แต่งงานมีครอบครัว

แล้วปลายปี 2529 ข้าพเจ้ากับคุณดีก็ได้แต่งงานกัน ข้าพเจ้าก็ได้ใช้เงิน สามหมื่นบาทที่แม่ให้ไว้เป็นครั้งแรกเพราะเป็นกิจที่จำเป็นแล้ว โดยใช้จ่ายในการทำบุญจัดงานเลี้ยงพระและผู้ปฏิบัติธรรมทั้งหลายหมดทั้งคณะ 5 วัดมหาธาตุท่าพระจันทร์ ซึ่งมีพระธรรมธีรราชมหามุนี(เจ้าคุณโชดก) เป็นประธาน และได้จัดเลี้ยงทั่วไปสำหรับเพื่อนๆ ญาติๆ ที่ห้องอาหารเสริมมิตรที่ถนนลาดพร้าว

หลังจากนั้นเราทั้ง 3 ก็ได้ทราบว่า ตอนที่พระอาจารย์ยังเป็นหนุ่ม ว่าท่านเคยเรียนคาถาและฝึกกสิณมาก่อน เราทั้งสามคนก็สนใจที่จะเรียนคาถาจากพระอาจารย์ จึงได้เข้าไปขอพระอาจารย์เรียนคาถา อาจารย์พอทราบก็แปลกใจ และบอกว่า

“ อาจารย์ไม่ได้ใช้คาถามาเป็นเวลา 10 กว่าปี แล้ว อาจารย์ลืมหมดแล้ว”

พวกเราจึงกล่าวว่า “ อาจารย์น่าจะยังจำได้บ้าง”

พระอาจารย์นิ่งไป แล้วกล่าวว่า “เอา.. อาจารย์จะทวนความจำสอนพวกเธอ เพราะเห็นว่าพวกเธอไม่เอาไปใช้ในสิ่งที่ไม่ดี”
แล้วพระอาจารย์ถามว่า “พวกเธอต้องการคาถาอะไร

พวกเราก็ปรึกษากันสรุป คือขอคาถาหายตัว เป็นคาถาแรก
พระอาจารย์นึกทบทวนคาถาอยู่พักหนึ่ง พระอาจารย์จึงพูดว่า “อาจารย์จะสอนคาถาพุทธคุณให้ เป็นคาถาบังตาหรือหายตัว ให้พวกเธอไปฝึก”

หลังจากนั้นพระอาจารย์ก็นึกคาถาแล้ว ก็เขียนคาถาให้พวกข้าพเจ้าไปท่อง และภาวนาให้ขึ้นใจ อีกเจ็ดวันต่อมา เมื่อเข้าไปหาพระอาจารย์ ท่านก็ถามว่า “พวกเธอท่องจำคาถาได้หรือยัง”

พวกข้าพเจ้าตอบว่า “ท่องได้แล้ว”

พระอาจารย์ก็พูดว่า “เอาทดลองกันเลย” แล้วพระอาจารย์ให้ข้าพเจ้าและเพื่อนหยิบกล่องไม้ขีด ที่อยู่หน้าโต๊ะหมู่ ที่มีอยู่ 2 กล่อง ถือคนละกล่อง แล้วบอกว่าให้ข้าพเจ้าและเพื่อนท่องคาถาทำให้ไม้ขีดที่อยู่ในกล่องนั้นหายไป ข้าพเจ้าและเพื่อนเปิดฝากล่องออกมาทั้งหมดเห็นไม้ขีดอยู่เต็มแต่ไม่รู้ว่าจะทำอย่างไร แต่ก็ทำเป็นท่องคาถาในใจใส่ ตามแบบที่เคยเห็นเคยดูมาจากทีวี ตั้งหลายรอบก็ไม่เห็นหายไปเลย

พระอาจารย์ก็พูดว่า “เอากล่องไม้ขีดมา อาจารย์จะทำให้ดู”
เพื่อนจึงเอาไม้ขีดให้พระอาจารย์ แล้วท่านก็เปิดฝาไม้ขีดออกครึ่งหนึ่ง วางบนมือซ้ายที่หงายมือขึ้น มือขวาก็วนอยู่เหนือกล่องไม้ขีดที่เปิดครึ่งหนึ่ง พร้อมทั้งปากขมุบขมิบไล่คาถา หลังจากนั้นท่านก็นิ่ง แล้วยกมือซ้ายขึ้นมาเพื่อให้กล่องไม้ขีดตั้งตรง เพื่อให้พวกเราเห็นได้ชัดเจน แต่ในช่วงนั้นเห็นหน้าตาท่านนิ่งมากเลย ไม่ยอมพูดจา

เราทั้งสามเห็นเพียงกล่องไม้ขีดเปล่าๆ ไม่เห็นก้านไม้ขีดแม้แต่ก้านเดียว เมื่อพวกข้าพเจ้าเห็นชัดเจนหมดแล้ว พระอาจารย์ก็เอามือลง แล้วเอามือขวาลูบเหนือกล่องไม้ขีดครั้งเดียว แล้วก็ยกให้ดูอีกครั้ง แต่หน้าตาท่านไม่ได้นิ่งเฉยเหมือนดังที่ผ่านมา พวกเราก็เห็นมีไม้ขีดเต็มกล่องเหมือนเดิม แล้วพระอาจารย์ก็แนะเคล็ดในการใช้คาถาว่า

“ในการไล่คาถานั้นต้องกลั้นลมหายใจ และในขณะที่ไล่คาถานั้นต้องไล่คาถาที่ปาก ไม่ใช่นึกในใจ ต้องไล่คาถาจนถึงอุปาจาระสมาธิจึงจะสำแดงผล การบังตานั้นจะบังได้ก็อยู่ในช่วงที่กลั้นลมหายใจได้เท่านั้น”
พวกเราจึงถามว่า “ถ้าเอากล้องมาถ่าย มันจะบังกล้องหรือเปล่าครับ”
พระอาจารย์ตอบ “บังตาคนได้ คงบังกล้องถ่ายรูปไม่ได้”
พวกเราถามว่า “กว่าจะฝึกได้สักอย่างใช้เวลานานไหมครับ”
พระอาจารย์บอกว่า “นาน ตอนอาจารย์เป็นเณรอยู่ ก็ชอบหาที่เรียนคาถา อาจารย์ของอาจารย์ก็ให้ท่องคาถาอย่างนี้ กว่าจะทำได้สำเร็จสักอย่าง ก็ต้องใช้เวลาเป็นพรรษา แต่เมื่อทำได้สักอย่างหนึ่งแล้ว คาถาอื่นๆ ที่เหลือก็ทำได้โดยไม่ยากแล้ว”

หลังจากนั้นพระอาจารย์ก็ให้คาถาอีกบทหนึ่ง ท่านเรียกว่า คาถาปลุกธาตุในตัวคือ “นะมะพะถะ จะพะกะสะ” จำไม่ค่อยได้เพราะไม่ท่องมานาน 10 ปีกว่า ส่วนคาถาบังตานั้นเรา 3 คนลืมไปหมดแล้ว เพราะโลกปัจจุบันนี้ไม่จำเป็นต้องใช้คาถา ผ่านยุคที่ต้องใช้คาถาในการดำรงชีวิตไปแล้ว เพราะต้องใช้ความรู้และความสามารถในเชิงวิชาการทางโลกในการดำรงชีวิตเสียมากกว่า

ตอนนั้นข้าพเจ้าและเพื่อนก็ถอดใจแล้วว่าไม่มีเวลาทำอย่างนั้นได้แน่ แต่แฟนข้าพเจ้าคุณดีท่าทางเขาจะชอบ และชอบคาถาปลุกธาตุ เป็นอย่างมาก สามารถท่องเข้าสู่อุปจารสมาธิ และจนได้ฌานหนึ่งแบบคาถา ในคาถาปลุกธาตุนี้ละ สามารถปลุกพระเครื่องได้ และสามารถรู้ว่า พระเครื่ององค์ไหนที่ปลุกเสกมาแล้วหรือยังไม่ปลุกเสก และรู้ว่าพระเครื่ององค์ไหนที่ปลุกเสกด้วยแรงสมาธิมากหรือน้อย(ขลังมากหรือน้อย) ส่วนคุณกุ้งทำได้เหมือนกัน เมื่อทดสอบกันระหว่างแฟนกับเพื่อนก็ตรงกัน แต่คุณกุ้งเขาสนใจเรื่องทิพย์จักขุงมากกว่า จึงเน้นไปทางนั้น

วันต่อมาแฟนข้าพเจ้าได้เอาพระเครื่องที่เขาสะสมไว้ทั้งหมด(เรื่องพระเครื่องนั้นข้าพเจ้าไม่สนใจและไม่เคยเก็บสะสม) ชวนข้าพเจ้าไปหาพระอาจารย์ แล้วเล่าเรื่องอาการต่างๆ ที่เขาท่องคาถาปลุกธาตุ แล้วเอาพระเครื่องต่างๆ ที่เขาเก็บไว้มาทดสอบให้ดู พระอาจารย์มองแล้วยิ้มๆ แล้วพูดว่า “ของจริงๆ” หลังจากนั้นแฟนก็ขอให้อาจารย์ปลุกพระ อาจารย์ก็ปลุกให้ อาการของพระอาจารย์ก็เหมือนกับแฟนแต่นิ่มกว่ามากๆ แล้วแฟนก็หยิบพระทีละองค์ ส่งให้พระอาจารย์ แล้วถามว่า “ว่าองค์นี้แรงไหมอาจารย์ก็เอากำไว้ในมือแล้วไล่คาถาเบาๆ กล่าวว่า “องค์นี้แรง” .. “องค์นี้แรงน้อยกว่า” .. “องค์นี้แรงมาก” ซึ่งบอกได้ใกล้เคียงกับแฟนทุกอย่าง

เป็นอันว่าพวกเรา 3 คนได้เรียนสิ่งที่พิเศษจากวิปัสสนากรรมฐาน ก็ทำให้ไม่แห้งแล้งดี แต่ก็ได้ไปไม่เท่ากันคือ
1.นิมิตและญาณรู้เบื้องต้น ได้ไปพอๆ กันทั้ง 3 คน
2.ทิพย์จักขุง ที่ละเอียดลงไป จนเห็นและสัมผัสกับ เปรต เทวดา พรหม เพื่อนข้าพเจ้าก็ชำนาญไป
3.แฟนข้าพเจ้า ก็ได้คาถาปลุกธาตุไป ปลุกพระเครื่อง และตรวจความแรงของพระเครื่องได้ กับการสื่อสัมผัสกับเทวดาแบบผงกหรือส่ายศีรษะตอนนอนราบ
4.ข้าพเจ้าในตอนนั้นเสกอะไรก็ ขลังไปหมด แต่ปลุกพระแบบตรวจสอบพระไม่เป็น

การเสกอะไรก็ขลังไปหมดของข้าพเจ้านี้ ก็เกิดจากการอยากทดลองตามประสาคนที่เรียนมาทางวิทยาศาสตร์ เพราะเห็นว่า แฟนและเพื่อนปลุกพระและตรวจสอบพระได้ แต่ข้าพเจ้าทำไม่ได้ ซึ่งคาถาข้าพเจ้าก็ได้เรียนมาจากพระอาจารย์เหมือนกัน วันหนึ่งข้าพเจ้าได้แอบเอาเข็มที่กลัดเสื้อ ไปเสกด้วยคาถาพุทธคุณอยู่พักหนึ่งโดยที่แฟนไม่รู้ หลังจากนั้นข้าพเจ้าก็เอาเหรียญบาทมาหนึ่งอัน แล้วไปหาแฟนแล้วบอกว่า

“ไหน ลองปลุก เข็มกลัดนี้กับเหรียญบาทดูชิ ว่าต่างกันอย่างไร
แฟนก็งง แต่ก็รับไปปลุก เขาก็เอาเข็มกลัดไปปลุกก่อน โอ้สั่นแรงมาก เหมือนกับพระที่ขลังๆ เลย หลังจากนั้น เขาเอาเหรียญบาท มาปลุกดู กลับเป็นว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น ข้าพเจ้าเลยต้องพิสูจน์ซ้ำ โดยให้แฟนรอก่อนแล้วข้าพเจ้าก็ไปอีกห้องหนึ่ง แล้วเอาเหรียญบาท กับเหรียญห้า หรือเหรียญบาทกับเหรียญห้าสิบ
สตางค์ จำไม่ได้แล้ว เอาสมมุติเป็นเหรียญบาทกับเหรียญ 5 บาทก็แล้วกัน แล้วข้าพเจ้าก็เสกคาถาเข้าไปในเหรียญ 1 บาท แล้วข้าพเจ้าเอาเหรียญทั้ง 2 มาให้แฟนปลุกอีกครั้ง พอแฟนปลุกเหรียญบาทที่ข้าพเจ้าเสกคาถาเข้าไป โอ้สั่นแรงมาก แต่เมื่อปลุกเหรียญห้าบาท กลับไม่มีอะไรเกิดขึ้น

การพิสูจน์แค่นี้ยังไม่พอสำหรับข้าพเจ้า ข้าพเจ้าและแฟนจึงไปหาคุณกุ้ง แล้วเอาเข็มกลัดอันเก่าที่ข้าพเจ้าเสกแล้ว กับเหรียญบาทใหม่ ที่อยู่ในกระเป๋าให้เขาปลุกและตรวจสอบดู พอเพื่อนเอาเข็มกลัดปลุกดู โอ้สั่นแรงมากจนเพื่อนแปลกใจ แต่เมื่อเอาเหรียญบาทไปปลุกกลับไม่มีอะไรเกิดขึ้น ข้าพเจ้าจึงบอกให้เพื่อนรอก่อน แล้วเอาเศษไม้กับกับเศษอะไรอีกอย่างจำไม่ได้ แล้วแอบเข้าไปในห้อง แล้วข้าพเจ้าก็เสกคาถาใส่เศษไม้อยู่พักหนึ่ง แล้วลองให้เพื่อนกับแฟนปลุกดู ทั้งสองปลุกเศษไม้ขึ้นสั่นเหมือนกันเลย แต่ปลุกเศษอะไรอีกอย่างหนึ่งไม่ขึ้น ก็เป็นเรื่องแปลกที่ทดสอบกันในขณะนั้น (แต่ปัจจุบันนี้ผ่านมา 20 กว่าปี แล้ว และไม่ได้ไปสนใจสิ่งเหล่านี้ เราทั้งสามคงอาจจะเสกและปลุกพระกันไม่เป็นแล้วมั้ง)

และแล้ววิบากกรรมในการวางยาเบื่อปลาตอนวัยเด็กเริ่มหมดวิบาก เมื่อแฟนข้าพเจ้าอาการอ่อนเพลียลงตัวเหลืองต้องตรวจเลือดหาเชื้อโรค ปรากฏว่าแฟนติดเชื้อโรคในระยะ 2 อย่างอ่อน กลายเป็นว่าข้าพเจ้านั้นแหละเป็นพาหะของเชื้อไปติดแฟนเพราะเมื่อตรวจเลือดแล้วข้าพเจ้ามีเชื้ออยู่ ข้าพเจ้าจึงย้อนนึกไปถึงว่าข้าพเจ้ามีเลือดเสียตั้งแต่ตอนบวชพระ และไม่ได้รับการแนะนำที่ถูกต้องจากพยาบาล และนึกย้อนไปตอนที่ท้องผูกมากๆ จนต้องใช้นิ้วเขี่ย เมื่อตอนเรียนอยู่ปีหนึ่ง และรู้ว่าเพื่อนบางคนเป็นนักเที่ยวต่างติดเชื้อมา และนิมิตที่ข้าพเจ้าเห็นในความฝัน เป็นอันว่าข้าพเจ้าติดเชื้อมาถึง 7 ปี โดยที่ไม่ได้รับการรักษาเลย

เมื่อข้าพเจ้าและแฟนได้รับการรักษา โดยฉีดยา 3 เข็มห่างกันเดือนละเข็ม ก็หายขาดจากเชื้อร้ายนั้น เส้นตึงที่คอจนปวดทรมานทางด้านซ้ายหรือขวาในบางช่วงก็ค่อยหายไปอย่างปลิดทิ้ง ข้อมือซ้ายที่เจ็บบวมแข็งและอักเสบเจ็บจนทรมานน้ำตาไหลที่เป็นมาเป็นระยะ ก็ยังเป็นอยู่แต่บรรเทาการทรมานเวลาเจ็บปวดไปมาก เป็นอันว่าข้าพเจ้าเป็นโรคเก๊าหรือรูมาตอยโดยยังไม่รู้ตัว แต่ความทรมานมากๆๆๆ ยามอักเสบนั้นทุเลาไปมาก และเป็นเพียงแต่ข้อมือซ้ายเท่านั้น ส่วนเส้นยึดที่คอนั้นได้บรรเทาจนหายไปเมื่อรักษาเชื้อโรคนั้นหายขาด ปากและลิ้นที่เป็นแผลได้บรรเทาลงมาก แต่ก็ยังเป็นอยู่เป็นระยะๆ ห่างออกไป (ปัจจุบันลิ้นและปากข้าพเจ้าบรรเทาหายจนเป็นปกติแล้ว การพูดการจาของข้าพเจ้าก็เป็นปกติขึ้นเป็นจังหวะชัดเจนขึ้น )

เมื่อเวลาผ่านไปความสงสัยลังเลตามวิสัยของนักวิทยาศาสตร์ที่เรียนมาทางวิทยาศาสตร์ย่อมมีขึ้น หลายวันผ่านมาทำให้ข้าพเจ้าสงสัยว่าอีกเมื่อใด ตนจึงจะถึงจุดที่มุ่งหวัง ด้วยความอยากทราบมากขึ้นเรื่อยๆ จึงได้ขอร้องอาจารย์ว่าให้ช่วยดูให้ด้วย ส่วนอาจารย์ก็บอกว่าขอให้อาจารย์พร้อมกว่านี้หน่อย เวลาผ่านไปเกือบเดือน และมีอยู่ครั้งหนึ่งอาจารย์ได้เดินทางไปทางเชียงใหม่เพียงท่านเดียว ทิ้งการสอนกรรมฐานไว้ข้างหลัง โดยไม่บอกชวนผู้ใดเป็นเวลา 7 วัน แม้ข้าพเจ้าเองได้ทราบตอนที่อาจารย์กลับมาแล้ว เพื่อนข้าพเจ้าที่ทำกรรมฐานอยู่บอกข้าพเจ้าว่าอาจารย์กลับมาหน้าตาท่านบวม เพราะอยู่ในอากาศหนาวหลายวัน หลังจากนั้นอาจารย์บอกข้าพเจ้าว่าท่านไปฝึกสมาธิในถ้ำทางเชียงใหม่มา และอาจารย์ได้กล่าวกับข้าพเจ้าว่า "เดี๋ยวนี้สมาธิอาจารย์ใสจริงๆ" ข้าพเจ้าจึงเข้าใจทันทีว่าที่อาจารย์ไปเชียงใหม่เพราะสาเหตุมาจากข้าพเจ้า

ถ้ามองถึงฐานะของข้าพเจ้าในช่วงนั้นจนเอามากๆ และไม่เคยให้ทรัพย์สินเงินทองแก่อาจารย์ คืออาจารย์ไม่เคยได้อะไรจากข้าพเจ้านอกจากการทำบุญเล็กๆ น้อย กับการที่ข้าพเจ้าปฏิบัติกรรมฐานกับท่านมาเป็นเวลา หลายปีบวกกับความศรัทธาในช่วงหลังและความจริงใจของข้าพเจ้า หลังจากนั้นอาจารย์ก็บอกกับข้าพเจ้า ว่าอาจารย์พร้อมที่จะดูให้ ครั้งนี้ข้าพเจ้าถามว่า "จะให้ผมนั่งสมาธิไหม?" อาจารย์ตอบว่า "ไม่ต้อง" หลังจากนั้นอาจารย์เข้าสมาธิดูเป็นเวลานานพอใช้ แล้วก็ออกจากสมาธิ กล่าวกับข้าพเจ้าว่า "เซียม! เธออีกนานมากนะ" ข้าพเจ้าจึงถามว่า "แล้วอาจารย์ได้เห็นตอนที่ผมได้บรรลุไหม?" อาจารย์ตอบ "อาจารย์ดูไปไม่ถึงแต่เธอแน่นอนแล้วไม่ต้องสงสัย"

ข้าพเจ้าจึงพูดทำนองว่ามีบุคคลร่วมยุคกับข้าพเจ้าที่จะ บรรลุเป็นพระพุทธเจ้า อาจารย์กล่าวว่า ".6 ท่านแน่นอนแล้ว" ข้าพเจ้าจึงถามว่า "ท่านได้รับพยากรณ์แล้วหรือ?" อาจารย์ตอบว่า "ได้รับพยากรณ์แล้ว" ข้าพเจ้าจึงถามต่อไปว่า "ท่านบรรลุก่อนผมใช่ไหมครับ?" อาจารย์ตอบ "ใช่ แต่เธออีกนานมากนะ"

หลังจากนั้นข้าพเจ้าก็มีความสงสัยว่าไม่เคยมีข่าวว่า ร.6 ท่านปรารถนาพุทธภูมิ ทำให้ข้าพเจ้าต้องทำการค้นคว้าเรื่องของ ร.6 ว่ามีสักครั้งไหมที่ ร.6 ท่านเขียนไว้เป็นลายลักษณ์อักษร ที่แสดงว่าท่านปรารถนาพุทธภูมิ ตามหอสมุดต่างๆ จนได้ทราบว่า ร.6 ท่านเคยได้ทำศิลาจารึกทำนอง ที่ว่าท่านได้ปรารถนาพุทธภูมิ ประเภทศรัทธาพุทธเจ้าไว้ที่วัดแห่งหนึ่ง อ่านเจอจากหนังสือเรื่องบารมี ถ้าข้าพเจ้าจำไม่ผิด

หลังจากนั้นข้าพเจ้าก็ยังทำกรรมฐานต่อเรื่อยๆ ยามบังเกิดสมาธิ ข้าพเจ้าก็ถามอาจารย์และโมเมว่าอาจจะเป็นมรรคผลนิพพาน จนอาจารย์ตอบให้ฟังว่า "ถ้าอารมณ์ที่ส่งมาให้อาจารย์ฟังเป็นอารมณ์ผลนิพพานของจริงอาจารย์ต้องตอบว่าจริง แต่เมื่อไม่จริงจะให้อาจารย์บอกว่าจริงได้อย่างไร อีกอย่างถ้าเธอบรรลุถึงนิพพาน เธอต้องเป็นพระพุทธเจ้า แต่ในสมัยหนึ่งจะมีพระพุทธเจ้า 2 องค์พร้อมกันไม่ได้ เธออย่าสงสัยอะไรอีกเลย"

อาจารย์พูดย้ำเรื่องการอย่าสงสัยของข้าพเจ้าหลายครั้งเหมือนจะรู้ว่าข้าพเจ้าต้องสงสัยแน่ในอนาคต มีหลายอย่างที่ข้าพเจ้าได้ความรู้จากอาจารย์และทราบจากอาจารย์ภายหลังพอค้นคว้าจริงๆ ก็เป็นไปตามที่อาจารย์กล่าว อย่างเช่นมีเรื่องหนึ่งอาจารย์ได้ถามว่า "ในฐานะที่เซียมเรียนวิทยาศาสตร์ พวกฝุ่นที่ห้องปิดอย่างมิดชิดมันเกิดลูกเกิดหลานได้ใช่ไหม? อาจารย์สังเกตมันเกิดเยอะเลย" ข้าพเจ้าก็ตอบในฐานะนักฟิสิกส์ว่า "ฝุ่นนั้นมันล่องลอยในอากาศ เมื่อเข้าไปในห้องที่ลมสงบก็ตกลงบนพื้นเกาะกันหนาขึ้น" อาจารย์ก็พูดว่า "เป็นอย่างนั้นหรือ?"

หลังจากนั้นอีกหลายเดือนข้าพเจ้าก็ได้รับคำอธิบายเรื่องฝุ่นในเชิงชีววิทยา ว่าปกติในอากาศจะมีจุลินทรีย์หรือแบคทีเรียชนิดหนึ่ง ที่คอยจับกินฝุ่นในอากาศเป็นอาหาร แล้วถ่ายของเสียตกลงมาบนพื้นก็คือฝุ่น ดังนั้นคำถามของอาจารย์ก็มีเค้าความจริง จากประสบการณ์ที่ผ่านมาเริ่มทำให้ข้าพเจ้าหันมาอยู่ทางโลกเพิ่มขึ้น และเริ่มศึกษาประวัติต่างๆ มากมายจนได้รับความรู้ แล้วเข้าใจในสิ่งต่างๆ มากขึ้นไม่ได้ยึดถืออย่างไม่มีหลักเกณฑ์

ถึงช่วงนี้พระอาจารย์เห็นว่าเราทั้ง 3 คน ได้เรียนรู้มาพอสมควรแล้ว ท่านจึงชวนให้ไปอยู่ป่าช้าสัก คืน ในคืนเดือนมืด พระอาจารย์ชวนอยู่หลายครั้ง แต่ตอนนั้นแฟนข้าพเจ้าเริ่มท้องจึงไม่ได้ไป จึงถามพระอาจารย์ว่า
“ไปทำ
ไมครับ”
พระอาจารย์ตอบ “ไปเพื่อจะได้เรียกผีให้มาเห็นด้วยตากันจะๆ จริงๆ”
** พระอาจารย์เป็นอาจารย์ที่ดีจริงๆ เมื่อสอนแล้วก็แสดงให้ดู เพื่อให้ทราบว่ามีจริงๆ ทำได้จริงๆ **
พวกเราถาม “จะเห็นด้วยตาเนื้อได้อย่างไรในเมื่อผีอยู่คนละภพกับเรา”
พระอาจารย์ตอบ “เห็นได้
ซี เมื่อเรียกด้วยคาถาในคืนเดือนมืด ก็จะเห็นเป็นเงารางๆ ได้อย่างชัดเจนด้วยตาเนื้อนี้ละ”
แล้วพระอาจารย์พูดต่อ “แถมยังสามารถเรียกผีนั้นมานวดแขนนวดขาได้เลย เวลาที่ผีนวดให้ เนื้อที่แขนหรือขา ก็จะเป็นรอยบุ๋ม และ
จักจี้ ตามที่ผีนวดจริงๆ”

แต่เราทั้งสามกับพระอาจารย์ก็ไม่ได้ไปป่าช้ากัน เพราะแฟนข้าพเจ้าท้องและข้าพเจ้าเริ่มมีปัญหาเรื่องงาน จนข้าพเจ้าต้องตกงาน แฟนข้าพเจ้าท้อง 5 เดือน ก่อนที่จะกลับไปอยู่ปักษ์ใต้ ข้าพเจ้าและแฟนได้ไปดูผลสอบของแฟนซึ่งเป็นเทอมสุดท้ายของเขาที่ขอจบไว้ แต่เมื่อไปดูผลสอบเขาก็สอบผ่านเรียนจบพอดี อย่างเฉียดฉิว ตรงตามนิมิตที่เคยดูไว้เมื่อเกือบ 2 ปีมาแล้วอย่างน่าอัศจรรย์

และในปี 2530 นี้ หลวงพ่อ(พระธรรมธีรราชมหามุนี) ได้มรณภาพด้วยโรคหัวใจ ก็เป็นที่น่าใจหายของข้าพเจ้าและเพื่อนๆ ข้าพเจ้าและภรรยาก็ได้ไปรดน้ำศพของหลวงพ่อที่คณะ 5 วัดมหาธาตุท่าพระจันทร์ หลังจากนั้นพระอาจารย์ก็ได้รับ แต่งตั้ง เป็นพระอาจารย์ใหญ่ฝ่ายวิปัสสนากรรมฐานแทนหลวงพ่อ

แต่ข้าพเจ้าต้องจากกรุงเทพเพราะตั้งแต่เรียนจบมาข้าพเจ้าไม่คิดที่จะเก็บสะสมเงินทอง ไม่หวังในการแต่งงาน ชีวิตอยู่กับกรรมฐานเป็นเวลา 4 ปี เพื่อรอการบวช แต่เมื่อมีคู่ครองด้วยการที่ไม่ได้วางแผนไว้ก่อน ชีวิตครอบครัวช่างล้มลุกคลุกคลานน่าดู แถมยังจะมีลูกน้อยหนึ่งคน แต่ที่ทนอยู่ได้เพราะทั้งสามีและภรรยาเป็นนักกรรมฐานทั้งคู่ พยายามอดทนทั้งที่ไม่มีเงินทองเลย มีแต่บุญเก่าที่หนุนอยู่ คือจบปริญญาตรีทั้ง 2 คน มีปัญหาอยู่ที่ว่า ภรรยาท้องทำงานไม่ได้และเพิ่งจบมหาวิทยาลัย ฝ่ายสามีไม่มีงานทำเพราะเลิกจากการเป็นติวเตอร์ เนื่องจากรายได้ไม่พอเลี้ยงครอบครัวในขณะนั้น และไม่มีฐานะที่หางานได้ง่าย เงินสำรองก็ไม่มี ต้องกลับไปทำเห็ดขายที่บ้านเกิดของข้าพเจ้า

แล้วเราทั้ง 2 ก็ต้องไปอยู่กับพ่อแม่ข้าพเจ้าที่ปักษ์ใต้ ด้วยความลำบาก แฟนก็ท้องโตไม่สามารถหางานทำได้ ข้าพเจ้าก็ทำเห็ดขาย แต่เราทั้งสองก็ไม่เคยห่างจากการกำหนดภาวนาเลย และการทำบุญฟังเทศนาเลย เพราะพระจะมาเทศนาที่ศาลาใกล้บ้านเป็นประจำ แล้วภรรยาก็บอกกับข้าพเจ้าว่า เขาเริ่มแยกได้แล้วในตอนสื่อสัมผัสว่า นี้คือจิตเขา ส่วนนอกนั้นที่ปรุงแต่งกายหรือศีรษะ ไม่ใช่จิตเขาไปปรุงแต่ง เมื่อเป็นอย่างนี้ไม่กี่วัน เมื่อสื่อสัมผัสกับโอปปาติกะในขณะนอนราบอยู่ ก็พูดโพร่งออกมาเอง โดยที่จิตของเขาแยกออกต่างหาก อย่างชัดเจน แล้วบอกว่าต่อไปไม่ต้องนอนราบอย่างนี้แล้ว นั่งคุยกันตามธรรมดาก็ได้ และในการสื่อสัมผัสนั้นจิตของแฟนที่นิ่งอยู่ สามารถจะยกเลิกการสื่อเมื่อใดก็ได้ในทันที ไม่มีโอปติกะท่านใดครอบครองหรือบังคับได้ เมื่อจิตสามารถแยกอย่างชัดเจนอย่างนี้แล้ว ผู้ที่มาสื่อสัมผัสก็สามารถพูดเป็นภาษาของเทพได้

ข้าพเจ้าและภรรยาในปี 2530 ได้เรียนรู้ภาษาเทพและพรหมเกือบทุกชั้น แต่ปัจจุบันนี้ไม่ได้สนใจให้เขาคุยภาษาเทพให้ฟังมาเป็นเวลา 20 กว่าปีแล้ว ลืมสำเนียงหมดแล้ว และเทพก็บอกว่าภาษาของเขานั้นใช้เคลื่อนของจิตเปล่งออกมาเป็นเสียง แถมเขียนภาษาเทพให้ดูเป็นเล่มเลย
แฟนข้าพเจ้า พัฒนาการสื่อสัมผัสกับ
โอปปาติกะได้อย่างดี แบ่งการพัฒนาเป็น 3 ระดับดังนี้
1.
สัมผัสเฉพาะทางจิต คือรู้กันทางจิต ผุดขึ้นทางจิต (ไม่มั่นใจคิดว่าเป็นอุปาทานเพราะวัดเปรียบเทียบไม่ได้)
2. แยกกายกับจิต แล้วให้
โอปปาติกะนั้นใช้กายในส่วนของศีรษะเพื่อส่ายหน้าหรือพยักหน้า (มั่นใจขึ้นเพราะ จิตแยกมาต่างหาก และไม่ได้มีเจตนาเพื่อส่ายหน้าหรือพยักหน้า)
3. แยกกายกับจิต แล้วให้
โอปปาติกะใช้ปากในการพูดคุยเปล่งวาจาทางปากได้ โดยจิตของตนเองแยกไปต่างหาก การพูดการกล่าวนั้นไม่ใช่ความคิดของตนเองไม่ใช่เจตนาของตนเอง แต่โอปปาติกะนั้นไม่สามารถยึดครองร่างกายได้เลย ก็เคยมีโอปปาติกะที่สื่อสัมผัสมาหลายๆ ตนในหลายครั้งพยายามยึดครองหรือบังคับให้อยู่ในอำอาจ ก็ไม่เคยมีตนใดทำได้ (ระดับสมาธิเขาสูงกว่าเทวดา)

ข้าพเจ้าก็เคยทดลองสัมผัสทางจิตครั้งแรก แต่วัตถุประสงค์ต่างกันกับของแฟน เพราะข้าพเจ้าประสงค์สัมผัสกับโอปปาติกะหมู่มากเพื่อกล่าวธรรม อาการที่เกิดกับข้าพเจ้าเป็นอย่างนี้ เมื่อนั่งสมาธิ แล้วอธิฐานจิตเพื่อกล่าวธรรมกับโอปปาติกะหมู่มาก แล้วเข้าสมาธิ สมาธิก็รวมตัวที่กลางลำตัวถึงจุดหนึ่ง แล้วจิตเริ่มขยายออก กายของความรู้สึกก็เริ่มขยาย เป็นไปเองโดยไม่เคยคาดคิดมาก่อน ใหญ่ขึ้นๆ เรื่อยๆ ใหญ่จริงๆ จนเต็มที่แล้ว ก็รู้สึกที่ใจตนเองว่า มีเทวดาที่ประสงค์มาฟังการกล่าวธรรมมากันเป็นกลุ่มๆ (เหมือนอุปาทานไปเอง) แต่ตัวเขาเล็กกว่ามากๆ แล้วใจก็ไปสัมผัสกับโอปปาติกะกลุ่มหนึ่งประมาณ 5– 6 ตน ที่อยู่ด้านหน้าเฉียงทางขวามือริมสุดของผู้ที่มาฟังการกล่าวธรรม มีใจคึกคะนอง ไม่ยำเกรง จึงหันไปพูดกับโอปปาติกะกลุ่มนั้น จนความคึกคะนองในใจเขาที่สัมผัสกับใจเราลดลง จึงกล่าวธรรมตามที่รู้มาไปเรื่อยๆ จนจบ แล้วยุติการสัมผัส ข้าพเจ้าทำอย่างนี้อีกหลายครั้ง แต่ไม่นาน ข้าพเจ้าก็ยุติไปเพราะวัดไม่ได้ ไม่มีที่เปรียบเทียบ และบ่งชัดว่าจริงหรือเท็จอย่างแท้จริงไม่ได้ เหมือนกับรู้อยู่เพียงคนเดียวอุปาทานไปเองก็ได้

ซึ่งจะต่างกันกับการสื่อสัมผัสกับแฟนที่เขาสัมผัสและพัฒนามา จนสามารถแยกได้ชัดเจนว่า นี้คือจิตของเขา ที่ไม่ได้มีจิตคิดหรือเจตนาที่จะพูด แต่พูดไปเอง และในสิ่งที่พูดมานั้นบางสิ่งเขาไม่เข้าใจและไม่รู้มาก่อนเลย และการพูดนั้นมีรูปแบบการพูดต่างจากเขาอย่างชัดเจน แม้กระทั่งความต่างกันของระดับสติปัญญา ของระดับสมาธิ ของผู้ที่มาสื่อสัมผัสแต่ละตนแต่ละท่านที่สัมผัสกับเขาก็แตกต่างกัน อย่างชัดเจน และผู้ที่มาพูดนั้นบางท่านทรงคุณธรรมและปัญญาสูงมากกล่าวธรรมได้อย่างแตกฉาน จนเป็นที่อัศจรรย์ใจของแฟน เขาจึงอุทิศร่างเป็นทานเพื่อการสนทนาธรรมเพื่อการฟังธรรมเท่านั้น โดยที่ไม่มีใครไปชี้นำหรือชักนำแฟน แม้แต่ข้าพเจ้าเองก็ไม่ไปชี้นำเขา

เมื่อเขาบอกให้ข้าพเจ้าทราบตอนแรกข้าพเจ้าก็ยังกังวลกลัวว่า เขาจะกลายเป็นร่างทรงแบบคนทั่วไปหรือเปล่านี่ แต่เมื่อพิจารณาสมาธิเขาแล้วไม่มีโอกาสที่เทพจะไปบังคับเขาได้ดังประสงค์ทุกอย่าง เพราะสมาธิเขาสูงระดับฌาน และการสนทนาธรรมด้วยการสื่อสัมผัส ก็อยู่ในวงแคบคือข้าพเจ้ากับภรรยาเท่านั้นที่เป็นมนุษย์ ส่วนการสื่อสัมผัสที่มีมนุษย์ผู้อื่นมีเพียงไม่กี่คนที่ร่วมวงด้วยและก็เพียงไม่กี่ครั้งเท่านั้นแล้วก็หยุดไป เพราะพิจารณาเห็นแล้วว่าเทพที่มาสื่อสัมผัส ก็หาได้มีความสามารถทายอนาคตเบื้องหน้า ได้ถูกต้องเสมอไปไม่ แถมมีเจ้าที่บางที่เห็นไม่จริงแต่เข้าใจว่าเป็นจริงมายืนยันว่าเป็นจริงก็มีหลายครั้งหลายครา จนทำให้เกิดการผิดพลาดขึ้นถึงหนึ่งหรือสองครั้งกับเพื่อน จึงตั้งใจแต่นั้นมาไม่แสดงสื่อสัมผัส ให้กับคนข้างนอกอีกเลย และแฟนเองเขาก็ไม่ประสงค์จะสื่อสัมผัสกับเทวดาให้คนนอกดูหรือเห็น ที่เกินจากการสนทนาธรรมและฟังธรรมภายในครอบครัว

สำหรับข้าพเจ้านั้นผู้มาสนทนาด้วย ข้าพเจ้าสามารถวัด เปรียบเทียบ ได้ว่า ผู้ที่มาสนทนานั้นแตกต่างกันอย่างไร เช่นการแสดงความเห็น ความเข้าใจ ความรู้ สติปัญญา การแสดงเหตุและผลในการสนทนา ของผู้สนทนานั้นแตกต่างกันอย่างไร เหมือนกับเราไปสนทนากันกับคนสัก 10 คนเราย่อมสามารถแยกได้ว่า แต่ละคนนั้นมีความเห็น ความเข้าใจ และความรู้ หรือแม้สติปัญญา ที่ปรากฏให้เราทราบในการสนทนานั้นต่างๆ กัน ซึ่งสามารถวัดได้เปรียบเทียบได้

ดังนั้นในการสื่อสัมผัสที่สามารถสนทนากันได้ ข้าพเจ้ากับแฟนจึงนิยมใช้เป็นประจำ เพราะสามารถวัดและเปรียบเทียบได้อย่างชัดเจนในขณะนั้น ส่วนการรู้ใจด้วยใจนั้นได้เกิดขึ้นมานานแล้ว แต่ไม่สามารถเปรียบเทียบหรือวัดได้ในขณะนั้นว่า จะจริงหรือเท็จหรืออุปาทานไปเองก็ยังแยกแยะหรือพิสูจน์ไม่ได้ในขณะที่ปรากฏนั้น จึงกลายเป็นเรื่องที่ไม่ไปสนใจและไม่ไปพัฒนาขึ้น

ส่วนเรื่องนิมิตและญาณรู้ที่ปรากฏให้ทราบเหตุการณ์ต่างๆ ซึ่งพอเปรียบเทียบได้กับเหตุการณ์เกิดขึ้นจริงในภายหลังได้ เป็นสิ่งที่เทียบและวัดได้ จึงยังคงใช้นิมิตและญาณรู้อยู่ ในบางครั้งบางคราวในเรื่องที่สุดวิสัยเท่านั้น โดยปกติแล้วข้าพเจ้าไม่ค่อยใช้นิมิตและญาณรู้ แต่จะอาศัยข้อมูลที่มีอยู่และที่รวบรวมได้บวกกับความน่าจะเป็นไปได้เสียมากกว่า จึงเป็นวิทยาศาสตร์เสียมากกว่า จึงไม่ไปถือเอานิมิตหรือญาณรู้ว่าต้องถูกต้องหรือเป็นหลักในการดำเนินชีวิตในโลกของความเป็นมนุษย์ในยุคปัจจุบัน

และตัวข้าพเจ้าเองมีความแตกต่างกับแฟนตรงที่ เมื่อมีสิ่งอื่นใดมีอำนาจเหนือกายหรือใจข้าพเจ้าเกินจากสามัญสำนึกของข้าพเจ้านั้น ใจข้าพเจ้าจะไม่ยอมรับโดยอัตโนมัติเพราะจิตจะเพ่งไปเพื่อควบคุมกายหรือใจตนเองทันที จึงกลายเป็นอุปนิสัยของตนเองในชีวิตนี้ แต่ข้าพเจ้าไม่ได้มองผู้ที่ต่างจากข้าพเจ้าไปว่า เขาผิด ข้าพเจ้าถูก หรืออย่างข้าพเจ้าดีกว่า อย่างเขาไม่ดี

ข้าพเจ้าเพาะเห็ดขายที่บ้านเกิดของข้าพเจ้า เป็นเวลา 1 ปี มีรายได้ประมาณ 30-50 บาทต่อวัน นี้และหนอกรรมเมื่อส่งผลมันย่ำยีจนหนำใจ แต่ก็วันหนึ่งแฟนข้าพเจ้าได้เห็นหมอดูแก่ๆ ดูจนๆ ที่เดินดูตามบ้าน ที่เก็บเงินค่าดู 20 บาทต่อคน ผ่านมาที่บ้านแม่จึงอยากดูหมอ หมอก็ดูแฟนก็ธรรมดาคือจะไม่ลำบากจะมีคนช่วยอยู่ตลอดและจะสบายเมื่อภายหน้า และแฟนก็คะยั้นคะยอให้ข้าพเจ้าดู เพราะข้าพเจ้าเป็นคนไม่ชอบดูหมอ(ให้หมอดู)ด้วยไม่สนใจ ขณะนั้นพี่สาวก็นั่งสังเกตการณ์อยู่ด้วย เมื่อหมอดูให้ข้าพเจ้าหมอก็ทำนายว่า ข้าพเจ้าจะเป็นหลักของบ้านเสมือนเป็นหมอของบ้านที่คอยรักษาเป็นที่พึ่งของครอบครัวจะเป็นคนที่มีทรัพย์มากร่ำรวย จะสบายเมื่อภายหน้า จนพี่สาวที่สังเกตการณ์ทนนั่งอยู่ไม่ไหว พูดขึ้นว่า “มันก็เอาตัวไม่รอดต้องมาพึ่งแม่ ความรู้ท่วมหัวแต่เอาตัวไม่รอด” พี่สาวพูดจาไม่ดีเอามากๆ คนล้มชอบข้าม แต่ข้าพเจ้าก็หาได้รู้สึกโกรธหรือเกลียดพี่แม้แต่นิดเดียวเพราะรู้นิสัยพี่ดี

ด้วยความมีปัญหาและความขัดสนรุมเร้าจนข้าพเจ้าต้องแยกกับครอบครัว เมื่อมาเริ่มต้นใหม่ที่กรุงเทพฯ ของข้าพเจ้าประมาณต้นปี 2532 โดยเริ่มจะเป็นติวเตอร์ใหม่แต่ชื่อเสียงเก่าที่สร้างไว้ได้หายหมดสิ้น สำนักติวต่างก็มีติวเตอร์เต็มอยู่แล้ว เพื่อนจึงแบ่งเวลาให้แต่มีนักศึกษาเรียนด้วยไม่กี่คนเฉลี่ยรายได้เดือนหนึ่งได้ประมาณ 500 บาท ข้าพเจ้า มีเงินในกระเป๋าประมาณ 2,000 ต้อง ประคองอยู่ได้ เกือบ 3 เดือนจนสิ้นเทอม โดยพยายามไม่กินอาหารบางมื้อเพื่อให้อยู่ในกรุงเทพฯได้นานที่สุด จนบุญส่งผลเมื่อเพื่อนๆ ที่เรียนในมหาวิทยาลัยกลุ่มเมทคอมญาติของเขาจะเปิดโรงเรียนคอมพิวเตอร์ คือโรงเรียนอธิคอมพิวเตอร์เมื่อประมาณปี พ.ศ. 2532 และให้ข้าพเจ้าทำหน้าที่ดูแลโรงเรียนฝ่ายธุรการ ข้าพเจ้าก็ได้เงินเดือนประจำเป็นครั้งแรกที่จบปริญญาตรีมา คือเดือนละ 3,200 บาท

ระบบคอมพิวเตอร์ปี 2532 เป็นเครื่องไมโครคอมพิวเตอร์ มี CPU 8088 แรม 4 หรือ 8 แมคติดมากับบอร์ด มีดิสไดรส์ขนาด 5.25 หนึ่งหรือสองช่อง ไม่มีฮาร์ดดิสก์ จอจะมีตัวหนังสือสีเขียวบนจอ พร้อมคีย์บอร์ด ใช้กับโปรแกรม DOS เวอร์ชั่น 3.1 โปรแกรม Windows ยังไม่เกิดไม่มีอุปกรณ์อื่นเสริม ราคาตกประมาณ 23,000 บาทต่อเครื่อง ถ้ามีฮาร์ดดิสก์ 10- 20 แมค ก็เป็นประมาณ 25,000 บาทต่อเครื่อง

เนื่องจากข้าพเจ้าไม่มีความรู้คอมพิวเตอร์ จึงพยายามศึกษาคอมพิวเตอร์ในเวลาประมาณ 1 ปี จนสามารถสอนคอมพิวเตอร์ได้ และสามารถเขียนโปรแกรมเป็นระบบใหญ่ด้วยตระกูลดีเบสได้ เรียกว่าเก็บสะสมความรู้ที่ตนเองศึกษาและประสบการณ์ แล้วแปรความรู้ให้เป็นอาชีพเพื่อสร้างฐานะตนเอง