบ้านให้พี่สาวหรือแม่ต้มโดยใส่เกลือเล็กน้อยอร่อยดี แต่ลูกหัวครก(มะม่วงหิมพานต์)ที่ปลูกตามคันนาเจ้าของบางท่านจะหวงจึงเกิดเสมือนเด็กไปขโมยเพราะเด็กคิดว่าเจ้าของไม่หวงจึงไปเก็บเมื่อเจ้าของเห็นจึงตะโกนไล่มาแต่ไกล เด็กๆ ก็วิ่งหนีกันหน้าตั้ง มีบางท่านที่ปลูกไว้มากในที่นาเก็บไม่ทัน เต้า(ผล)หัวครกก็จะร่วงเน่าเสียไปโดยเปล่าประโยชน์ก็จะอนุญาตให้เด็กๆ ไปเก็บได้ตามอำเภอใจเพราะสมัยนั้นเมล็ดหัวครกไม่ค่อยมีค่ามีราคาเท่าใดนัก และเด็กๆ จะเอามาปาเล่นกัน หรือนำมาเป็นซิบทำแต้มสะสมเล่นทอยหลุม ใครทอยลงหลุมได้เท่าใดก็ได้ไปเท่านั้น

วิธีเล่นเก็บสะสมเมล็ดหัวครก มีอยู่สองหรือสามอย่างการละเล่นของเด็กในตลาดลำปำในสมัยนั้นเป็นดังนี้

วิธีเล่นทอยหลุม เล่นกันได้เพียงครั้งละ 2 ถึง 6 คน โดยขุดหลุมให้ขนาดที่เมล็ดหัวครกตกลงไปเต็มได้ประมาณ 5 เมล็ด แล้วมาขีดเส้นที่จะทอยหรือโยนเมล็ดหัวครกลงหลุมห่างมาประมาณ 2 หรือ 3 เมตร ถ้าเป็นเด็กเล็กเล่นด้วยก็ต่อระยะทางให้ใกล้ขึ้นหน่อยหนึ่ง ต่อไปก็เอาเมล็ดหัวครกของแต่ละคนที่สะสมไว้หรือที่ไปหามาได้ ลงมาเล่นคนละ 2 ถึง 10 เมล็ดตามแต่ตกลงเอามารวมกัน หลังจากนั้นก็เป่ายิงฉุบ ใครที่ทำมือผิดจากคนอื่นคนแรกจะออกไปก็จะได้โยนหลุมคนสุดท้าย แล้วเรียงลำดับกันไป ก็จะได้คนชนะที่เป็นคนแรกที่จะได้ทอยเมล็ดหัวครก โดยเอามือกอบเมล็ดหัวครกแล้วโยนลงหลุม ได้เท่าใดก็เก็บเอาไป ที่เหลือไม่ลงหลุมก็วนทอยเมล็ดหัวครกตามลำดับคนจนเมล็ดหัวครกหมด

วิธีเล่นโยนเมล็ดหัวครก คือขีดเส้นที่จะต้องโยนเมล็ดหัวครกไม่ให้เลยไปจากเส้นนั้น

และกำหนดจุดที่จะโยน ใครโยนก่อนก็ได้ แต่ห้ามเลยเส้นที่ขีดไว้ เด็กที่จะเล่นด้วยต้องโยนให้โดนเมล็ดหัวครกที่โยนไปครั้งแรก ถ้าโยนโดนก็ได้เมล็ดหัวครกนั้นไป ถ้าโยนไม่โดนเด็กที่โยนเมล็ดคนแรกก็ได้กินไป

วิธีเล่นโยนหรือปาเมล็ดหัวครกอีกแบบหนึ่งต้องใช้พื้นที่กว้าง คือ คนโยนคนแรกต้องโยนยั่วต้องกะว่าคนโยนคนต่อไปจะต้องอยากโยนหรือปาไปโดนเมล็ดของตนเองแต่มีโอกาสพลาดมากกว่าโดน ถ้าคนโยนคนต่อไปเห็นว่าน่าจะโยนหรือปาโดนก็โยนหรือปาไป ถ้าโดนก็ได้กินเมล็ดหัวครกนั้นไป ถ้าไม่โดน คนที่โยนคนแรกต้องมายืนในตำแหน่งเมล็ดหัวครกที่ตนโยนมาครั้งที่แล้ว แล้วหยิบเมล็ดหัวครกนั้นโยนหรือปาให้โดนเมล็ดหัวครกที่โยนมาภายหลังถ้าโยนโดนก็ได้กินไป ถ้าโยนไม่โดนก็จะถูกอีกคนที่ไปยืนในตำแหน่งเมล็ดหัวครกของเขาโยนกลับจนโดน วิธีเล่นอย่างนี้ต้องใช้ไหวพริบชิงเหลี่ยมชิงมุมกันน่าดู เพราะถ้าเราเห็นว่า โยนหรือปาไม่ถูกแน่ เราก็โยนยั่วให้เข้าไปใกล้เพื่อให้เขาโยนหรือปากลับ แต่มีโอกาสไม่ถูกหรือไม่โดน และทำให้เมล็ดหัวครกที่เขาโยนหรือปามาอยู่ใกล้มากขึ้นที่เราสามารถโยนหรือปาถูกได้

แต่การละเล่นเกี่ยวกับเมล็ดหัวครกดังที่ข้าพเจ้าเล่าให้อ่าน ในปัจจุบันนี้ไม่มีแล้วหรือหายากแล้ว เพราะเมล็ดหัวหัวครกนั้นมีราคาแพงตลาดต้องการ

 

เนื่องจากพี่ๆ และข้าพเจ้าไม่มีนิสัยขโมยของคนอื่น จนแม่ข้าพเจ้าออกปากชมลูกของตนเองทุกคนบ่อยๆ ว่า ไม่เคยขโมยไม่เคยหยิบของใคร แต่แม่ไม่รู้ว่าลูกชายคนนี้ขโมยเงินของแม่เป็นประจำแต่เป็นเศษเงินเท่านั้น จนแม่ไม่รู้สึกว่าเงินได้หายไป

ช่วงนี้ข้าพเจ้าก็หารายได้ตามประสาเด็กที่เป็นลูกแม่ค้า การขโมยเศษเงินแม่จึงน้อยลงจนแทบไม่มี คือเป็นคนขายฉลากจับรางวัล ตอนนั้นมีเงินเก็บอยู่เป็นร้อยบาท เมื่อหมดหน้าขายฉลากเบอร์ ข้าพเจ้าก็รับจ้างทั่วไปในช่วงวันเสาร์-อาทิตย์ เช่นเดินขายไอติมแท่งไม้ละ 25 สตางค์ ขายได้ 5 ไม้ได้ค่าขาย 1 ไม้ รับจ้างขนและรับแตงโมขึ้นหรือลงเรือส่วนมากจะได้ลูกแตงโมมากิน

ในช่วงที่อยู่ ป. 2 หรือ ป.3 ที่โรงเรียนเขาเอาสารคดี อะพอลโล่ 11 ฉายให้เด็กดูในห้องประชุม และให้เด็กเล่นเกม ครูก็ประกาศเรียกเด็กให้เข้าไปรวมเล่นเกม แต่ไม่มีใครกล้ายกมือ และข้าพเจ้าก็กล้าหาญชาญชัยโยกมือได้เล่มเกมหน้าห้องประชุมครั้งแรกในชีวิต และจะมีอนามัยหรือสภากาชาด เขาจะเอานมผงมาแจกให้เด็กได้ดื่มกิน ข้าพเจ้าสมัยนั้นและก่อนหน้านั้นตั้งแต่งดนมแม่ ก็โหยหานม มากแต่ก็ไม่เคยได้ดื่มกินอย่างสะใจเลยสักครั้ง เพราะพ่อแม่ไม่เคยซื้อหรือให้สตางค์ไปซื้อดื่มกินเลย ตั้งแต่เล็ก จึงต้องรอเหลือจากน้ำปานะ เช่นนมหรือโอวัลตินจากพระที่มาเทศนาที่ศาลาในวันเข้าพรรษา ข้าพเจ้าเห็นเด็กเล็กข้างบ้านเป็นลูกครูที่มีฐานะ กินนมแบบเหลือทิ้งไว้ ข้าพเจ้าต้องกลืนน้ำลาย จนข้าพเจ้าเกือบจะอดใจไม่ได้ เมื่อเห็นแล้วจะเข้าไปขอเขากินให้ได้ แต่ต้องข่มใจตนเองอย่างสุดๆ แบบกลืนน้ำลายตนเองไปก่อน

 

ในสมัยนั้นโรงเรียนจะติดอยู่กับวัด และในเย็นวันศุกร์ ก่อนเลิกเรียนโรงเรียนก็จะเกณฑ์เด็กนักเรียนทั้งหมดไปห้องประชุมเพื่อสวดมนตร์ไหว้พระเป็นประจำทุกอาทิตย์ และมีกิจกรรมให้กับเด็กนักเรียนรับผิดชอบทำความสะอาดห้องเรียนของตนเอง โดยทุกคนจะต้องมีเวรทำความสะอาด อาทิตย์ละ 1 วัน โดยการจับฉลากแบ่งกัน และใน 1 เทอม หรือ 1 เดือนจะต้องมีการขัดพื้นลงเทียน 1 ครั้ง เพราะสมัยนั้นโรงเรียนจะเป็นไม้ ส่วนที่ขัดพื้นพิเศษนั้นทางภาคใต้มีลูกมะพร้าวมาก จึงเอาผลมะพร้าวทั้งเปลือกที่แห้งแล้วผ่าครึ่งแล้วเอากะลาออก ก็จะเหลือแต่ใยมะพร้าวที่มีเปลือกมะพร้าวหุ้มอยู่และอัดแน่นอยู่ด้านในนำมาใช้ถูพื้นได้อย่างดี โดยเด็กๆ ก้มลงเอามือสองมือกดลงและดันที่ผลมะพร้าวผ่าครึ่งด้านบน ดันไถลไปและกลับทั่วห้อง คราบดินคราบสกปรกก็จะโดนขัดออก แล้วจึงค่อยทำความสะอาดด้วยเศษผ้า แล้วลงเทียนภายหลัง ห้องเรียนก็จะแวววับมันแปลบไปเลยทีเดียว

ข้าพเจ้าจำได้ว่าในชั้น ป.1 ข้าพเจ้าเคยกล้าหาญชาญชัยมาก ได้ไปเถียงกับครูประจำชั้น(ครูคนเดียวสอนทุกวิชา) ที่ตรวจวิชาคณิตศาสตร์แล้วให้ข้าพเจ้าผิด ทั้งที่ข้าพเจ้าก็ไม่ใช่เด็กเก่งอะไร? แต่ข้าพเจ้าว่าข้าพเจ้าทำถูกทำไมครูให้ผิด ผลสุดท้ายครูพนองก็บอกว่าข้าพเจ้าทำผิดต้องแก้ตามครู ข้าพเจ้าต้องแก้ตามครู แต่ใจข้าพเจ้าค้านอยู่ตลอดว่าข้าพเจ้าทำถูกถึงปัจจุบันนี้ แต่เมื่อข้าพเจ้าคิดทบทวนอีกทีข้าพเจ้าก็อาจผิดจริงไปจากวิธีที่ครูสอน ก็เมื่อตอนข้าพเจ้ามาสอนคณิตศาสตร์ให้ลูกชายอยู่ประถม 4 เขาว่าเขาทำถูกทั้งๆ ที่เราเห็นว่าเขาทำผิด

ในยุคนั้นลำปำเป็นแหล่งศูนย์กลางการเดินทางทางน้ำ เพราะสมัยก่อนการเดินทางทางถนนนั้นไม่ดีและไม่มีถนนเชื่อมต่อเดินทางได้สะดวกสบายเหมือนปัจจุบันนี้ จึงใช้เรือเดินทางค้าขายระหว่างตำบลหมู่บ้าน แถบชายทะเล และเกาะต่างๆ กับตัวจังหวัดพัทลุง ก็ได้ตำบลลำปำเป็นท่าเรือพักสินค้าและการเดินทางทำธุระของประชาชน ก็มีชาวอำเภอระโนด อำเภอสะติงพระ ตำบลปากประ ชาวเกาะใหญ่ และเกาะอื่น ก็ต้องผ่านเข้ามายังคลองลำปำและตลาดลำปำ

ก็มีสินค้าที่ทำให้เด็กมีรายได้เพราะพ่อค้าแม่ค้าชาวลำปำต้องแย่งชิงกันจากผู้นำมาขาย คือไก่บ้านที่นำมาทางเรือ เนื่องจากตลาดในเมืองพัทลุงต้องการมาก แม่ค้าพ่อค้าก็มีอยู่หลายเจ้า จึงจ้างเด็กชาย 9 - 15 ปี เมื่อเรือวิ่งเข้ามาเทียบท่า ต้องรีบวิ่งขึ้นไปบนเรือจองเข่งไก่ หรือไก่ที่ชาวบ้านมัดไว้ เพื่อนำมาให้กับแม่ค้าหรือพ่อค้าที่ให้ค่าจ้าง ข้าพเจ้าก็เป็นเด็กคนหนึ่งใน 6-7 คน ที่หาเศษเงินอย่างนี้ เพราะแม่เป็นคนประหยัดส่วนพ่อเป็นคนขี้เหนียวเป็นที่สุด ไม่หาเงินเองอย่าหวังเลยว่าจะขอเงินพ่อหรือแม่ซื้อของอะไรได้ แต่ภายหลังเพื่อนรุ่นพี่ที่แก่กว่าที่ว่ายน้ำเก่งกว่าแข็งแรงกว่า เล่นไปดักกระโดดว่ายน้ำเกาะขึ้นเรือที่กำลังวิ่งอยู่ ตั้งแต่ปลายคลองลำปำไปเสียอีก บางคนไปดักตั้งแต่ปลายปากคลองลำปำระหว่างทะเลสาบที่เกาะลอยตรงชายหาด ข้าพเจ้าและเด็กรุ่นน้องรออยู่ท่าเรือเลยหมดโอกาสได้เศษสตางค์ ค่าแรงจองไก่บนเรือ เพราะสู้รุ่นพี่ๆ ไม่ได้

เมื่อเห็นรุ่นพี่เขาทำกันอย่างนี้เราก็เอาบ้างแข่งกันไม่เช่นนั้นเราอดได้เศษเงิน แต่ด้วยความเป็นเด็กเล็กก็มีปัญหาตรงที่สามารถว่ายน้ำไปเกาะเรือที่วิ่งมาได้แต่ไม่สามารถเกาะเรืออยู่ได้ ถึงเกาะได้ก็ไม่มีแรงพอสามารถต้านแรงเรือที่ลากไปเบี่ยงตัวขึ้นลำเรือได้ ความจริงก็กลัวอยู่เหมือนกันเพราะเคยเกือบตายไปแล้วเมื่อตอนอายุประมาณ 5-6 ขวบ ก็เพราะเรือกับน้ำนี้เอง จึงต้องอดเศษสตางค์ไปตามระเบียบ ชีวิตข้าพเจ้าโลดโผนมากในวัยนี้ ทั้งทำบาป กับแมลง นก หนูนา ตกปลา วิดปลา สุ่มปลา ดักปลา วางยาเบื่อปลา ลักขโมยผลไม้เล็กๆ น้อยๆ

ช่วง ป. 2 ข้าพเจ้าก็ได้รับมอบหน้าที่สำคัญในบ้าน คือมีหน้าที่ล้างจานทั้งหมดทุกวัน เมื่อกลับมาจากโรงเรียน ถ้วยจานก็ไม่ใช่น้อยนะครับในแต่ละวัน เพราะคนทั้ง 8 คนกิน 3 มื้อ ตกเย็นก็เต็มกาละมังใบใหญ่เลยครับ ข้าพเจ้าต้องยกไปล้างที่ท่าน้ำริมคลองเป็นประจำทุกวัน

 

และเนื่องด้วยได้ฟังพระเทศน์บ่อยๆ ช่วงเข้าพรรษาจะได้ฟังเทศน์เป็นประจำเกือบทุกวัน เหตุที่ได้ฟังเทศน์บ่อยเพราะรอดื่มน้ำปานะที่พระฉันเหลืออยากกินตามประสาเด็กจนๆ (แต่ไม่ได้จนจริงเพราะตอนนั้นฐานะการเงินของพ่อแม่ดีขึ้นมากแล้ว แต่ลูกขอเงินกินอะไรไม่ได้) การได้ฟังเทศน์บ่อยแบบรู้บ้างไม่รู้บ้าง ทำให้พอรู้บ้างว่าสิ่งใดดีสิ่งใดไม่ดี ทำดีได้ดีทำชั่วได้ชั่ว และพระก็เทศน์เรื่องสติสมาธิตามใบลานให้ฟังบ่อยอยู่เหมือนกัน แต่ไม่รู้ว่าคืออะไร? เพราะไม่มีพระรูปใดสอนกรรมฐานเลย ด้วยความศรัทธาสนใจของเด็ก ป.2-3 ก็ต้องการจะนั่งสมาธิแบบพระพุทธรูปบ้าง ที่บ้าน ในช่วงนั้นข้าพเจ้าพี่เหลี่ยมและพี่ชายคนรองต้องนอนในมุ้งเดียวกันบนเตียงเดียวกันในสมัยนั้นไม่รู้จักคำว่ามุ้งลวด ในค่ำคืนหนึ่งจึงบอกพี่เหลี่ยมว่า จะนั่งสมาธิแบบพระพุทธรูปให้ดู แล้วข้าพเจ้านั่งขัดสมาธิหลับตาแบบพระพุทธรูปอย่างตั้งใจและนิ่งพักใหญ่ แล้วก็รู้สึกว่าที่หน้ามีไออุ่นๆ นิดๆ และมีกลิ่นผังๆ ก็ลืมตาเห็นฝ่าเท้าของพี่เหลี่ยมลอยอยู่ตรงหน้าเกือบชิดติดจมูก แล้วพี่ก็หัวเราะเล่น เนื่องจากอายุห่างกันประมาณ 2 ปี จึงเล่นหยอกล้อกันเป็นประจำ มีหลายครั้งที่เล่นกันข้าพเจ้าก็จะโดนถีบดันจนตกเตียง บางครั้งตกลงมาแบบหัวปักกับพื้นเจ็บมึนน่าดูเลยครับ

ช่วง ป.2-ป.3 นี้แหละ ก็เกิดความคิดคล้ายกับตอนก่อนเข้าโรงเรียนขึ้นมา ก็ยืนอยู่ในตลาดใกล้ร้านที่แม่ขายของชำ แล้วเกิดคิดถึงคุณของพระเจ้าแผ่นดิน และคุณของพระพุทธเจ้า สายตาก็มองไปลำคลองลำปำและศาลากับต้นโพธิ์ก็ระลึกขึ้นว่า “เราสามารถแลกชีวิต กับผู้มีคุณต่อโลกได้ เพื่อให้ผู้มีคุณต่อโลก ทำประโยชน์ได้ต่อไป”

ในช่วงที่เรียนชั้น ป.1- ป.3 นั้นข้าพเจ้ามีเพื่อนสนิทมากคนหนึ่งชื่อโดก แต่เป็นเด็กเรียนเก่งมากๆ ได้ที่หนึ่งของโรงเรียนได้รับทุนเรียนดีเป็นประจำทุกปีพ่อแม่เขาเคยเป็นครู ข้าพเจ้าก็ชื่นชมเขามากอยากเก่งเหมือนเขา แต่ข้าพเจ้าเรียนไม่เก่งคือเรียนไม่คอยรู้เรื่อง เมื่อไม่รู้เรื่องใจจึงล่องลอยเป็นประจำ อาจเป็นเพราะไม่มีคนคอยสอนคอยแนะนำในการอ่านการเรียน ดังนั้นเมื่อกลับถึงบ้านตอนเย็นโยนกระเป๋าแล้ววิ่งเที่ยวเล่นในตลาดตามประสาเด็กที่พ่อแม่ไม่สนใจในการเรียนของลูกเอาเลย

ซึ่งข้าพเจ้ามีร่องรอยในการซนของข้าพเจ้ามีดังนี้ กระดูกขาเคยแตกเดินไม่ได้ ต้องเข้าเฝือกเดินเอาไม้ค้ำเป็นเดือน ครั้งหนึ่งวิ่งไล่จับกันในโรงหนังสะดุดล้มคิ้วด้านขวากระแทกกับขอบเก้าอี้ไม้ตรงมุมพอดีแตกเย็บหลายเข็มแต่เจ็บมากร้องไห้เป็นวรรคเป็นเวรแต่เมื่อแผลหายแล้วจับกระดูกเบ้าตาที่คิ้วดู กลับกลายเป็นว่ากระดูกแตกยังเป็นรอยแยกอยู่จนถึงปัจจุบัน อีกครั้งหนึ่งหัวก็เคยแตกเย็บไป 3-4 เข็มเพราะวิ่งเล่นพระเอกจับโจรกันในโกดังเก็บข้าวของโรงสีข้าวและยังมีรอยแผลบนหัวถึงปัจจุบัน อีกครั้งตกต้นไม้สูงประมาณ 3- 4 เมตรก็เคยตก ตกลงมานิ่งไปเลย จุกเสียดเจ็บมากๆ ถูกตะปูตำเท้า ถูกแก้วบาดเท้าแผลนี้ยาว ถูกตะปูตำหัวเข่า วิ่งไล่กันตกชานบ้านสูงประมาณ 2 เมตร จุกเสียดอย่างไรยังจำได้เลย กระโดดน้ำแบบพุ่งหลาวหัวปักลงทิ่มพื้นดินทั้งมึนทั้งเจ็บอยู่ใต้น้ำ

ข้าพเจ้ามีวีรกรรมพอใช้ทีเดียว แต่ไม่เป็นเด็กเกเร เชื่อฟังพ่อแม่และผู้ใหญ่ แม่จะห้ามบ่อยเรื่องไม่ให้สูบบุหรี่ แม้กระทั่งหยิบขึ้นมาดมแต่ให้หยิบขายได้ และเน้นไม่ให้ดื่มเหล้า แต่พ่อสูบบุหรี่และดื่มเหล้าเป็นประจำ โดยดื่มเหล้าคนเดียวไม่ได้ไปร่วมวงกับใครเพราะเป็นคนขี้เหนียว พอมึนๆ ก็หยุด แล้วก็หาเรื่องทะเลาะกับแม่ เป็นอันว่าแม่สอนลูกได้ดีมากเพราะลูกๆ ไม่มีใครดื่มเหล้าสูบบุหรี่และเกเรสักคน ทั้งที่แม่ขายบุหรี่ในร้านชำของตนเอง

ออ. ในสมัยนั้น บุหรี่ที่ชาวบ้านนิยมสูบกันเขาเรียกว่า บุหรี่ใบจาก คือเอาเส้นบุหรี่ที่เป็นฝอยๆ ที่ชาวบ้านเรียนว่า ยาเส้น แล้วเอาใบจากห่อเป็นม้วนกับยาเส้นไว้ แล้วจุดไฟสูบ พอในระยะหลังก็จะมีแผ่นกระดาษบางตัดเป็นแผนอย่างเรียบร้อยแทนใบจากขาย และจะมีที่ม้วนกระดาษให้ด้วย โดยจะขายแบบยกกระปุกที่มีฝาปิดมิดชิด กระปุกขนาดเท่ากับกระป๋องนม ซึ่งแม่ก็เคยให้ข้าพเจ้าม้วนยาเส้นกับกระดาษนี้วางขายเป็นประจำ ต่อมาก็มีบุหรี่เป็นซองยี่ห้อกรุงทองมาขายแต่ไม่มีที่กรองท้ายบุหรี่ ภายหลังก็พัฒนาขึ้นมีบุหรี่ กรองทิพย์ ออกมาขายที่มีที่กรองควันบุหรี่ตอนท้ายของม้วนบุหรี่ ข้าพเจ้าอยู่กับบุหรี่ยาสูบแต่ไม่ติดบุหรี่ พ่อดื่มเหล้าสูบบุหรี่ แต่ลูกๆ ไม่มีใครดื่มเหล้าหรือสูบบุหรี่ นับว่าแม่ข้าพเจ้าเป็นผู้ที่สอนลูกได้ดีได้เก่งทีเดียว และถึงแม่จะขายของชำแต่แม่ไม่เคยขายเหล้า และไม่ยอมขายเหล้า

ส่วนเรื่องการเรียนของข้าพเจ้ามีจุดพลิกผันเกิดขึ้นโดยบังเอิญ ขณะที่ข้าพเจ้ากำลังเรียนคณิตศาสตร์ในชั้นประถม 4 อยู่โดยไม่รู้เรื่องตาจึงมองลอดหน้าต่างของห้องเรียนตรงไปยังยอดไผ่ที่ลมพัดไหวๆ อยู่ ใจก็คิดล่องลอยไปเรื่อยตามประสาเด็กได้สักพักใหญ่ จึงได้สติขึ้นมาพร้อมกับนึกถึงคำพระและคำสอนของครูว่าต้องจำให้ได้ว่าขณะนี้ เรากำลังทำอะไรอยู่ และสามารถระลึกได้ว่าที่ผ่านมาทำอะไรไปบ้างตั้งแต่นั้นมาข้าพเจ้าปฏิญาณว่า จะไม่ให้ใจลอยอีกเป็นอันขาด แล้วข้าพเจ้าก็สามารถทำคะแนนคณิตศาสตร์ได้สูงสุดของห้องเป็นครั้งแรก แต่เป็นที่ผิดหวังของครูคณิตศาสตร์ เพราะคนเก่งของโรงเรียนคือเจ้าโดกกลับได้คะแนนต่ำกว่าข้าพเจ้า ครูลุ้นเพื่อนชื่อโดก เนื่องจากเขาเรียนเก่งเป็นที่ 1 ของโรงเรียนและได้รับทุน แต่กลับมาได้คะแนนต่ำกว่าข้าพเจ้าได้อย่างไร? ครูคณิตศาสตร์จึงพูดตำหนิเพื่อนชื่อโดกในห้อง แต่ข้าพเจ้ากลับเหมือนถูกโดนว่าเหน็บแนมให้เจ็บใจอย่างแรง

ต่อจากนั้นถ้าใจเริ่มลอยข้าพเจ้าก็พยายามดึงกลับมาทุกครั้งแต่มันก็ไม่หายขาด และข้าพเจ้าจึงเกิดความคิดขึ้นว่า ข้าพเจ้าจะพยายามฝึกตัวเองว่าขณะนี้ กำลังทำอะไรอยู่และขณะที่ผ่านมา ได้ทำอะไรไปแล้วให้นึกให้ได้ ฝึกอย่างนี้จนใจลอยน้อยมากหลังจากนั้นไม่ลอยอีกเลย ด้วยเหตุที่ข้าพเจ้าโดนว่ากระทบอย่างแรงตั้งแต่ครั้งนั้นมาทำให้ข้าพเจ้าคิดระแวงปรุงแต่งไปว่าต่อไปข้าพเจ้าอาจโดนกดคะแนนตัดคะแนนได้ แต่ผลสอบปลายปี ป.4 ก็ดีขึ้นได้เลขลำดับที่เลขตัวเดียว แล้วครูที่สอนคณิตศาสตร์นั้นก็ติดตามมาเป็นครูประจำชั้นในชั้นประถม 5

ซึ่งขณะนั้นข้าพเจ้าค่อยพัฒนาเรียนดีขึ้นอย่างประหลาด เมื่อสอบปลายปีประถม 5 ข้าพเจ้าเรียนได้ลำดับที่ 2 ของห้อง คือ 69 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งเปอร์เซ็นต์ออกมาไม่ดีเลย และเพื่อนชื่อโดกได้ที่ 1 ประมาณ 82 เปอร์เซ็นต์ ที่หนึ่งกับที่สอง ห่างกันถึง สิบกว่าเปอร์เซ็นต์ ก็อยู่ในสายตาของครูประจำชั้น ข้าพเจ้าก็ไม่ทราบว่าครูจะพอใจหรือไม่พอใจในผลงานของเพื่อน แต่คงอาจไม่ยินดีในผลงานของข้าพเจ้าก็ได้ที่เรียนเก่งขึ้น จนน่าแปลกใจ แล้วความคิดดีๆ แปลกก็เกิดกับข้าพเจ้าอีกว่า “ข้าพเจ้าต้องช่วยให้ผู้อื่นพ้นทุกข์ เหมือนดังพยาบาลชื่อในติงเกิล(จำชื่อไม่ได้) ช่วยรักษาพยาบาลทหารในสงครามโลกที่ได้รับบาดเจ็บโดยไม่เลือกฝ่ายใด”

 

ช่วงหลังนี้ความซนและการเที่ยวเล่นของข้าพเจ้าเริ่มน้อยลงเพราะสนใจในการเรียนมากขึ้น ข้าพเจ้ามีเพื่อสนิทกันมากสองคนคือ พิชัยกับโดก และเพื่อนร่วมกลุ่มเดินด้วยกันซึ่งเป็นเด็กเรียนอีกสองคนคือเทพและพนม ช่วงนี้พ่อกับแม่ก็เริ่มให้ข้าพเจ้ารับหน้าที่ทำงานบ้านเพิ่มขึ้นจากการต้องล้างจานทุกวันคือ ทุกหกโมงเช้า และหกโมงเย็น ต้องช่วยยกของจากบ้านไปจัดที่ร้านในตลาด และยกของจากตลาดมาเก็บที่บ้าน เป็นประจำทุกวัน และข้าพเจ้าก็ได้เริ่มปฏิบัติธรรมด้วยตนเองครั้งแรกในชีวิต โดยปฏิบัติด้วยตนเองเมื่ออายุประมาณ 12 -13 ปี เรียนอยู่ชั้นประถม 6- 7 โดยไม่รู้วิธีปฏิบัติเลย เพียงแต่เห็นพระพุทธรูปนั่งสมาธิ ก็นั่งตามแบบพระพุทธรูป แล้วคิดว่าต้องไม่คิดอะไร? แล้วก็สงบหายไปเอง คือนั่งนิ่งเฉยเหมือนพระพุทธรูป แต่เมื่อนั่งนิ่งแบบพระพุทธรูปสติความรู้สึกก็จะไปชัดเจนที่บริเวณใบหน้ามาก และจะรู้สึกคันยุบยิบ แต่ไม่ยอมเคลื่อนไหวนั่งทนอยู่ได้ ประมาณ 5-15 นาที และก็ฝึกเองแบบนี้เป็นประจำ ส่วนการไหว้พระก่อนนอนนั้นข้าพเจ้าไหว้พระกราบหมอนเป็นประจำก่อนนอนทุกคืน

บางครั้งเมื่อทำงานไม่ถูกใจพ่อเพราะความขี้เกียจของข้าพเจ้า ก็จะโดนพ่อด่าหรือตี ข้าพเจ้าก็จะแอบขึ้นไปนั่งสมาธิในห้อง ด้วยความเสียอกเสียใจน้ำตาจึงเริ่มไหลจากหัวตา ไหลไปตามร่องจมูกมันช่างจักจี้ระคนกับความเสียใจ แต่ก็ไม่ยอมเคลื่อนไหว จนน้ำตาไหลไปตามมุมปาก และเข้าไปออที่ริมฝีปาก ต้องอดทนจนความเสียใจนั้นหายไป มีอยู่ครั้งหนึ่งพ่อขึ้นไปตามในห้อง เห็นข้าพเจ้านั่ง สมาธิ จึงพูดว่า "นั่งอยู่ทำไมในห้องมืดคนเดียว จะบ้าหรือ"

ข้าพเจ้าเรียนเก่งขึ้นตามลำดับได้ที่ 2 รองจากเพื่อนชื่อโดก และเปอร์เซ็นต์ผลสอบสูงขึ้นเป็นเจ็ดสิบเปอร์เซ็นต์กว่า จนเป็นที่รู้จักกันในตำบลลำปำว่าเป็นเด็กเรียนเก่ง ขณะที่ข้าพเจ้าเรียนอยู่ชั้น ป.6 พี่เหลี่ยมก็กำลังเรียนอยู่ชั้น ป.7 พี่เหลี่ยมก็ถือว่าเป็นเด็กเรียนเก่งเหมือนกันผลการเรียนประมาณ เจ็ดสิบเปอร์เซ็นต์เช่นกัน เมื่อพี่เหลี่ยมจบชั้น ป. 7 พี่เหลี่ยมก็อยากเรียนต่อชั้นมัธยมที่เปิดสอนอยู่ในตัวเมืองพัทลุง แต่พ่อบังคับไม่ให้เรียนต่อจนพี่เหลียมโวยวายว่าจะไปสอบเข้า ม.ศ. 1 (สมัยนั้นยังเป็นหลักสูตรเก่า ยังไม่มี ม.1 แบบปัจจุบัน) ให้ได้ พ่อจึงจับพี่เหลี่ยมมัดไว้กับเสาไม่ให้พี่เหลียมหนีไปสอบเข้าโรงเรียนประจำจังหวัด

หลังจากนั้นพี่เหลี่ยมก็ถูกจับให้หัดตัดผม ข้าพเจ้าเห็นแล้วก็รู้ตัวว่าจะต้องโดนอย่างพี่เหลี่ยม และในช่วงนั้นข้าพเจ้ารู้จักการอ่านนิทานเรื่องยาวจบเล่มเป็นครั้งแรกตอนอยู่ ป.7 เรื่องที่อ่านจนจบคือเรื่อง เดชนรสิงห์ แต่ข้าพเจ้าต้องผิดหวังในการเรียนอย่างมากเพราะพ่อของข้าพเจ้าไม่ให้ข้าพเจ้าเรียนต่อในระดับมัธยม จนครูประจำชั้นประถม 7. รู้สึกเสียดายที่ข้าพเจ้าเสียโอกาสเรียนต่อ เมื่อครูได้คุยกับแม่ของข้าพเจ้าแต่แม่ก็ช่วยไม่ได้ ไม่มีใครช่วยข้าพเจ้าได้ เมื่อสอบจบชั้น ป. 7 ข้าพเจ้าจึงไปคลุกอยู่กับเด็กที่ไม่เรียนต่อ คือร่วมวงเล่นไพ่ดัมมี่หรือสมสิบกัน เป็นช่วงที่ทำให้ข้าพเจ้าติดการพนัน เพื่อลบความบาดตาบาดใจที่เห็นเพื่อนๆ ที่เรียนเก่งไปสอบเข้าโรงเรียนประจำจังหวัด หรือโรงเรียนเทคนิคประจำจังหวัด เมื่อสอบเสร็จมีเพื่อนมาส่งข่าวให้ฟังว่า โดกสอบได้อยู่ห้อง คิง(ห้อง 1) เพื่อนชายอีกคนที่สอบได้ที่ 4 ซึ่งต่ำกว่าข้าพเจ้าสอบได้อยู่ห้อง ควีน(ห้อง 2) เทพสอบก็สอบได้แต่อยู่ห้องอื่น ของโรงเรียนชายพัทลุง พิชัยและพนมสอบได้โรงเรียนเทคนิคประจำจังหวัดพัทลุง ส่วนเพื่อนผู้หญิงที่ได้ที่ 3 รองจากข้าพเจ้าสอบได้โรงเรียนสตรีพัทลุง ส่วนข้าพเจ้าน้ำตาตกใน

ถ้าข้าพเจ้าได้สอบด้วยในครั้งนั้นข้าพเจ้าคงอยู่ห้องหนึ่งหรือห้องสองของโรงเรียนรัฐบาลประจำจังหวัดพัทลุง หลังจากนั้นข้าพเจ้าก็เห็นเพื่อนๆ ไปเรียนกันเป็นประจำทุกวัน ข้าพเจ้าเศร้าเสียใจอยู่ข้างใน จนเก็บเข้าไปฝันว่า ข้าพเจ้าได้ไปโรงเรียนพร้อมๆ เพื่อน แต่เมื่อตื่นขึ้นมากลับกลายเป็นความฝัน ข้าพเจ้าต้องสะอื้นร้องไห้

เพื่อนชั้นประถมที่ข้าพเจ้ากล่าวถึงต่อไปเขาได้เรียนจบและทำงานดังนี้

โดก เรียนจบนิติศาสตร์ได้เกียรติ์นิยมที่จุฬาแล้วเรียนเนติบัณฑิตจบใน 1 ปี เข้าทำงานที่การไฟฟ้าฝ่ายผลิตส่วนภูมิภาค

เพื่อนผู้หญิงที่ได้ที่ 3 รองจากข้าพเจ้า จบครู มีอาชีพเป็นครู

เพื่อนที่ได้ที่ 4 จบครู มีอาชีพเป็นครู

เทพ ใช้เวลาเรียน 3 ปี จบรัฐศาสตร์รามคำแหง ทำงานโรงงานน้ำตาล

พิชัย จบ ปวส. วิทยาลัยเทคนิคหาดใหญ่ ปัจจุบันขายประกัน

พนม จบเทคโนโลยีหาดใหญ่ วิศวกรรมเครื่องกลการกระเกษตรคงจบ ป.โท ด้วย ปัจจุบันเป็น ผอ.