เรี่มออกวาจาปรารถนาพุทธภูมิต่อพระพักตร์พุทธเจ้า
           
พระเจ้าสาครจักรพรรดิ
                    
หลังจากที่พระโพธิสัตว์เวียนเกิดตาย  และสั่งสมสร้างบารมี กัปใหนที่เป็น สูญกัป (กัป  ที่ไม่มีพระพุทธเจ้าบังเกิดขึ้น) เมื่อเกิดเป็นมนุษย์ก็ออกบวชเป็น ฤาษี บ้าง ดาบสบ้าง นักพรตบ้าง อยู่ในป่า ภาวนาจนสำเร็จปฐมฌาน หลังจากดับสังขารสิ้นอายุขัย ก็ไปอุบัติเป็นพระพรหม เสวยสุขอยู่เป็นเวลา 1 กัป แล้วจุติจากพรหมโลก เกิดเป็นโอรสของกษัตริย์ ณ ธัญญวดีมหานคร ได้พระนามว่า สาครราชกุมาร เมื่อเจรีญวัยขึ้นพระบิดาสวรรคต สาครราชกุมารก็ได้ สืบราชสัมบัติต่อ พระองค์ทรงมีทศพิธราชธรรม ทรงอุตสาหะ ปฏิบัติในจักรพรรดิวัตร ตามที่เหล่าราชปุโรหิตจารย์ และพระฤาษี กำหนดถวาย และในวันอุโบสถขึ้น 15 ค่ำ ก็จะทรงอุโบสศีล(ศีล 8)  พระองค์ปฏิบัติอย่างเสม่ำเสมอมิได้ขาด
       
ด้วยเดชะบุญแห่งราชกุศล จึงบันดาลให้สัตตรัตนะอุบัติเกิดขึ้น คือ
            1.
จักรแก้ว อันมีมหิทธิ สารารถไปใหนได้ดังใจประสงค์
            2.
ช้างแก้ว
            3.
ม้าแก้ว
            4.
แก้วมนี อันส่องสว่างโชติช่วง
            5.
นางแก้ว ที่เป็นคู่ของจักรพรรดิ
            6.
ขุนคลังแก้ว
            7.
ขุนพลแก้ว
   
พระองค์จึงทรงเป็นพระจักรพรรดิ์ ปกครองอาณาจักร์ทั้งหมดสุดขอบที่มหาสมุทรทั้ง 4 ทิศ  ทรงมีพระนามว่า พระเจ้าสาครจักรพรรดิ
        
กาลครั้งนั้น ปรากฏมีพระพุทธเจ้าอุบัติขึ้น ทรงมีพระนามว่า พระปุราณศากยมุนีสัมมาสัมพุทธเจ้า เมือพระองค์ตรัสรู้  แล้วทรงแสดงพระธรรมเทศนาธัมมจักปปวัตนสูตร  ทำให้ทั่วโลกธาตุ เกิดหวั่นไหว เป็นอัศจรรย์  จึงทำให้จักรแก้ว ของ พระสาครจักรพรรดิ ตกลงจากที่ตั้ง ทำให้พระจักรพรรดิตกพระทัยเป็นอย่างมาก  จึงตรัสถามพระโหราราชครู  พระโหราราชครู กราบทูลว่า เหตุอันทำให้จักรแก้วเลื่อนตกลงไปนั้นมี 2 ประการ คือ
        1.
เป็นนิมิตแห่งอันตรายต่อพระชนม์ ของพระจักรพรรดิ
        2.
เป็นนิมิตแห่ง พระสมเด็จสัมมาพุทธเจ้าอุบัติขึ้นในโลก
 
เมื่อตรวจสอบอย่างถี่ถ้วนแล้วเหตุที่จะเป็น อันตรายต่อพระชนม์นั้นหามีไม่  จึงเป็นเพียงกรณีเดียวคือ พระพุทธเจ้าอุบัติขึ้นในโลก แล้วพระโหราราชครู ก็กล่าวถึงคุณของพระพุทธเจ้าอีกมาก   พระจักรพรรดิ์พอได้สดับฟังดังนั้นมีพระทัยปีติยินดีอย่างยิ่ง จึงตรัสออกมาว่า
     "
เราจะไปเฝ้าพระพุทธเจ้า ในวันนี้ ให้ข้าราชบริภารเตรียมสิ่งของให้พร้อม "
ขณะเดินทางอยู่ ก็คิดถึงคุณของพระพุทธเจ้า จึงมีปีติอย่างมากมาย และด้วยบารมีที่สังสมมา เมื่อได้เฝ้าพระพุทธองค์
จึงเกิดดำริในพระทัยว่า  " พระพทธเจ้าทรงคุณอันยิ่งใหญ่ เป็นเอกในไตรโลก ยังสรรพสัตว์ให้ล่วงพ้นจากทุกข์ จากภพ ด้วยพระเมตตาและพระกรุณา ต่อสรรพสัตว์   เราก็มีความปรารถนาล่วงพ้นจากทุกข์ จากภพ แล้วก็จะนำสัตว์ทั้งหลายให้หลุดพ้นด้วย" เพิ่มความมุ่งมั่นในพุทธภูมิยิ่งขึ้น แทนที่จะท้อถอย แล้วก็เสด็จกลับสู่พระนคร
       
เมื่อกลับถึงพระนคร ทรงรับสังให้สร้างปราสาทกุฎิอันเป็นที่อยู่ของสงฆ์ ด้วยไม่แก่นจันทร์มากมายหลายหลัง ก็คือเป็นการสร้างวัดขึ้นมา แล้วสร้างที่พระทับของพระพุทธองค์ ทุกอย่างทำด้วยไม้แก่นจัทร์ ครั้นมหาวิหารสำเร็จ พระสาครโพธิสัตว์ ก็เข้าเฝ้าพระพุทธเจ้า ทรงถวายวิหาร(วัด) แก่พระพุทธองค์ และรับเสด็จมายังมหาวิหาร  ถวายปัตตาหารแด่องค์พระสมเด็จสัมมาพุทธเจ้า และเหล่าภิกษุสงฆ์
   
เมื่อพระพุทธองค์และเหล่าพระภิกษุสงฆ์ ทรงอนุโมทนาแล้ว  บัดนั้น พระสาครจักรพรรดิมีใจผ่องแผ้วยินดีพระทัยเป็นอย่างยิ่ง จึงกล่าววาจา ปราถนาพุทธภูมิ ต่อพระพักตร์ของพระพุทธองค์ว่า " ด้วยอำนาจแห่งบุญกุศลนี้ ขอจงป็นปัจจัยให้ข้าพระองค์ ได้ตรัสเป็นพระพุทธเจ้า ทรงพระนามว่า พระศากยมุนีโคดม เสมอด้วยพระนามของพระพุทธองค์ด้วยเทอญ"
           
แล้วกล่าววาจาต่อไปอีกว่า " พระพุทธองค์ทรงตรัสรู้ แล้วยังสรรพสัตว์ใหรู้ตาม พระพุทธองค์ทรงพ้นจากบ่วงแห่งทุกข์ แล้วยังสรรพสัตว์ให้พ้นจากทุกข์ด้วย ข้าพระองค์ก็ขอให้เป็นดั่งพระพุทธองค์นั้นเถิด"
   
พระปุราณศรีศากยมุนีพุทธเจ้า จึงตรัสว่า
    "
ดูกรมหาบพิตร การที่จะปรารถนาซึ่งพระพุทธภูมินั้น ย่อมเป็นการยากยิ่งนักที่บุคคลจะทำสำเร็จได้ ต้องเป็นผู้ที่มีจิตใจเข็มแข็ง เพียรพยายาม สร้างสมความดี สร้างสมบารมี แม้ชีวิตจะหาไม่แทบทุกชาติ มหาบพิตรยังคงประสงค์หรือ"
       
มหาจักรพรรดิ์  เมื่อได้สดับดังนั้นด้วยกำลังปีติแก่กล้า จงออกพระวาจาว่า " ข้าพระองค์ ขอเพียรพยายามสร้างบารมี แม้ชีวิตจะหาไม่ ก็หาท้อถอย"
       
พระพุทธองค์ทรงตรวจสอบด้วยสัพพัญญูตาญาณ จึงทราบว่า ปณิธานของพระจักรพรรดิ์โพธิสัตว์นี้ อีกนานแสนนาน ถึง 12 อสงไขย กับเศษแสนมหากัปจึงจะสำเร็จได้ ดังนั้นพระองค์ทรงให้โอวาทว่า
        "
ดูกรมหาบพิตร ถ้าพระองค์ประสงค์ปรารถนาโพธิญาณแล้ว จงบำเพ็ญเพียร บารมี 30 ให้ครบบริบูรณ์เถิดพระพุทธองคทรงแนะนำ แต่หาได้ตรัสพุทธพยากรณ์ไม่
       
พระสาครจักรพรรดิโพธิสัตว์ เมื่อได้รับพุทธโอวาทดังนั้น ก็มีจิตใจยินดีเป็นอย่างยิ่งนักหนา หลังจากนั้นทรงมั่นเพียรสร้างบารมี ในที่สุดก็ทรงออกบวชเป็นพระภิกษุในพุทธศาสนา ชำนาญในพระไตรปีฏก และทรงบำเพ็ญเพียรในสมถกรรมฐาน จนถึงฝั่งอภิญญา ครันเมื่อสิ้นประชนมายุ ก็ขึ้นไปอุบัติบนพรหมโลก
       
หลังจากนั้นพระอนิยตโพธิสัตว์ ก็เวียนเกิดตายอีกนานแสนนาน เมือได้พบพระพุทธเจ้า ก็ได้ออกวาจาปารถนาต่อพระพักตร์ทุกครั้งไป  ในระยะเวลา 9 อสงไขยที่อนิยตโพธิสัตว์ได้พบพระพุทธเจ้า สรุปจากหนังสือ สัมภารวิบาก ดังนี้

    เริ่มต้น                                พระปุราณศรีศากยมุนีชินสีห์พุทธเจ้า(พระเจ้าสาครจักรพรรดิ์)
   
สัพพถัททะอสงไขย 8    พบ พระพุทธเจ้า    50,000  พระองค์
   
สัพพผุลละอสงไขย 9      พบพระพุทธเจ้า    60,000  พระองค์
   
สัพพรตนะอสงไขย 10    พบพระพุทธเจ้า    70,000  พระองค์
   
อสุภขันธะอสงไขย 11     พบพระพุทธเจ้า    80,000  พระองค์
   
มานีภัททะอสงไขย 12     พบพระพุทธเจ้า    90,000  พระองค์
   
ปทุมะอสงไขย  13             พบพระพุทธเจ้า    20,000 พระองค์
   
อุสภะอสงไขย  14             พบพระพุทธเจ้า    10,000 พระองค์
   
ขันธคมะอสงไขย  15        พบพระพุทธเจ้า     5,000 พระองค์
   
สัพพผาละอสงไขย 16      พบพระพุทธเจ้า     2,000 พระองค์
    
รวมได้พบพระพุทธเจ้าใน 9 อสงไขย     387,000 พระองค์

                                    อ่านหน้าต่อไป                                                         กลับหน้าแรก