คั่นเวลาด้วยเรื่องที่ได้ยินได้ฟังเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับผู้รู้จัก

ข้อคิดเห็นในฐานะข้าพเจ้าจบมาทางวิทยาศาสตร์ เรื่องเหล่านี้ให้อ่านเล่นเพื่อความสนุก อย่าไปเชื่อให้มากนัก ถึงแม้เหตุการณ์ที่เล่าข้าพเจ้าประสบมาจริง แต่อาจจะไม่จริงก็ได้ เพราะอาจจะคิดไปเองหรือจิตนาการเป็นตุเป็นตะไปเอง ถ้าวิเคราะห์ตามทางจิตวิทยาได้ว่า ด้วยความเชื่อที่เป็นพื้นฐานสะสมมา ก่อให้มีการเหนี่ยวนำเป็นอุปาทานจนแสดงออกมาเป็นเรื่องเป็นราวตามจินตนาการ และเมื่อมีบุคคลที่มีพื้นฐานความเชื่อคล้ายๆ กัน ก็ก่อให้เกิดอุปาทานกลุ่มไปเอง โดยไม่มีเหตุผลทางวิทยาการปัจจุบันพิสูจน์ได้ เพียงแต่ตั้งเป็นสมมุติฐานเท่านั้น

เรื่องที่ 1. เรื่องบุญที่ต่างกัน ตำบลลำปำเป็นบ้านเกิดของข้าพเจ้าและขอกล่าวถึง 2 ท่านที่ข้าพเจ้ารู้จักตั้งแต่ข้าพเจ้าเกิด แต่เดี๋ยวนี้ท่านทั้ง 2 เสียชีวิตไปแล้ว ตอนที่ท่านทั้ง 2 ยังไม่เสียชีวิต ท่านผู้หนึ่งชื่อว่า ลุงกลัน ซึ่งเป็นคนใจบุญมากเคยบวชพระมาก่อนประมาณ 6 พรรษาถ้าข้าพเจ้าจำไม่ผิด มีอาชีพหลักทำว่าวขายมีฐานะอยู่ในเกณฑ์ที่ดี ตักบาตรทุกวัน วันพระยกปิ่นโตไปวัดฟังธรรมไม่เคยขาด และเวลาลูกหลานซื้อปลาเป็นๆ มาขังไว้เพื่อทำอาหาร ถ้าลุงกลันเห็นก็จะจับลงปล่อยลำคลองข้างบ้านเสมอ และลูกๆ ของท่านเป็นคนใจบุญทุกคน

จะกล่าวถึงท่านที่ 2 มีชื่อว่า ลุงเช่งไห้ เป็นคนที่มีกรรมอย่างหนึ่ง คือร่างกายอ่อนแอป่วยไม่มีวันหาย ตั้งแต่ข้าพเจ้าจำความได้จนกระทั่งแก่เสียชีวิต แต่มีเมียที่ดีไม่ว่าสามีจะเป็นอย่างที่กล่าวก็ไม่ทอดทิ้งสามี และไม่กระทำนอกลู่นอกทาง แถมเป็นคนใจบุญ ตักบาตรทุกวัน และเข้าวัดฟังธรรมทุกวันพระ แต่ฐานะยากจนมาก เพราะหาเลี้ยงชีพเพียงคนเดียว ส่วนสามีนั้นเจ็บออดแอดไม่คอยจะได้เห็นมาตักบาตรกับภรรยา หรือไปฟังธรรมในวันพระ เพราะที่เห็นก็เห็นแต่ภรรยาแต่ก็คงได้บุญบ้าง เพราะภรรยาทำประจำ

และเรื่องมีอยู่ว่า ลุงเช่งไห้ แกมีอาการป่วยอย่างมากในคืนหนึ่งแกฝันว่าแกตัวเบาลอยไปและลอยไป ลงตรงไปที่หน้าบ้านที่สวยงามมากหลังหนึ่ง แล้วแกก็จะเดินเข้าไปในบ้านหลังนั้นก็บังเกิดคนผู้หนึ่งขึ้นมาและกล่าวกับแกว่า "เข้าไม่ได้ไม่ใช่บ้านของคุณ แต่เป็นบ้านของลุงกลันที่เกิดขึ้นรออยู่ คุณไม่มีสิทธิ์" หลังจากนั้นแกก็ฟื้น แต่ยังป่วยออดแอดไปเรื่อยๆ แล้วแกก็เล่าให้ภรรยาแกฟัง จึงน่าจะเชื่อว่าบุญมีจริง ขนาดที่คนมีชีวิตอยู่มีความฝันยังต่างกันของผู้ทำบุญไม่เสมอกัน

  เรื่องที่ 2. ความสัมพันธ์ในอดีตที่เกิดในปัจจุบันเพียงชั่ววูบ

ในช่วงต้นปี 2526 ที่ข้าพเจ้ากับเพื่อนชื่อ กุ้ง เดี๋ยวนี้รับราชการอยู่ ซึ่งเป็นช่วงที่ข้าพเจ้ากับเพื่อนเริ่มทำกรรมฐานที่คณะ 5 วัดมหาธาตุท่าพระจันทร์ ขณะนั้นข้าพเจ้ากำลังเรียนอยู่ชั้นปีที่ 3 และเพื่อนเรียนอยู่ชั้นปีที่ 2 ของมหาวิทยาลัยรามคำแหง ข้าพเจ้าทำกรรมฐานได้ 8 วันก็ออกมาเรียนต่อภาคฤดูร้อน ส่วนเพื่อนข้าพเจ้าทำกรรมฐานต่อ เมื่อข้าพเจ้าสอบภาคฤดูร้อนเสร็จและเป็นปีที่ข้าพเจ้าจะจบการศึกษา ก็มาเข้ากรรมฐานที่คณะ 5 อีก เมื่อข้าพเจ้าทำกรรมฐานครบ 18 วัน ต่างก็ลากรรมฐานไปบวชที่บ้านตนเอง คุณกุ้งบวชเพียง 7 วันแล้วสึกออกมาเพราะต้องช่วยงานพ่อแม่ รับซื้อเมล็ดพืชแถวนครไทยจังหวัดพิษณุโลก เมื่องานทุกอย่างลดลงแล้วคุณกุ้งก็ลงกรุงเทพฯ และเข้าทำกรรมฐานที่คณะ 5 เหมือนเดิม และมีอยู่วันหนึ่งคุณกุ้งได้รู้จักกับผู้หญิงคนหนึ่งอายุมากกว่ามีชื่อว่า พี่ปลา มีอาชีพเป็นครูและพี่ปลาก็สนใจคุณกุ้ง เพราะมีวัยรุ่นผู้ชายที่ทำกรรมฐานวัดมหาธาตุท่าพระจันทร์นั้นน้อยมาก แล้วแนะนำให้รู้จักกับเด็กผู้ชายอีกคนกำลังเรียนอยู่ชั้น ม.6 ซึ่งเคยมาทำกรรมฐานที่คณะ 5 มาก่อนแล้ว ชื่อน้องหนุ่ม วันหลังคุณกุ้งได้รู้จักกับน้องหนุ่มและได้พูดคุยกันตามปกติ และน้องหนุ่มบอกว่าจะแนะนำคนที่รู้จักกับคุณกุ้งในอดีตชื่อน้องดำ

วันถัดมาน้องหนุ่มก็นำน้องดำมา พอคุณกุ้งเจอกับน้องดำ ความรู้สึกเหมือนคนที่เคยเป็นเพื่อนมาก่อนและคุยกันสนุก และในช่วงนั้นคุณกุ้งได้รู้จักกับน้องเณรรูปหนึ่งอายุประมาณ 12-13 ปี ซึ่งเข้ามาทำกรรมฐานที่คณะ 5 และได้รู้จักกับพี่ใหญ่ เป็นผู้ชายแต่มีหน้าตาเหมือนผู้หญิงอยู่ในเกณฑ์ที่สวยมากคนหนึ่งพร้อมกับคุณวัชระ (เดี๋ยวนี้ทำงานการบินไทยเดินทางบ่อย)

ฝ่ายน้องหนุ่มกับน้องดำได้ทำการนัดแนะกับกับคุณกุ้งว่า เมื่อคุณกุ้งจะออกกรรมฐานให้ไปเที่ยวอยุธยาที่กรุงเก่าก่อน พอถึงเวลานัดพบกันที่หัวลำโพงโดยมีผู้ที่ไปกันดังนี้ คุณกุ้ง น้องหนุ่ม น้องดำ พี่ปลา และเพื่อนของพี่ปลา ความจริงน้องหนุ่ม น้องดำ พี่ปลา เป็นคน อยุธยา เมื่อถึงที่กรุงเก่าน้องดำก็ไปชื้อมีดดาบมาสองอัน แล้วบอกว่าจะไปฟันพวกพม่าน้องหนุ่มได้บอกกับคุณกุ้งว่า น้องดำในชาติก่อนเคยเป็นนายทหารสมัยอยุธยาตอนปลาย และเป็นทหารคนสนิทของคุณกุ้ง คุณกุ้งในชาติก่อนเป็นเจ้านายวังหลังคุณกุ้งก็รับฟังตามนิสัยของเขา

เรื่องต่างๆ ที่น้องหนุ่มบอกได้เพราะน้องหนุ่มทำกรรมฐาน จนเทวดาที่เป็นเพื่อนมาสัมผัสได้และเป็นผู้บอกเรื่องราวต่างๆ บางครั้งแสดงให้เห็นโอปปาติกะต่างๆ ฝ่ายคุณกุ้งพอเดินถึงจุดหนึ่งก็เกิดความคุ้นเคยขึ้น ก็เลยอธิษฐานจิตว่า "ถ้าข้าพเจ้าเคยอยู่ที่นี้มาก่อน ก็ขอให้เกิดญาณรู้หรือความรู้สึกเก่าๆ เกิดขึ้นด้วย" อาจจะเป็นเพราะว่ายังอยู่ในกรรมฐาน ความบริสุทธิ์ของจิตยังมีอยู่ ทำให้เกิดความรู้สึกขึ้นมาทันที ว่าตนเองเคยเป็นเจ้านายวังหลังและเดินผ่านทางนี้บ่อย และรู้ด้วยว่าตรงนั้นเป็นที่ขึ้นเทียบช้างของเจ้านาย ตรงนั้นเคยเป็นสระน้ำ และชอบมานั่งคุยกับทหารคนสนิทบ่อย นับว่าที่น้องหนุ่มกล่าวก็มีเค้าความจริงอยู่ ฝ่ายน้องดำพอเดินไประหว่างเจดีย์สามองค์ ก็ชี้ว่าตรงนี้แหละที่เขาต่อสู้กับทหารพม่า แล้วถอยมาตรงนี้ถูกทหารพม่าฟันล้มลง และโดนเผาตาย ส่วนเพื่อนของพี่ปลาก็เดินดูระหว่างประตูกำแพงพอถึงจุดหนึ่งเป็นโพรงระหว่างกำแพง ก็ร้องเสียงวี้ดวิ่งออกมาพร้อมร้องบอกว่า เห็นคนคอขาดนั่งชันเข่าอยู่ในโพรง เลยตกใจวิ่งออกมา สถานที่ทั้งหมดปัจจุบันมีการซ่อมแซมใหม่ ซึ่งตอนนั้นที่พวกเขาไปยังไม่ได้ซ่อมแซม แล้วเรื่องต่างๆ โดนโยงเรื่องให้ติดต่อกันโดยน้องหนุ่ม เพราะมีเทพคอยชี้แนะดังนี้

น้องหนุ่มเมื่อสมัยอยุธยาตอนปลายก่อนที่จะเสียกรุงศรีอยุธยา เกิดเป็นลูกสาวของนายทหารผู้ใหญ่คนหนึ่ง และได้ยกให้เป็นภรรยานายทหารหนุ่มคนหนึ่ง ส่วนพี่ใหญ่เมื่อสมัยนั้นเกิดเป็นผู้หญิงเหมือนกันแต่เป็นนางสนมข้างใน และสองคนนี้หน้าตาคล้ายกันมาก มีพวกโจรพวกหนึ่งอาจพอใจในตัวพี่ใหญ่เลยจะฉุดพี่ใหญ่ไปเป็นภรรยา พอดีลูกน้องดันมาฉุดผิดตัวเอาตัวน้องหนุ่มไป เมื่อไปถึงก็รู้ว่าเอาผิดตัว จึงปล่อยกลับมาโดยที่มิได้ทำอะไรเลย ฝ่ายคู่ครองของน้องหนุ่ม ที่เป็นนายทหารก็มีความโกรธน้องหนุ่ม ว่าไปมีอะไรกับพวกโจรมาแล้วน้องหนุ่มก็บอกว่าไม่ได้มีอะไรกัน ไม่เชื่อก็ฆ่าน้องหนุ่มให้ตายเสีย แล้วนั่งนึกถึง พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ฝ่ายนายทหารหนุ่มมีความโกรธอยู่ ก็เอาดาบฟัดขาดสะพายแล่งตายก็ไปเกิดเป็นเทพธิดา

พอจะมาถึงปัจจุบันชาติก็พยายามอธิษฐานให้ลงมาเกิดเป็นมนุษย์ผู้ชาย เพื่อที่จะได้มาบวชได้จึงได้มาเกิดเป็นผู้ชาย (อาจเป็นเพราะมีบุญที่พอให้เกิดได้) และได้มาเจอกับคุณกุ้งและได้บอกว่าสามเณรรูปที่มาทำกรรมฐาน ชาติก่อนเป็นนายทหารหนุ่มที่ฆ่าน้องหนุ่ม แต่ได้อโหสิกรรมหมดแล้ว และน้องหนุ่มได้เล่าต่อว่า

พี่ปลาในชาติสมัยเดียวกันได้เกิดเป็นผู้หญิงเป็นลูกสาวนายทหารเหมือนกันซึ่งเป็นนายทหารที่ซื่อตรงมาก จึงทำให้นายทหารอีกฝ่ายโยนความผิดให้ จึงถูกลงอาญาให้ประหารทั้งตระกูล และนายทหารพ่อของพี่ปลาสั่งให้ทุกคนไม่ให้หนีไปไหน รอรับอาญาแต่โดยดี แต่พี่ปลามีคนมาชวนให้หนีก็เลยจึงหนีออกจากเมืองไป ทำให้พ่อชาติก่อนโกรธมากปัจจุบันเป็นเทวดา และไม่ยอมมาสัมผัสกับลูกสาวในชาติปัจจุบันเลย

หลังจากนั้นน้องหนุ่มมากล่าวถึงเพื่อนพี่ปลา ว่าในสมัยเดียวกันได้เกิดเป็นพลทหารลูกน้องของพ่อพี่ปลาในชาติก่อน เกิดหลงรักพี่ปลา และได้อธิษฐานว่าถ้าเกิดชาติหน้าขอให้ได้ใกล้ชิดพี่ปลา ไม่ว่าจะเป็นหญิงก็ยอม และปัจจุบันได้อยู่ใกล้ชิด

เมื่อถึงเวลาจะกลับจากกรุงเก่าทุกคนพร้อมกันนั่งสมาธิ แผ่เมตตาและอุทิศส่วนบุญให้ แล้วก็แยกย้ายกันกลับบ้านจากกันไปปฏิบัติงานตามหน้าที่ แล้วไม่เคยรวมตัวกันอีกเลยเหมือนลมที่พัดผ่าน แล้วสลายไปเช่นนั้น

  เรื่องที่ 3. มิตรต่างภพของพระบวชใหม่

เรื่องมีอยู่ว่าข้าพเจ้ามีเพื่อนร่วมกรรมฐาน ได้แก่ คุณกุ้ง คุณยิ้ม คุณเหมียน และเมื่อเข้าพรรษาปี 2535 คุณเหมียนจะทำการบวชที่บ้านเกิดจังหวัดพัทลุงและเป็นที่ทำธุรกิจส่วนตัว ส่วนข้าพเจ้าไปงานบวชไม่ได้เพราะมีเหตุจำเป็นบางอย่าง ผู้ที่ไปงานบวชได้ก็มี คุณกุ้งและคุณยิ้มเมื่องานบวชผ่านพ้นไปของค่ำคืนนั้น ณ.กุฏิของพระบวชใหม่ มีพระเหมียน คุณกุ้งคุณยิ้มและพนักงานที่ทำงานเป็นช่างซ่อมวิทยุ-ทีวี ที่ร้านของพี่ชายพระเหมียนและช่างคนนี้เคยบวชพระมาแล้ว 2 พรรษาเมื่อหลายปีมาแล้ว และไม่เคยทรงเจ้าเข้าผีมาก่อนเลย ขณะที่กำลังสนทนาเรื่องทั่วๆ ไปและเรื่องกรรมฐานอยู่ดีๆ คุณกุ้งก็พูดขึ้นว่า มีผู้ที่จะมาร่วมวงสนทนาด้วย (การที่คุณกุ้งพูดอย่างนั้นเพราะคุณกุ้งสามารถสัมผัสกับสิ่งเหล่านี้ได้)

พอพูดได้สักพักช่างคนนั้นเริ่มตัวคู้ลงแล้วหมดสติไปแล้วมีอาการคล้ายคนแก่ แล้วพูดออกมาเป็นเสียงคนแก่ว่า "หลวงปู่ได้มาแสดงความยินดีที่หลานได้บวชในวันนี้ หลวงปูมีความยินดีมาก" แล้วสนทนาเรื่องต่างๆ อีกมากมาย จะไม่ขอกล่าวในที่นี้ และหลังจากนั้น พอหลวงปู่กลับ ช่างก็ได้สติขึ้นมา พระเหมียน คุณกุ้ง คุณยิ้ม ถามว่าที่พูดกันมานั้นรู้เรื่องหรือไม่ ช่างบอกว่าไม่รู้เรื่องเลย ไม่รู้ว่าเป็นอะไรหลังคู้ลงและหมดความรู้สึกไป หลังจากวันนั้นเป็นต้นมาช่างคนนี้ ก็โดนเข้าทรงบ่อย เพื่อสนทนากับพระใหม่ท่านนี้จนกระทั่งสึกออกมา อย่างนี้ไม่เรียกว่ามิตรต่างภพแล้วจะเรียกว่าอะไร ?

  เรื่องที่ 4. กุมารทองจอมซน

เรื่องมีอยู่ว่า เมื่อ ปี 2526 หลังจากที่ข้าพเจ้าออกกรรมฐานจากคณะ 5 วัดมหาธาตุท่าพระจันทร์ แล้วมาอาศัยอยู่กับเพื่อนที่หอพักเก่าที่ข้าพเจ้าเคยอยู่มาก่อน ป้าเตือนคนที่ดูแลหอพัก จะมีโต๊ะหมู่บูชาแต่จะมีที่พิเศษคือกุมารทองของแก และในเช้าวันหนึ่งขณะที่ข้าพเจ้ากึ่งหลับกึ่งตื่น ก็ได้มีเด็กคนหนึ่งแต่งตัวโจงกระเบนไว้ผมจุกมายืนอยู่บนหัวของข้าพเจ้าบนเตียงนอน ทำหน้ากวนๆ และหัวเราะข้าพเจ้าจึงบอกว่าให้ลงไปข้างล่างเขาก็ไม่ยอมลง ข้าพเจ้าพูดว่า "ไม่ลงไปตีนะ!" เขาก็ยืนเฉย ข้าพเจ้าก็เอามือซ้ายจับต้นแขนของกุมารทองและเอามือขวาตีก้นแบบถี่ แล้วเคลื่อนไปทางเท้าด้านซ้าย พอถึงปลายเท้าข้าพเจ้าก็ถีบออกไป พร้อมกับข้าพเจ้าตื่นจากกึ่งหลับกึ่งตื่นพอดี และเท้าซ้ายก็กำลังถีบส่งพอดี หลังจากนั้นข้าพเจ้าไม่เคยเห็นกุมารทองอีกเลย

  เรื่องที่ 5. ความรู้ใหม่ที่ไม่ทันตั้งตัว

เรื่องมีอยู่ว่า ประมาณปี 2532 หลังจากที่ข้าพเจ้าล้มเลิกการทำกิจการเพาะเห็ดที่บ้านแล้วขึ้นมากรุงเทพฯ มาอาศัยแฟลตของคนที่รู้จักกันอยู่ ซึ่งในที่นี้คุณกุ้งเพื่อนร่วมกรรมฐานอาศัยอยู่ด้วยข้าพเจ้าได้เข้ามาอยู่กรุงเทพฯ ประมาณ 2-3 วัน และคุณกุ้งชอบใช้สมาธิช่วยเหลือคน และวันหนึ่งคุณกุ้งได้ชวนข้าพเจ้าไปวัดระฆังและบอกข้าพเจ้าว่า มีหลวงพี่ท่านหนึ่งได้บอกชวนคุณกุ้งให้ไปช่วยเหลือผู้หญิงคนหนึ่ง และอาการที่ผู้หญิงคนนั้นเป็นคือมีความรู้สึกว่าตนเองมีแต่เรื่องไม่ดี และอาจจะเกิดอุบัติเหตุเมื่อไรก็ได้

เมื่อข้าพเจ้ากับคุณกุ้งและพี่แมว(เป็นคนรู้จัก)ไปถึงกุฏิของหลวงพี่ และทำการแนะนำให้รู้จักข้าพเจ้า รอสักพักหนึ่งผู้หญิงคนนั้นก็เข้ามา ซึ่งข้าพเจ้าจำชื่อไม่ได้เพราะเจอเพียงครั้งเดียว หลังจากที่ผู้หญิงคนนั้นเข้ามา จึงพูดคุยกันสอบถามว่าเป็นอย่างไร ผู้หญิงคนนั้นบอกว่า ปัจจุบันมีแต่เรื่องไม่ดีเกิดขึ้นกับตัวเองบ่อย และกลัวจะมีเหตุการณ์ร้ายแรงเกิดขึ้น ข้าพเจ้าเลยสอบถามถึงครอบครัว ผู้หญิงคนนั้นบอกว่า เขามีลูกชายหนึ่งคน และเขากับสามีได้ร่วมกันสร้างฐานะกันจนมีบ้านเดี่ยวพื้นที่ 50 ตารางวาและช่วงที่ทำงานกันอยู่ทั้งคู่จบ ปวช. ต่อมาให้สามีเรียนต่อจนจบปริญญาตรี หลังจากนั้นสามีให้ออกจากงานมาเลี้ยงลูก ตำแหน่งสามีสูงขึ้นกลับบ้านไม่ตามเวลา และฝ่ายมารดาของสามีไม่ชอบผู้หญิงคนนี้เอาเสียเลยพยายามหาภรรยาใหม่ให้ลูกชายเพื่อให้เลิก ในระยะหลังสามีเริ่มคล้อยตามมารดา ตนเองก็มีแต่เรื่องไม่ดีเกิดขึ้น กลัวว่าจะมีเรื่องร้ายแรงเกิดขึ้น และเข้าใจว่าทางมารดาสามีจะทำคุณไสยใส่ตน

ความจริงก่อนหน้านี้คุณกุ้งเคยทำน้ำมนต์ให้ไปดื่มแล้ว แต่ยังไม่รู้สึกสบายใจขึ้น ข้าพเจ้าก็เลยปรึกษากับคุณกุ้งว่า ถ้าทำน้ำมนต์แบบเดิมก็คงช่วยอะไรไม่ได้ และข้าพเจ้าแนะนำว่าปกติคุณไสยจะต้องมีวิญญาณกำกับอยู่จึงจะมีผลเกือบ 100 เปอร์เซ็นต์ ถ้าบุคคลที่โดนคุณไสยกำลังตกอยู่ในเคราะห์กรรมที่กรรมไม่ดีส่งผล

ข้าพเจ้าเลยบอกคุณกุ้งว่าลองช่วยตามวิธีข้าพเจ้าดู โดยเรียกวิญญาณนั้นมาคุยกันโดยผ่านทางคุณกุ้งและคุณกุ้งไม่ต้องกลัวเพราะระดับสมาธิของคุณกุ้งมันทำอะไรไม่ได้ คุณกุ้งตอบตกลงแต่ไม่เชื่อมั่นนัก ข้าพเจ้าเลยบอกว่าให้คุณกุ้งเข้าสมาธิเสร็จแล้ววางใจเฉยๆ ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น ก็ให้วางใจเฉยอย่างเดียวเรียกว่าการสื่อสัมผัส คนที่สื่อได้จะต้องมีระดับสมาธิสูงพอสมควรซึ่งคุณกุ้งอยู่ในเกณฑ์นั้น พอคุณกุ้งเข้าสมาธิได้ที่(จากการสังเกตของข้าพเจ้า) ข้าพเจ้าก็อธิษฐานจิตเพื่อที่จะดึงวิญญาณที่คอยทำร้ายผู้หญิงคนนี้ มาสัมผัสกับคุณกุ้ง แล้วข้าพเจ้าก็เรียกออกเสียงเพื่อดึงมาให้ได้ สักพักหนึ่งวิญญาณนั้นเข้ามาสัมผัสตัวคุณกุ้งเริ่มสั่นเล็กน้อย เพราะเป็นครั้งแรกในชีวิตแต่รู้ตัวทุกอย่าง (หมายเหตุวิธีนี้ถ้าผู้ที่จะเป็นตัวกลางไม่มีสมาธิสูงจริงอย่าทำ เพราะเสียเวลาเปล่าหรืออาจจะเป็นเรื่องที่ควบคุมไม่ได้ และถ้าผู้ควบคุมไม่มีคุณธรรม และสมาธิที่ดีพอยิ่งไปกันใหญ่) ข้าพเจ้าจึงเตือนคุณกุ้งให้วางใจสงบทรงสมาธิไว้วางใจเฉยๆ ไม่ต้องปรุงแต่งอะไร สักพักหนึ่งข้าพเจ้าเริ่มถามวิญญาณนั้นว่า "ท่านเป็นวิญญาณที่คอยทำร้ายผู้หญิงคนนี้ใช่หรือไม่?"

วิญญาณพูดว่า "ใช่"

แล้วข้าพเจ้าถามว่า "มาทำร้ายเขาทำไม ?"

วิญญาณพูดว่า "ใจของข้าไม่อยากทำร้ายเขาหรอก แต่โดนพระเขมร มันขุดเอากระดูกข้าเอาสายสิญจน์พันจนแน่น แล้วท่องคาถาอาคมให้สายสิญจน์รัดข้าเจ็บทรมานมาก แล้วบังคับให้ข้าหาทางทำร้ายผู้หญิงคนนี้ให้ได้ไม่เช่นนั้นจะเจ็บตัวมากขึ้น ข้าหาโอกาสที่จะทำร้ายผู้หญิงคนนี้มานานพอสมควรแล้ว แต่เขามีของดีรักษาข้าจึงทำไม่สำเร็จแต่ยังรอโอกาสอยู่ "

ข้าพเจ้าจึงถามวิญญาณต่อว่า "จะแก้ไขอย่างไรจึงจะให้ท่านหลุดจากคาถาของพระเขมร"

วิญญาณตอบว่า "ต้องหาพระเก่งๆ จริงๆ ให้มาทำพิธีในวันพระในวันที่พระจันทร์เต็มดวง จึงจะมีโอกาสช่วยได้"

ข้าพเจ้าจึงพูดว่า "ถ้าจะรอหาพระและรอจนพระจันทร์เต็มดวงอีกนาน ดังนั้นข้าพเจ้าจะช่วยท่านตอนนี้ท่านจะยอมหรือไม่?" วิญญาณผงกศีรษะแต่ในเชิงที่ไม่มั่นใจ

ข้าพเจ้าจึงถามต่อ "ท่านเชื่อเรื่องบุญหรือไม่?" วิญญาณผงกศีรษะ

ข้าพเจ้าพูดต่อว่า "ความจริงสายสิญจน์กับกระดูกของท่านไม่เกี่ยวกับท่านเลย เอาแล้วนะจะอุทิศส่วนบุญให้ตั้งใจรับให้ดี"

แล้วข้าพเจ้าก็อุทิศส่วนบุญว่า "ด้วยอำนาจของพระพุทธพระธรรม พระสงฆ์ข้าขออุทิศส่วนบุญที่ข้าพเจ้าได้เคย ทำสังฆทานภัตตาหารแก่พระภิกษุ ให้แก่ท่านผู้นี้" พอข้าพเจ้าอุทิศส่วนบุญจบ มือของเพื่อนข้าพเจ้าที่อยู่ในท่านั่งสมาธิสะบัดออกทันที

แล้วข้าพเจ้าถามวิญญาณต่อไปว่า "เป็นอย่างไร?"

วิญญาณตอบในเชิงดีใจว่า "ข้าหลุดจากสายสิญจน์แล้ว!"
ข้าพเจ้าพูดต่อว่า "ท่านก็ยังอาจจะตกอยู่ในอำนาจของเขาได้โดยวิธีอื่น เอาละจะอุทิศกุศลให้อีกครั้งให้ตั้งใจรับ และต้องศรัทธาจริงในสิ่งที่จะให้"

แล้วข้าพเจ้าก็เริ่มอุทิศส่วนบุญอีกครั้ง "ด้วยศรัทธาในพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ บูชาในพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ขออุทิศส่วนบุญที่ได้ทำวิปัสสนากรรมฐานอย่างเต็มที่ ให้กับท่านผู้นี้"

พอจบคำอุทิศส่วนบุญคุณกุ้งเริ่มสะบัดตัวแล้วนั่งยืดตัวจนสุดตัวสักพักใหญ่ก็สงบ

ข้าพเจ้าจึงถามว่า "เป็นอย่างไรดีขึ้นหรือไม่?"

วิญญาณพูดว่า "เราไม่มีความทุกข์อย่างเก่าแล้วเราจุติใหม่แล้วขอบใจท่านมากที่ช่วย จะไปแก้แค้นพระเขมร"

ข้าพเจ้าจึงกล่าวว่า "ท่านจะรีบไปไหน และการพยาบาทขอร้องให้ยุติเพราะจะมีเวรต่อกัน และถ้าเขาทำอะไรท่านอีกจะลำบากเปล่า"

วิญญาณใหม่พูดว่า "มันไม่สามารถทำอะไรเราได้อีกแล้ว ในเมื่อท่านไม่ให้แก้แค้นเราก็จะไม่แก้แค้น แต่จะคอยขัดขวางสิ่งที่มันทำ ขอบใจท่านมากนะไปก่อน"

หลังจากนั้นคุณกุ้งก็ออกจากสมาธิ คุณกุ้งมีอาการแปลกใจประหลาดใจระคนกับความตื่นเต้น เพราะพยายามระงับใจไม่ให้เกิดความอยากคิดอยากถาม ทั้งที่รับรู้ทุกอย่างเป็นสมาธิเป็นเวลานาน และเป็นความรู้ใหม่ และถามข้าพเจ้าอย่างตื่นเต้นว่า "เซียม เป็นไปได้อย่างไร" ข้าพเจ้าตอบอย่างถ่อมตัววางภูมิว่า "เป็นธรรมดาอย่างนี้แหละ" แล้วข้าพเจ้าถามต่อว่า "เวลาพูดเป็นอย่างไร ? เวลาได้ยินข้าพเจ้าถามเป็นอย่างไร ?" คุณกุ้งตอบว่า "เวลาจะพูดจะพูดขึ้นมาเองไม่ได้คิดที่จะพูดเพียงแต่รู้อยู่เฉยๆ เวลาได้ยินเซียมพูดเหมือนว่าได้ยินอยู่ที่ไกล"

หลังจากทำภารกิจให้ผู้หญิงคนนี้เสร็จก็แยกย้ายกันกลับบ้าน และข้าพเจ้าไม่เจอผู้หญิงคนนี้อีกเลย ส่วนคุณกุ้งหลังจากนั้นสามารถฝึกการสื่อสัมผัสได้แต่ก็ไม่ใช่ทางของเขา ซึ่งเป็นความรู้ใหม่ และหลวงพี่ท่านนั้นปัจจุบันนี้ได้สึกจากพระแล้ว เพราะท่านเป็นพระปริญญาและบ่นจะสึกออกมาหางานตั้งแต่เจอกันครั้งแรกแล้ว

   เรื่องที่ 6. กำราบเจ้าพ่อครั้งแรก

เมื่อประมาณปี 2526 หลังจากคุณกุ้งออกกรรมฐานจากคณะ 5 ครั้งที่ 2 แล้วกลับไปช่วยงานทางบ้านที่จังหวัดพิษณุโลก เป็นพ่อค้ารับซื้อเมล็ดพืชตามหมู่บ้านต่างๆ และพอช่วงใกล้สอบก็ขึ้นมากรุงเทพฯ ทำการสอบ มีอยู่ครั้งหนึ่งขณะที่ออกไปรับซื้อเมล็ดข้าวโพดที่หมู่บ้านแห่งหนึ่ง ได้เห็นชาวบ้านมุงดูอะไรกันเต็ม ก็เลยแวะเข้าไปดู เห็นเด็กผู้หญิงคนหนึ่งกำลังโดนผีเข้า และมีหมอผีคนหนึ่งกำลังรดน้ำมนต์บนหัว พอรดเสร็จเด็กผู้หญิงคนนั้นก็หัวเราะพูดเสียงอ้าวว่า "ข้าไม่กลัวน้ำมนต์ของมึง มีอะไรแสดงอีก ข้าเจ้าพ่อโว้ย!" ฝ่ายหมอผีทำทุกอย่างจนอ่อนใจ จนคุณกุ้งบอกว่า "เดี๋ยวผมขอลองดูวิธีของผมว่าใช้ได้หรือเปล่า"

ชาวบ้านและหมอผีให้ลองดู คุณกุ้งเลยขอน้ำมาหนึ่งขัน คุณกุ้งก็เริ่มเข้าสมาธิแล้วกำหนดกรรมฐาน ออกจากสมาธิแล้วอธิษฐานว่า"ด้วยอำนาจพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ขอให้น้ำนี้เป็นน้ำมนต์ เพื่อขับไล่สิ่งที่เข้าสิงเด็กสาวคนนี้ด้วยเทอญ" ขณะนั้นมือและใจยังสั่นๆ อยู่เลย แล้วเอาน้ำมนต์ประมาณครึ่งขันรดบนศีรษะของเด็กผู้หญิงคนนั้นๆ ร้อง "โอ้ย โอ้ย โอ้ย" ทุรนทุราย

คุณกุ้งจึงถามว่า "จะออกหรือไม่ออก?" เด็กคนนั้นพูดว่า "กูไม่ออก" คุณกุ้งก็รดน้ำลงไปอีก เด็กก็ร้อง "โอ้ย กูกลัวแล้วแต่กูจะไม่ออก" คุณกุ้งจึงคิดว่ามีวิธีอื่นที่ดีกว่านี้ คือการสนทนากันเพื่อแก้ปัญหาจึงถามว่า "มาเข้าสิงเขาทำไม ?" เด็กคนนั้นพูดว่า "กูชอบมันจะเอามันไปอยู่ด้วย และไม่เคยมีใครทำกับกูได้อย่างนี้มึงนะเก่ง" คุณกุ้งจึงพูดต่อไปว่า "อย่าเอาเด็กคนนี้ไปขอแลกเปลี่ยนเป็นอย่างอื่นได้ไหม ?" เด็กคนนั้นพูดต่อ "ไม่ยอมโว้ย!" คุณกุ้งเลยบอกว่า "อย่างนั้นจะรดน้ำอีก" เด็กคนนั้นพูดว่า "กูกลัวแล้ว ก็ได้กูขอเหล้าขาว 1 ขวด ไก่อีกหนึ่งตัวบุหรี่ 1 ซองแลกเปลี่ยน"

หลังจากนั้นชาวบ้านก็เอาสิ่งที่เจ้าพ่อต้องการมาให้ เหล้าขาวหนึ่งขวดเด็กคนนี้ดื่มครั้งเดียวหมดและกินของทุกอย่างจนหมดนั่งสูบบุหรี่ แล้วก็ออกไป นี้เป็นจุดเริ่มต้นที่คุณกุ้งทำได้เป็นครั้งแรกและต่อมาก็ใช้สมาธิช่วยคนทั่วไป แต่ไม่ได้ทำเป็นล่ำเป็นสันเพียงต้องการพิสูจน์เท่านั้น และไม่เคยหวังค่าตอบแทน

   เรื่องที่ 7. เทพธิดาผู้คอยดูแลผู้ปฏิบัติธรรม

เรื่องมีอยู่ว่าหลังจากหลวงพี่ท่านที่ไปรักษากับคนทรงท่านพ่อเทพกลับมาได้ 1 หรือ 2 วันและมีแม่ชีแก่คนหนึ่งที่เข้ามาทำกรรมฐานที่คณะ 5 ซึ่งเป็นคนแนะนำหลวงพี่และญาติของหลวงพี่ไปรักษา และแม่ชีคนนี้ศรัทธากับพ่อเทพมาก และในช่วงนั้นเวลาประมาน 13.00.กว่า เป็นช่วงที่กำลังปฏิบัติธรรมกันอยู่ ส่วนข้างนอกที่ทำกรรมฐานเป็นที่นั่งของคนที่มาเยี่ยม ซึ่งหลวงพี่ท่านนี้นั่งอยู่ พอดีมีพระอายุมากท่านหนึ่งเดินผ่านมาแล้วถามหลวงพี่ว่าไปหาคนทรงเป็นอย่างไรบ้างได้ข่าวว่ามีตะปูเป็น 10 ตัวหรือ?

พอพระทั้งสองคุยได้สักพัก แม่ชีที่เชื่อมั่นในพ่อเทพเข้ามาคุยประสมโรงด้วย และแม่ชีพูดยกย่องพ่อเทพ เป็นเวลา 10 นาทีก็ยังไม่เลิก 15 นาทีก็ยังไม่เลิกและเวลาคุยก็ไม่เกรงใจว่ามีผู้อื่นทำกรรมฐานกันอยู่ จนข้าพเจ้าเองที่นั่งกำหนดกรรมฐานอยู่แทบทนไม่ได้ และคิดว่าจะต้องมีใครไปเตือนพวกเขาเพราะไม่เกรงใจกันเลย

ข้าพเจ้านั่งกำหนดได้สักพักหนึ่งก็ได้ยินเสียง "ตีตๆ ตีต ตีตๆ ตีด" และข้าพเจ้ารู้ทันทีว่ามีเทพอยู่แถวนี้พอสักประเดี๋ยว มีผู้หญิงคนหนึ่งที่กำลังทำกรรมฐานอยู่ ตัวสั่นแล้วลุกขึ้นมาเดินไปที่วงสนทนาแล้วพูดเสียงดังๆว่า "เราเป็นเทพธิดาชื่อ โรศิณี ผู้คอยดูแลที่นี้ พวกท่านคุยกันรบกวนผู้ปฏิบัติธรรมไม่สำรวมแถมยังยกยอผู้อื่นในที่นี้ ซึ่งเป็นที่ทำกรรมฐาน ไป! ถ้าจะคุยกันไปคุยกันที่อื่น"

เมื่อพูดเสร็จผู้หญิงคนนั้นกลับมานั่งที่เดิม เป็นอันว่าวงสนทนาต้องแยกวงโดยปริยาย และข้าพเจ้าได้ยินเสียง "ตีตๆ ตีต" อีกอยู่พักใหญ่แล้วก็หายไป ก็นับว่าเป็นเรื่องที่แปลกดี

   เรื่องที่ 8. หลวงพี่พระมหาโชติ

ประมาณปี 2528 ข้าพเจ้าและเพื่อนๆ ประมาณ 10 กว่าคน รวมด้วยพระ 1 รูป เข้าทำกรรมฐานที่คณะ 5 วัดมหาธาตุ อาจารย์ยังให้เปิดห้องเรียนใหญ่ให้ 1 ห้อง เพื่อให้ข้าพเจ้าและเพื่อนทำกรรมฐาน และพอดีมหาโชติได้เข้ามาเพื่อทำกรรมฐานและเคยมาทำกรรมฐานที่คณะ 5 มาก่อน แต่ท่านประจำอยู่ที่วัดเขาสมโภช เป็นลูกศิษย์ของหลวงพ่อคง แต่ฝึกกรรมฐานตามแนวคณะ 5

อาจารย์จึงให้หลวงพี่มหาโชติมาคอยควบคุมดูแล จึงทำให้ข้าพเจ้าได้รู้จักกับหลวงพี่โชติ และได้ทราบประวัติการทำกรรมฐานจากหลวงพี่ดังนี้ หลวงพี่ท่านเรียนจนถึงเปรียญ 5 ประโยค แล้วเริ่มต้นทำกรรมฐาน ไปเรื่อยๆ จนไปเป็นลูกศิษย์เอกของหลวงพ่อคง และทำภารกิจต่างๆ แทนหลวงพ่อคงเมื่อหลวงพ่อคงไม่อยู่ พอมาทำกรรมฐานที่คณะ 5 ทำให้ความคิดเริ่มเป็นของตนเอง หลวงพี่เคยอธิษฐานอดอาหารตลอด 1 เดือน ฉันเฉพาะน้ำ ตามแนวของหลวงพ่อคง แล้วหลวงพี่อธิบายให้ฟังว่า ช่วง 7 วันแรกจะมีอาการหิวท้องร้องโครกครากลมในท้องมีมาก พอผ่านเจ็ดวันไปแล้วถึง 15 วัน ตัวเริ่มเบาลมในท้องยังมีอยู่ เวลาถ่ายมีแต่ลม อาการหิวน้อยลง ช่วง 16 ถึง 24 วัน เริ่มอ่อนแรงมึนศีรษะ วันที่ 25 ถึง 29 ไม่มีแรง มึนศีรษะมาก วันที่ 30 มึนศีรษะมากและวูบไป เหมือนจิตตนเองกำลังพุ่งออกจากร่างกายมาอยู่ข้างนอก

และเหมือนมีจิตอีกสองดวง กำลังกล่าวถกเถียงกันอยู่ จิตดวงหนึ่งกล่าวว่า "เอาพระมหาโชติไปได้เลย" จิตอีกดวงหนึ่งกล่าวว่า "ไม่ได้ให้ท่านอยู่ต่อ" หลังจากนั้นหลวงพี่มหาโชติ รู้สึกเหมือนมีคนจับเหวี่ยงเข้าใส่ร่างกายตนเอง จึงฟื้นขึ้นมาแล้วเริ่มฉันนมและอาหารอ่อน

คุณพิเศษของหลวงพี่คือสามารถสื่อสัมผัสกับวิญญาณได้รวดเร็ว ซึ่งข้าพเจ้าเคยขอร้องให้หลวงพี่สื่อให้ดูขณะที่ยืนคุยอยู่ พอหลวงพี่เข้าสมาธิชั่วแป๊บเดียวก็สัมผัสได้แล้ว และพูดภาษาเทพแต่ละชั้น ครั้งแรกให้พูดภาษาเทพชั้นจาตุฯ และครั้งที่สองพูดภาษาเทพชั้นดาวดึงส์

ยังมีอีกอย่างที่หลวงพี่มี คือพระธาตุของพระอรหันต์ และธาตุของพระอรหันต์จะเพิ่มขึ้นจนเต็มกระปุกที่เก็บไว้ และหลวงพี่ก็แจกให้คนอื่นบ่อย และเพิ่มขึ้นมาอีก ปัจจุบันหลวงพี่มหาโชติ ได้ไปเป็นเจ้าอาวาสวัดปอบแปบ(จำชื่อไม่คอยได้) อยู่ทางจังหวัดนครศรีธรรมราช

   เรื่องที่ 9. หลวงพี่วัดธาตุทอง

เมื่อปี 2535 ข้าพเจ้าพยายามสอบหาพระภิกษุที่ท่านมีอภิญญา โดยจะเข้าไปหาพระภิกษุตามวัดต่างๆในกรุงเทพฯแต่พระภิกษุที่ข้าพเจ้าไปหานั้นจะเลือกท่านที่ไม่มีชื่อเสียงมากกว่า เพราะท่านที่มีชื่อเสียงส่วนมากเวลาถามเรื่องอภิญญา ท่านก็จะไม่พยายามพูดด้วย หรือหลีกเลี่ยงการพูด และเวลาที่ถามเกี่ยวกับกิเลสที่มีอยู่ท่านก็พยายามที่จะหลีกเลี่ยงการพูดคุยทันทีด้วยอุบายในเชิงปฏิเสธที่จะไม่ขอตอบ ต่างกับพระไม่มีชื่อเสียงท่านจะพูดตรงไปตรงมาตามที่ท่านมีหรือไม่มี และตามที่ท่านคิดเห็นจริงตามเหตุตามผลของท่าน ซึ่งอาจจะไม่ตรงกับความเห็นของข้าพเจ้าแต่ก็เป็นความรู้เป็นธรรมะที่ทำให้ข้าพเจ้าได้เข้าใจสิ่งต่างๆ มากขึ้น

ดังเช่นกรณีของหลวงพี่วัดธาตุทอง ปกติข้าพเจ้าเวลาเข้าไปในวัดจะถามพระว่ามีพระรูปใดบ้าง ที่ท่านเก่งทางด้านสมาธิหรือเก่งทางด้านกรรมฐาน พระท่านก็จะชี้แนะกันไปเอง และแนะนำให้ข้าพเจ้ารู้จักกับพระรูปหนึ่ง ซึ่งยังเป็นพระหนุ่มบวชมาหลายพรรษา แล้วข้าพเจ้าได้ถามหลวงพี่เกี่ยวกับอภิญญา หลวงพี่กล่าวว่าอภิญญาที่ทำให้เกิดจริงนั้นไม่มี เช่นการทำให้ฝนตกหรือน้ำท่วมจริงๆ ไม่มีจะทำได้ก็เฉพาะบิดเบือนให้เห็นว่ามีฝนตกหรือน้ำท่วมเกิดขึ้นแต่ไม่เป็นจริงตามธรรมชาติ นี้เป็นความคิดเห็นของหลวงพี่

หลวงพี่ได้อธิบายทราบถึงประวัติก่อนบวช ความจริงหลวงพี่ไม่ได้ต้องการที่จะบวช เพราะตอนนั้นยังหนุ่มอยู่มีงานมีการทำมีอิสระของตนเองฐานะทางบ้านก็อยู่ในเกณฑ์ที่ดี แต่มีเหตุที่ให้ต้องบวช คือหลวงพี่เป็นโรคอะไรไม่ทราบ คือเวลาจะออกจากบ้านพอจะก้าวพ้นประตูบ้านก็จะหมดเรี่ยวแรงล้มลงทุกครั้ง ไปไหนไม่ได้ แต่อยู่ในบ้านทุกอย่างเป็นปกติ ไปหาหมอก็ไม่หาย มารดาของหลวงพี่จึงไปหาคนทรง และคนทรงบอกว่ามีวิญญาณคอยจ้องทำร้ายหลวงพี่อยู่ นอกจากบวชพระให้เขาก็จะเป็นปกติ หลังจากนั้นมารดาจึงบวชให้ พอบวชพระอาการทุกอย่างก็หายหมด จึงบวชพระมาตลอด มีอยู่ช่วงหนึ่งเรื่องการหาทรัพย์สมบัติตามลายแทง หรือตามคำบอกเล่ากำลังดัง ด้วยความเป็นพระหนุ่มอยากจะลองพิสูจน์กับเขาบ้าง จึงออกธุดงค์ ถ้าทราบข่าวว่าที่ใดมีขุมทรัพย์ที่คนโบราณฝังไว้ก็จะไปดูที่นั้น

มีอยู่ครั้งได้ทราบข่าวว่าทางภาคเหนือ จังหวัดเชียงใหม่ข้าพเจ้าก็จำไม่ได้ ได้มีถ้ำที่มีสมบัติอยู่แต่ไม่มีใครเข้าไปเอาได้ จะโดนดีเสียก่อนต้องถอยทัพกลับ หลวงพี่กับพระเพื่อนก็จะลองไปดู และได้เข้าไปสำรวจในถ้ำช่วงเย็นด้วยความใจกล้าของท่านทั้ง 2 พอเข้าถ้ำได้สักพักหนึ่ง ก็ได้มีปู่โสมเฝ้าทรัพย์ปรากฏตัวให้เห็น ในรูปของงูใหญ่เหมือนกับจะบอกกับหลวงพี่ว่า ทรัพย์สมบัติไม่ใช่ของพวกหลวงพี่ เอาไปไม่ได้ให้กลับไป ถ้าไม่เช่นนั้นจะโดนดี แต่เพราะความเป็นหนุ่มไฟแรงจึงบวกกับความอยากจะได้ จึงไม่ยอมถอยจะเข้าเอามาให้ได้

สักพักก็เกิดมีลมพัดมาอย่างแรงจากภายในถ้ำจนกลายเป็นพายุ จนหลวงพี่ต้องหาที่เกาะถอยหลังออกมา แล้วบังเกิดเสียงน้ำไหลออกมาแล้วไหลบ่ามา จนหลวงพี่ต้องว่ายตะกายน้ำหนียิ่งว่ายน้ำยิ่งมากเลยต้องว่ายอยู่อย่างนั้น จนอ่อนแรงหมดกำลัง และหมดสติไปมารู้สึกตัวอีกครั้งหนึ่งเมื่อรุ่งเช้าวันใหม่ และมีชาวบ้านมาเจอที่ปากถ้ำ หลวงพี่กล่าวต่อไปว่าเมื่อฟื้นขึ้นมาไม่เห็นมีน้ำเลย และที่อกหลวงพี่ถลอกหมดเลยคล้ายกับคนที่เอาอกไถพื้นดิน เหมือนกับพระเพื่อนที่ไปด้วย เพราะด้วยเหตุผลที่ผ่านมาทำให้หลวงพี่เชื่อว่าอภิญญา ที่ทำให้เกิดขึ้นจริงๆ ตามธรรมชาติไม่มี มีแต่ที่จะบิดเบือนจิตใจของผู้อื่นให้เห็นไปตามที่ต้องการได้ เป็นอันว่าเรื่องของหลวงพี่น่าจะเอามาพิจารณาได้

   เรื่องที่ 10. แม่ชีผู้ปฏิบัติธรรมจนตายแต่ไม่ตาย

ต้นปี 2537 ข้าพเจ้าได้ไปปฏิบัติงานที่จังหวัดกระบี่ จึงได้มีโอกาสแวะไปวัดถ้ำเสือ 3-4 ครั้ง เพื่อจะไปนมัสการหลวงพ่อจำเนียร แต่ก็โชคร้ายของข้าพเจ้าไม่เคยพบกับหลวงพ่อจำเนียร จึงได้สอบถามแม่ชีว่า มีแม่ชีท่านใดที่ท่านเก่งทางด้านสมาธิ แม่ชีก็แนะนำแม่ชีพุ่ม ข้าพเจ้าจึงไปหาแม่ชีพุ่ม แล้วสอบถามเกี่ยวกับการปฏิบัติธรรม เนื่องจากข้าพเจ้าได้รู้มาก่อนแล้วจากแม่ชีที่ข้าพเจ้าได้สอบถามว่า แม่ชีพุ่มปฏิบัติธรรมจนจิตหลุดออกจากร่างกายได้ ระหว่างที่ข้าพเจ้าสนทนากับแม่ชีพุ่มอยู่ข้าพเจ้าได้ถามแม่ชีพุ่มว่า "ได้ทราบข่าวว่าแม่ชีสามารถนั่งสมาธิจนถอดจิตได้ อยากทราบว่าอาการเป็นอย่างไร"

แล้วแม่ชีพุ่มเริ่มเล่าให้ข้าพเจ้าฟังดังนี้ ""ตอนช่วงนั้นแม่ชีพุ่มกำลังป่วยเจ็บหน้าอกเป็นโรคมะเร็งที่ทรวงอก และแม่ชีพุ่มชอบทำกรรมฐานที่ป่าช้าเป็นประจำ เมื่อโรคมีอาการมากเข้าจึงเอาเสื่อเอาหมอนไปอยู่ที่เชิงตะกอนเผาผี กะว่าเวลาตายจะไม่เป็นภาระของคนอื่น คือเอาร่างนั้นใส่เชิงตะกอนเผาได้เลย แม่ชีพุ่มจึงกำหนดวิปัสสนากรรมฐานไปเรื่อยๆ มีอยู่วันหนึ่งขณะที่พิจารณาสติปัฏฐานสี่ เกิดมีอาการเจ็บทรวงอกอย่างมากจึงกำหนดเจ็บอย่างเดียว พอเจ็บมากเข้าๆ กลับกลายพิจารณาว่าตายๆ ๆ อย่างเดียว แล้วจึงรู้สึกเหมือนตกจากที่สูงลงไป แล้วจิตเกิดพลิก แล้วร่างกายละเอียดเกิดหลุดออกมาอยู่ข้างนอก ไม่มีอาการเจ็บปวดเหลืออยู่เลยและร่างเบาสบาย นั่งมองกายเนื้อของตนเอง แล้วพิจารณาว่ากายเนื้อเป็นรังของโรคไม่น่าอยู่ไม่น่าอาศัย จึงไม่อยากเอาไว้แล้วก็ออกเดินไป จนไปถึงที่ที่หนึ่งมีม้านั่งสำหรับนั่งสนทนาธรรมกันและที่ของใครก็ของท่านนั้นมันเกิดขึ้นเอง และที่นั่งของแม่ชีพุ่มมีอยู่ที่หนึ่ง ซึ่งแม่ชีพุ่มรู้ได้เอง แล้วรู้ว่าที่นี้เป็นสวรรค์ชั้นดุสิต จึงได้นั่งลงสนทนากับผู้อื่นอยู่ ขณะที่นั่งสนทนาอยู่พักใหญ่ ก็บังเกิดได้ยินหลวงพ่อจำเนียรเรียกให้กลับ หลังจากนั้นตัวของแม่ชีพุ่มเริ่มหนักขึ้น และมารู้สึกตัวพร้อมทั้งความเจ็บปวดไม่มีอาการอีกเลย""

รวมเวลาที่แม่ชีถอดจิตออกไปเป็นเวลา 1 คืน กับ 1 วัน หลังจากนั้นแม่ชีพุ่มสามารถถอดจิตได้บ่อยเพราะทรงอารมณ์เก่าไว้ได้ บางครั้งถอดออกไปเป็นเวลา 7 วันเมื่อกลับเข้าร่างเดิมต้องหามเข้าโรงพยาบาลให้น้ำเกลือเพราะร่างกายขาดอาหาร ยังสามารถทรงนิมิตถามเหตุการณ์ที่พอจะรู้ได้ที่ไม่เกินวิสัย เรื่องนี้ก็น่าพิจารณาเหมือนกัน

   เรื่องที่ 12. ผู้ปรารถนาอย่างแรงกล้าเพื่อละกิเลสในชาตินี้

เมื่อต้นปี 2537 ที่วัดถ้ำเสือจังหวัดกระบี่ ข้าพเจ้าได้สอบถามพระภิกษุว่ามีพระท่านใดที่เก่งทางด้านสมาธิ พระท่านจึงแนะนำให้ข้าพเจ้ารู้จักกับพระแสวง ข้าพเจ้าจึงไปสนทนาการปฏิบัติกรรมฐานกับท่าน และท่านได้กรุณาเล่าให้ข้าพเจ้าฟังว่า "เมื่อท่านได้บวชพระวัยหนุ่มที่จังหวัดชลบุรี และที่วัดมีภูเขาสูงบนยอดเขาเป็นลานพอที่จะยืนหรือนั่งได้เพียงคนเดียว ในเย็นวันหนึ่งเนื่องจากท่านปรารถนาที่จะละกิเลสให้ได้ในชาตินี้แต่ไม่รู้แนวทาง จึงได้ขึ้นบนภูเขายืนอยู่บนลานนั้น แล้วกำหนดจิตอธิษฐานพร้อมทั้งกล่าวมาดังว่า "ขอให้เทพเทวดาและสิ่งศักดิ์สิทธิ์รับรู้และเป็นพยานด้วยว่าข้าพเจ้าจะละกิเลสให้ได้ในชาตินี้! "ทันใดนั้นลมได้หมุนรอบตัวท่านเวียนขวา แล้วก้อนเมฆเริ่มก่อตัวเป็นเมฆฝนดำทะมึนรอบๆ บริเวณที่ท่านยืนอยู่ฟ้าได้ร้องและได้ผ่าลงอย่างแรงเสียงดังสนั่นหวั่นไหวจนแสบแก้วหูแล้วฝนก็ตกลงมาเม็ดโตๆ ท่านได้ตั้งใจไว้ว่าจะยืนอยู่บนยอดเขาอย่างนี้

สักพักหนึ่งท่านได้ยินเหมือนเสียงกระซิบว่า "ขอให้ท่านลงจากยอดเขาเพราะจะมีพายุและฝนตกหนักเทพเทวดาได้รับทราบท่านแล้ว" หลังจากนั้นมาท่านก็กำหนด พุทธ-โธ โดยไม่มีครูบาอาจารย์ เรื่อยๆ ประมาณ 10 กว่าวันพอถึงวันหนึ่ง ท่านก็ตั้งจิตไว้ว่าจะนั่งกำหนด พุทธ-โธ ไม่ยอมเคลื่อนไหวจนถึงที่สุดหลังจากนั้นท่านก็เริ่มนั่ง เมื่อนั่งเป็นเวลานานเข้าขาเริ่มชาเริ่มเจ็บแต่ยังกำหนด พุทธ-โธ เมื่อนานเข้าเริ่มเจ็บมากเข้าจนเป็นนิมิต เห็นตัวกินเลือดขนาดเท่ามือที่กำลังคลานมาตรงหัวเข่าแล้วดูดเลือดทั้งสองข้าง ก็ยังอดทนนั่งอยู่สักพักหนึ่งเสมือนมีความร้อนวิ่งพุ่งขึ้นบนศีรษะก็ยังอดทนอยู่ จึงเกิดการระเบิดร่างกายแตกออกเป็นเสี่ยงๆ กลายเป็นดาวประกายพรึก ทรงอยู่อย่างนั้นมีปีติสุขมาก จนสว่างขึ้นวันใหม่ เจ้าอาวาสก็ได้เคาะประตูเรียกทุกกุฏิของพระเพราะเกิดแผ่นดินไหว และว่ามีใครทำอะไรจึงเกิดแผ่นดินไหว จนเคาะไปถึงกุฎีของท่านเห็นไม่เปิดประตูจึงพังประตูเข้าไป แล้วเจ้าอาวาสพูดว่า "ทำอย่างนี้ได้อย่างไรถ้าเกิดเป็นบ้าขึ้นมาจะว่าอย่างไร ?"

ฝ่ายท่านพระแสวงนั้นลืมตาไม่ขึ้นเพราะกำลังตกอยู่ในสมาธิต้องพยายามอยู่พักหนึ่งจึงเป็นปกติ แล้วเจ้าอาวาสพูดสำทับว่า "ที่หลังอย่าทำอย่างนี้อีก" หลังจากนั้นพระหนุ่มแสวงเห็นว่าบวชไปก็ทำอะไรไม่ได้จึงสึกออกมา ยึดอาชีพการทำประมงจนย้ายมาอยู่ที่จังหวัดกระบี่ จนอายุ 50 กว่าปี ก็ทำกรรมฐานตามแนวหลวงพ่อเทียน แล้วก็ทำกรรมฐานที่วัดถ้ำเสือ อายุ 60 ปีบวชพระทำกรรมฐานจนเกิดการดับบ่อย บางครั้งขณะเดินจงกรมก็ดับค้างอยู่อย่างนั้น บางครั้งกำลังปั้นเม็ดยาก็ดับค้างอยู่ ซึ่งบังคับไม่ให้ดับไม่ได้ แต่ที่พระแสวงว่าแปลกอยู่อย่างหนึ่ง ว่าเวลาบิณฑบาตหรือเดินอยู่บนถนนมันไม่ดับ แต่เดี๋ยวนี้ท่านช่วยเหลือคนเช่นรักษาเป็นหมอยาหนักไปทางสื่อสัมผัสใช้คาถารักษาผู้ป่วย เรื่องนี้น่าจะพิจารณาได้ว่า ถ้าตั้งใจเด็ดเดี่ยวเพื่อละกิเลสและกระทำจริงๆ ย่อมมีผลมหัศจรรย์อย่างแน่นอน ส่วนเรื่องที่จะหลงอยู่หรือเปล่านั้นกำหนดกันไม่ได้

จบเรื่องคั่นเวลา 1