เริ่มปรารถนาบารมียังอ่อนอยู่
                                                                                       
คำนำ
               
โครงเรื่องต่างๆ ข้าพเจ้า เอามาจากหนังสือ ศาสตร์ว่าด้วยการเป็นพระพุทธเจ้า ของพระเทพมุนี (วิลาศ  ญารวโร) และคัดจากพระไตรปีฏกบางส่วน ข้าพเจ้าก็ตกแต่งลงไปบ้าง  จะเห็นว่าเรื่องต่างๆ ต่อเป็นนี้จะเป็นเรื่องที่เล่าต่อกันมา แล้วผูกกันเป็นเรื่องเป็นราว อาจเป็นจริงบ้างเท็จบ้าง  ดั้งนั้น จุดประสงค์ของเรื่องคือ
                    1.
อ่านเพื่อประเทืองปัญญาเป็นข้อมูล เพื่อพัฒนาทางความคิด มองในมุมกว้าง
                    2.
อ่านเพื่อคลายสงสัยที่ได้รับรู้มาขาดๆ ตอนๆ  หรืออาจสงสัยเพิ่ม ก็ให้ถือว่าเป็นเรืองแปลกที่เล่าต่อกันมา
                    3.
อ่านเพื่อให้มีความกระจ่าง เพราะเมื่ออ่านครบรอบแล้ว ก็จะมองเห็นเป็นเรื่องธรรมดา
           
หมายเหตุ  ทั้งหมดไม่ควรตั้งอยู่บนความเชื่อ ให้ตั้งอยู่บนวิจารณาญาณเป็นหลัก ก็จะคลายความมืดมนที่ไม่เข้าใจ

    มูลเหตุความปารรถนาพุทธภูมิ
               
เมื่อ เริ่ม ต้นอสงไขยที่ 21  จากปัจจุบัน มีอยู่กัปหนึ่งบังเกิดมีพระพุทธเจ้าบังเกิดขึ้นในโลก เมือโลกดับสลายไปแล้ว หลังจากนั้นเป็น สูญกัป คือไม่มีพระพุทธเจ้าบังเกิดขึ้น ติดต่อกันเป็นประมาณ 2 แสนกัป พระอริยะต่างก็นิพพาน ไปเกือบหมดแล้ว ยังมีแต่บนพรหมโลกชั้นสุทาวาส อันเป็นพรหมโลกที่พระอนาคามี อาสัยอยู่เป็นภพสุดท้าย ก่อนที่จะเข้าสุ่พระนิพพาน เมื่อเวลาผ่านไปพระพรหมอนาคามี เริ่มเหลือน้อยลงเรื่อยๆ เพราะต่างก็นิพพานกันไปหมด และผู้ที่จะมาเกิดเป็นพรหมอนาคามี ก็หาได้มีอีกแล้ว เพราะพระอริยะเบื่องต่ำต่างก็บรรลุมาเกิดเป็นพรหมอนาคามีทั้งหมดแล้ว  เห่ลาพระพรหมอนาคามีจึงประชุมร่วมกัน และดำริขึ้นว่า พระพรหมอนาคามีเหลือน้อยแล้ว เพราะไม่มีพระพุทธเจ้าบังเกิดขึ้น เป็นเวลาประมาณ 2 แสนกัปมาแล้ว และเมื่อเหล่าพระอนาคามี ใช้ อนาคตังคญาณ  มองไปในอนาคตก็หาได้มี พระพุทธเจ้า บังเกิดขึ้นไม่  จึงดำริขึ้นมาว่า ถ้าเป็นอย่างนี้บ่อยๆ ก็ทำให้เหล่าสรรพสัตว์ต่างก็ฉิบหาย จากพระนิพพานมากเสียเหลือเกิน  เพราะผู้ที่เป็นเอกบุรุษท  เพียรสร้างบารมีจนสำเร็จเป็น พระพุทธเจ้า นั้นมีน้อย จำเป็นต้องหาผู้ที่มีน้ำใจเด็ดเดี่ยวตั้งความปรารถนา  เพื่อรื้อสรรพสัตว์ทั้งหลายให้พ้นจากทุกข์  ดังนั้นเหล่าพระอนาคามีต่างก็ใช้ พระญาณ ตรวจส่อง ทั้งเทวโลก และมนุษย์โลก เพื่อหาผู้ที่มีน้ำใจเด็ดเดี่ยวอย่างนั้น
       
มานพน้อยผู้เด็ดเดี่ยว
           
ก็ได้เห็นมานพน้อยคนหนึ่ง กำลังแบกแม่ของตนเองว่ายน้ำอยู่กลางทะเลใหญ่ พยายามว่ายน้ำอยู่อย่างไม่ท้อแท้และท้อถอย ตั้งจิตเพื่อให้ถึงฝังให้จงได้ เมื่อใช้ญานย้อนดูไปในอดีตก่อนหน้านี้ ก็เห็นว่ามานพคนนี้ เป็นคนกตัญญูต่อมารดา เป็นคนดีมีศีลมีธรรม ไม่เอาเปรียบหรือเบียดเบียนผู้อื่น จึงเผ้าดูน้ำใจก็มานพน้อยผู้นี้ ว่ายน้ำต่อไปจะมีใจท้อแท้หรือไม่ แต่เปล่าเลยถึงว่ายน้ำมาถึง วันที่ 7 แล้วก็ตาม และกำลังอ่อนล้าเต็มที่แต่ยังมีจิตใจมุ่งมั่นให้ถึงฝั่งจนได้  พระพรหมอนาคามี จึงดลจิตให้มีกำลังอึกเหิมขึ้น ให้มานพตั้งจิตว่า " เราจะว่ายน้ำให้ถึงฝั่งให้สำเร็จ  พร้อมกับนำพาแม่ให้ถึงฝั่งด้วย และ เมื่อเราพ้นทุกข์เราต้องนำผู้อื่นให้พ้นทุกข์ด้วยให้จงได้" มานพน้อยก็เกิดกำลังใจขึ้นมา ว่ายน้ำต่อจนถึงฝั่งพร้อมกับหมดสติพอดี หลังจากนั้นก็มีคนมาพบ และช่วยให้พื้นคืนสติทั้งแม่และลูก  ก็ได้ดำรงณ์ชีวิตโดยไม่ลำบากนัก ตามกรรมจน สิ้นอายุขัย หลังจากนั้นก็เวียนเกิดตายอีกนานแสนนาน
       
สัตตุตาประราชา
           
หลังจากเกิดตายมานานแสนนาน ก็ได้เกิดเป็นราชโอรส และได้ขึ้นครองราชสมบัติ มีพระนามว่า พรสัตตุตาประราชา  พระองค์ปกครองประชาราช ด้วยทศพิธราชธรรม  แต่พระองค์ทรงพอพระทัยในช้างมงคลอย่างมาก คือชอบสะสมช้างมงคล ไม่ว่าจะได้ข่าวว่าช้างมงคลอยู่ส่วนใหนของราชธานี พระองค์ต้องตามจับมาจนได้  กาลครั้งหนึ่งได้มีนายพราน เข้ามาถวายรายงานว่า ได้พบช้างมงคล เชือกหนึ่งซึ่งมีลักษณ์สมบูรณ์พร้อมทุกประการ ตั้งแต่เกิดมาเป็นพรานยังไม่เคยเห็นช้างเชือกใหน มีลักษณะเลิศอย่างนี้มาก่อนเลย  เมื่อพระองค์ทรงทราบอย่างนั้นจึงทรงให้นายพรานผู้นั้น นำขบวนเพื่อไปจับช้าง  เมื่อทรงเห็นช้าง   เชือกนั้น พระองค์ทรงดีพระทัยเป็นอย่างมาก และสามารถล้อมจับจนได้โดยไม่ยาก ได้ทรงให้นายหัตถาจารย์ผู้ฝึกช้าง ฝึกจนเชื่อง แต่พระสัตตุตาประราชา ทรงรีบพระทัย เพื่อจะทรงช้างเชือกนี้ ในวันมงคลฉลองนักขัตฤกษ์ ใน 7-8 วันข้างหน้า นายหัตถาจารย์ผู้มีความรู้ จึงต้องให้อาหารผสมกับโอสถ  เพื่อให้ฝึกสอนได้ง่ายโดยเร็วพลัน  เมื่อถึงวันทรงช้างเชือกนี้ในวันฉลองนักขัตฤกษ์ พระองค์ก็ทรงช้างเลียบเมือง ที่เป็นเขตป่า แต่ในเมื่อราตรีที่ผ่านมาที่ราวป่าแห่งนั้น มีโขลงช้างได้ถ่ายมูลลงไว้ ณ. ที่นั้น ดังนั้นเมื่อช้างมงคลที่พระสัตตุตาประราชา ทรงประทับอยู่ เกิดได้กลิ่นมูลของช้างตัวเมืย เกิดตกมันออกวิ่งตามโขลงช้างนั้นทันที่ ไม่สนใจ มนุษย์ที่นั่งอยู่บนหลัง สะบัดจนตกหมด เหลือแต่พระสัตตุตาพระองค์เดียว พระองค์ทรงตกพระทัย แต่ยังคงครองสติไว้ เมื่อช้างวิ่งผ่านต้นไม้ใหญ่ ที่มีกิ่งยื่นออกมา พระองค์ทรงจับกิ่งไม้นั้นปล่อยให้ช้างวิ่งไปตามอิสระของมัน เมื่อเหล่าทหารตามมาทันก็เชิญพระองค์ ลงมา พระองค์ทรงโกรธพระทัยเป็นอย่างมาก เมื่อกลับมาถึงราชฐาน ทรงให้เรียกนายหัตถาจารย์ เข้ามาเฝ้า แล้วทรงชี้หน้าด่าว่าอย่างโกรธเคืองว่า  " เจ้าฝึกช้างอย่างไร  เกื่อบจะฆ่าข้าเสียแล้ว สมควรที่จะถูกประหาร ? "         นายหัตถาจารย์ผู้มีปัญญาจึงกล่าวว่า  " ขอให้พระองค์ทรงฟังเหตุผลก่อน ข้าพระองค์ไม่เคยคิดปลงพระชนน์พระองค์เลย ขอพระเมตตา"
พระสัตตุตาประราชา พระทัยอ่อนลงมาอีกนิดจึงตรัสว่า "ดังนั้นให้เจ้าเล่าเหตุผลมา"
นายหัตถาจารย์ทูลว่า "การที่ช้างมงคล ออกวิ่งไปนั้นเพราะตกมัน ได้กลิ่นช้างพังตัวเมืย ที่ถ่ายมูลไว้ที่ราวป่าเพราะความอยากจะ เสพสังวาส กับช้างตัวเมีย จึงไม่สนใจแม้ความเจ็บ และความตายอะไรทั้งสิ้น ถึงแม้จะถูกตะขอสับและถูกฝึกอย่างดีมาแล้วก็ตามแต่"
พระสัตตุตาประราชาตรัสว่า "เอาละข้าฟังเหตุผลนี้ของเจ้า แต่การที่ช้างมงคลหลุดหนีออกไปโทษของเจ้าก็สมควรถูกประหาร"
นายหัตถาจารย์ทูลว่า "ช้างที่ข้าพระองค์ฝึก  จะไม่หนีไปใหน และจะกลับมาหาข้าพองค์อีก เพราะมนตราและโอสถที่ข้าพระองค์ให้ไว้ ในวันพรุ่งนี้ เช้า เมื่อช้างมงคลเชือกนั้นได้รวมสังวาสกับช้างพังตัวเมียแล้ว จะกลับมา"
พระสัตตุตาประราชาจึงตรัสว่า "ถ้าเป็นจริงตามที่เจ้ากล่าว  ข้าจะยกโทษประหาร แต่ถ้าไม่เป็นจริงเจ้าต้องถูกประหารแน่นอน"
       
ในวันถัดมาช้างมงคลตัวนั้นก็กลับมาจริง จึงมาไว้ที่ลานช้าง พระสัตตุตาและข้าราชบริภารและชาวเมื่อออกมาเยียมดู พระสัตตุตาประราชาจึงถามนายหัตถาจารย์ด้วยความสนพระทัยว่า "มนตราและโอสถของเจ้า มีความขลังอย่างนี้เชียวหรือ? "
นายหัตถาจารย์ทูลว่า "อย่าว่ากลับมาเลย แม้ข้าพระองค์ให้ช้างมงคลตัวนี้เอางวงจับเหล็กร้อนแดง มันก็ย่อมทำตาม หม่อมฉันจะทำให้ดู"
พระสัตตุตาประราชาจึงตรัสว่า " เอาก็ลองพิสูจ์ดู"
       
เมื่อถึงวันทดลอง เมื่อช้างมงคลตัวนั้นได้รับคำสั่งจากนายหัตถาจารย์ ก็ใช้งวง ไปจับเหล็กร้อนแดงนั้นจริงๆ จนควันขึ้น พระสัตตุตาประราชา เพราะความรักช้างและตกพระทัยจึงรีบร้องสั่ง  ให้นายหัตถาจารย์สั่งให้ช้างมงคลปล่อยเหล็กแดงทันที่ แล้วทรงดำริในพระทัยว่า "ช่างมงคลย่อมทำตามจับเหล็กร้อนแดงได้ โดยยอมทนต่อความเจ็บปวดจวนตายเพราะมนตราและโอสถ แต่มนตราและโอสถ และถูกเอาตะขอสับจนเจ็บปวด ไม่สามารถหยุดช้างมงคลได้เพราะอำนาจของราคะ โอ้ กามราคะมีอำนาจมากเหลือเกิน เมื่อไหร่เราหลุดพ้นหรือชนะกามราคะแล้ว เราจะนำพาให้สรรพสัตว์หลุดพ้นด้วยให้จงได้" พระองค์ทรงตั้งพระทัยอย่างแนวแน่และมั่นคง    หลังจากนั้นไม่นาน พระองค์ก็ทรงออกบวช เป็นดาบส จนสิ้นพระชนน์ เวียนเกิดตายไปอีกนานแสนนาน
           
พระสัตตุตาปะราชา กลับชาติมาเกิดเป็น องค์สมเด็จพระศรีศากยมุนีโคดมพุทธเจ้า
           
พญาช้างมงคล กลับชาติมาเกิดเป็น พระมหากัสสปเถร เป็นมหาสาวก
           
นายหัตถาจารย์ กลับชาติมาเกิดเป็นพระอชิตะโพธิสัตว์  ที่จะตรัสเป็นพระศรีอริยเมตไตรพุทธเจ้าในสมัยต่อจากนี้

            เสวยชาติเป็นพระพรหมดาบส
   
กาลต่อมาพระโพธิสัตว์จุติจากเทวโลก ก็มาบังเกิดในตระกุลพราหมณ์มหาศาล มีนามว่า พรหมกุมาร พรหมกุมารได้ศึกษาไตรเวทย์ และได้เป็นอาจารย์บอกเวทย์แก่มานพห้าร้อยคนที่เป็นศิษย์ เมื่อมารดาบิดาของพรหมกุมารได้ล่วงลับไปแล้ว พรหมกุมารจึงดำริออกบวชเป็นดาบส จึงได้จัดการแบ่งทรัพย์สินตั้งสิ้น ให้แก่บรรดาลูกศิษย์ทั้งหมด แล้วกล่าวว่า อาจาย์จะออกบวชเป็นดาบส  ฝ่ายลูกศิษย์ก็ทักท้วงแต่ไม่สำเร็จ  ดังนั้นเมื่อลูกศิษย์บางส่วนเห็นอาจารย์ออกบวช จึงออกบวชตามพรหมดาบส อยู่ในป่าบนเชิงภูเขา บำเพ็ญพรตอยู่เรือยมา และลูกศีษย์ที่เหลือเมื่อบิดามารดาสิ้นแล้ว ก็ออกบวชตามพรหมดาบส
       
วันหนึ่ง พรหมดาบส ออกปากชวนลูกศิษย์ ออกไปหาผลไม้ ไปถึงเชิ่งเขาหนึ่ง เมื่อมองลงไปเบื้องล่าง เห็นลูกเสือ เพิ่งคลอดใหม่ประมาณ สองสามวัน และแลเห็นแม่สือตัวหนึ่งที่กำลังหิวโซระโหยโรยแรง เพราะอดอาหารมาหลายวัน  จ่องจะกินลูกเสือ จึงกล่าวกับลูกศิษย์ว่า ดูสิ แม่เสือกำลังจะกินลูกเสือเพราะความหิว  พวกเธอจงไปหาซากสัตว์ที่ตายใหม่แถวนี้ โยนลงไปให้แม่สือได้กิน จะได้ยับยั่งไม่ให้แม่เสือกินลูกเสือ ลูกศิษย์ก็ออกหาซากสัตว์ ได้สักพัก พรหมดาบสเฝ้ามองดูกริยาของแม่เสืออยู่ เห็นแม่สือต้องตะครุบกินลูกเสือแน่ จึงตั้งใจสละชีวิตร่างกายเป็นทาน อย่างเด็ดเดี่ยว แล้วตั้งปณิธานว่า "เราขอสละชีวิตเป็นทานเป็นอาหารของแม่เสือ เราปราถาเพื่อปลดทุกข์ของสัตว์ทั้งหลายที่กำลังเป็นทุกข์ ให้พ้นจากทุกข์" แล้วประกาศออกว่า "ขอทวยเทพทั้งหลายทรงรับรู้  เราจะถวายร่างกายและชีวิตนี้เป็นทานให้แก่แม่สือเพื่อรักษาชีวิตลูกเสือ เราปราถนาจะรื้อสัตว์ทั้งหลายออกจากความทุกข์ ขอให้ทวยเทพเทวดาจงมากระทำอนุโทนาสาธุการด้วยเทอญ" แล้วพรหมดาบสจึงกระโดดลงไปเบื้องล่าง ร่างกายตกบงเบื้องหน้าแม่สือทันที่ แล้วไปจุติบนเทวโลก หลังจากนั้นก็เวียนเกิดเวียนตาย อีกนานแสนนาน

        มานพหนุ่มช่างทอง
           
กาลต่อมาพระโพธิสัตว์ได้เกิดเป็นบุตรของช่างทอง  และเป็นมานพหนุ่มช่างทองมีรูปสิริเลิศงดงาม ในเมื่องแห่งนั้น มีฝีมือในการทำทองนั้นยอดเยียม ชื่อเสียงในการทำทองขจรไปไกล เพราะความมีฝีมือนี้เอง ได้มีเศรษฐีของเมื่องมาทำการว่าจ้างให้ทำทองรูปพรรณ ให้บุตรสาวที่จะเข้างานวิวาห์มงคล  เมื่อเห็นรูปร่างของหนุ่มช่างทองก็เกิดรังเล  แต่ไม่สามารถหาช่างทองที่ฝีมือดีกว่านี้ได้อีกเลย จึงกล่าวกับหนุ่มช่างทองว่า ถ้าท่านเห็นมือ และเท้าของบุตรสาวของเราอย่างเดียวท่านสามารถทำทอง ได้สวยสดงดงามหรือไม่? หนุ่มช่างทองก็บอกว่าทำได้  เหตุผลของท่านเศรษฐีทำแบบนี้  เพราะบุตรสาวเป็นหญิงที่สวดสดงดงาม เมื่อเห็นหน้าตากันจะทำให้ทั้งสองเกิดหวั่นไหว มีปัญหาในการแต่งงานของลูกสาวกับบุตรชายของเพื่อนเศรษฐี   ที่หมั่นหมายไว้แล้วเป็นการตัดไฟเสียต้นลม
       
เมื่อถึงวันที่หนุ่มช่างทอง ทำการตรวจวัดมือและเท้าของบุตรสาวเศรษฐี ที่บ้านของเศรษฐี ท่านเศรษฐีได้ทำฉากกั่น ให้บุตรสาวยื้นเฉพาะมือและเท้าออกมาเท่านั้น แต่บุตรสาวเกิดความสงสัยว่าทำไม่บิดาจึงทำอย่างนี้ ในขณะที่หนุ่มช่างทองกำลังตรวจวัดอยู่  บุตรสาวเศรษฐี ก็แอบดูตามช่องที่มองเห็นได้ เมื่อเห็นรูปร่างหนุ่มช่างทองเกิดหลงรักทันที จึงทำการเขียนอักษร นัดแนะหนุ่มช่างทองทันที่ ว่าในค่ำคืนนี้นัดเจอกันที่ส่วนหลังบ้านที่เป็นต้นไม้ใหญ่ ฝ่ายหนุ่มช่างทองเมื่อเสร็จภารกิจ ก็กลับไปยังเรือนของตน ทำงานทำทองตลอด
      
เมื่อตกค่ำก็อาบน้ำแต่งตัวออกไปตามนัด ที่ กาญจนวดีกุมารีบุตรสาวเศรษฐีได้เขียนอกษรไว้ แต่มานพหนุ่มช่างทองมาถึงต้นไม้ใหญ่ก่อน    นั่งรออยู่ เพราะทำงานมาทั้งวัน เมื่อเจอบรรยากาศร่มรื่นจึงเผลอหลับไป เมื่อนางกาญจนวดีกุมารีมาถึงก็เห็นหนุ่มช่างทองหลับไปแล้ว ซึ่งในสมัยนั้นมีการถือกันว่า ถ้าผู้ใดนอนหลับอยู่ห้ามปลุกขึ้นมาเพราะจะเป็นบาป นางจึงนั่งรอเป็นเวลาพักใหญ่ เห็นว่าไม่ตื่น จึงว่าขันใส่ดอกไม้ไว้ แล้วเขียนอักษรไว้ว่า นางได้มาแล้วแต่ท่านหลับอยู่ จึงว่างขันดอกไม้ไว้ให้ทราบ และในราตรีต่อไปขอนัดเจอที่เดิม แล้วจากไป เมื่อหนุ่มช่างทองตืนขึ้นมาเห็นขันดอกไม้ จึงรู้ว่านางได้มาแล้วและได้อ่านข้อความที่นางเขียนไว้
       
ตกค่ำวันต่อมาหนุ่มช่างทองก็ออกไปตามนัดเหมือนเดิม ก็ไปถึงต้นไม้ใหญ่ก่อนอีก  ด้วยความอ่อนแรงจากการงานจึงเผลอหลับไปอีก  นางกาญจนวดีกุมารีเมื่อมาถึงก็เห็นหลับเหมือนเดิม  จึงเขียนอักษรนัดแนะเหมือนเดิม หนุ่มช่างทองเมื่อตื่นขึ้นมาก็พบอักษรที่นัดแนะ ก็ให้นึกโกรธตนเองที่เผลอหลับมาสองวันแล้ว
       
พอตกค่ำวันที่ 3 ครั้งนี้หนุ่มช่างทองพยายามเตือนตนเองอย่างเต็มที่ไม่ให้เผลอหลับ แต่ต้านไว้ไม่อยู่เลยเผลอหลับไปอีก เมื่อกาญจนวดีกุมารี มาเห็น ก็คิดว่า บุญไม่ต้องกันที่จะได้อยู่ร่วมกัน เพราะตนจะเข้างานวิวาห็ นางจึงวางขันดอกไม้ไว้อย่างเดียว  ให้รู้ว่านางได้มาตามนัดแล้ว แต่ครั้งนี้ไม่ได้เขียนอักษนัดแนะประการใด เมื่อหนุ่มช่างทองตื่นขึ้นมา ก็โกรธตนเองที่เผลอหลับ  จึงกลับบ้านด้วยความผิดหวังที่จะดูหน้าและรูปร่างเพียงสักครั้ง
       
แล้วนางกาญจนวดีกุมารี ก็เข้าวิวาห์กับบุตรชายเศษรฐี ตามกำหนดการ ฝ่ายหนุ่มช่างทองก็คล่ำครวญถึงนางกาญจนวดี ว่าสมควรจะอยู่ร่วมภิรมณ์กับตนและควรเป็นของเรา  เพราะหญิงก็มีใจกับตน จึงคิดหาอุบาย  ได้ทำเครืองทองที่ดีเลิศขึ้นมาชุดหนึ่ง แล้วนำไปถวาย มหาอุปราช  มหาอุปราชทรงพอพระทัย จึงทรงถามหนุ่มช่างทองว่า  มีประสงค์อันใดที่นำเครื่องทองอันดีเลิศมาถวาย หมุ่นช่างทองจึงบอกจุดประสงค์ มหาอุปราชจึงรับปากและจะออกอุบายช่วยเหลือ หลังจากนั้นก็ให้หนุ่มช่างทองแต่ตัวเป็นสตรี  ปลอมเป็นน้องหญิงของมหาอุปราช แล้วทรงกระบวนช้างผ่านไปยังบ้านเศรษฐีแล้วตรัสบอกกับท่านเศษรฐีว่า จะเอาน้องหญิ่งมาฝาก ที่บ้านเศรษฐี เพราะออกไปปราบข้าศึกที่ชายแดน และห็นว่าท่านได้สร้างเรื่อนใหม่ ที่พอจะฝากน้องหญิงได้
       
แล้วมหาอุปราชถามอีกว่า  "เรือนนั้นเป็นเรื่อนของใครของใครหรือ? "
       
เศรษฐีจึงตอบว่า  "เป็นเรือนของบุตรสาวที่พึ่งแต่งงาน"
       
มหาอุปราชกล่าว "อย่างนั้นก็ดีสิ ! จะได้ให้น้องหญิงพักอยู่ที่นั้น และจะได้ให้บุตรสาวของท่านอยู่เป็นเพื่อนของน้องหญิง ให้นางงดการอยู่ร่วมกับสมามีชั่วคราว  ห้ามผู้ชายแม้กระทั้งสามีของบุตรสาวท่านเข้าไปในส่วนของชั้นเรือนที่น้องหญิงพักอยู่  โดยมีบุตรสาวของท่านอยู่เป็นเพือน แล้วเราจะกลับมารับหนึ่งหญิงในภายหลัง"
       
เศรษฐีด้วยความเกรงในอำนาจของอุปราช และเห็นว่าท่านอุปราชทรงห่วงใยน้องหญิงคนนี้มาก จึงรับทำตามที่มหาอุปราชกับชับด้วยความเต็มใจ
       
หลังจากนั้นหนุ่มช่างทองได้อยูร่วมกับนางกาญจนวดี เป็นเวลา 3 เดือนโดยไม่มีใครรู้เรื่องเลย จนมหาอุปราชมารับกลับไป
       
ด้วยผลกรรมที่พระโพธิสัตว์ ผิดลูกผิดเมียของผู้อื่นเมื่อสิ้นอายุขัยของตกนรกทันที่ เวียนเกิดตายระหว่างอบายภูมิ(ภพต่ำ)เป็นเวลานาน แล้วเกิดเป็นกระเทยและเป็นผู้หญิง เป็นพันชาติ รวมเวลา ถึง 14  มหากัป
       
เมื่อทำกรรมหนักเพียงชีวิตเดียว ก็ตกลงในภพภูมิที่ต่ำจะทำให้สร้างบุญกุศลนั้นยาก เพราะใจจะตกต่ำไปด้วย ย่อมกระทำกรรมเล็กๆ น้อยๆ ไปเรี่อยกว่าจะหลุดพ้นมาได้ก็ใช้เวลาหลายมหากัป นับประสาอะไรกับผู้ที่ไม่ปรารถนาสร้างบารมี(อย่างใดอย่างหนึ่งในพุทธศาสนา) จะวนเวียนอยู่โดยไม่รู้ทิศรู้ทางเป็นเวลานานนับแสนแสนอสงไขย  จนประมาณไม่ได้

        เจ้าหญิงสุมิตตาเทวี (หรือ พระนางวิสุทธาเทวี ในหนังสือ พระพุทธเจ้าเคยเกิดเป็นผู้หญิง ของ อ.บารมี) 
   
จากกรรมที่พระโพธิสัตว์ทำผิดศีลกาเมมิจฉา แล้วตกนรก เป็นเวลานานแสนนาน หลังจากนั้น ถือกำเนิดเป็น ฬา เป็นโค เป็นคนพิการ เป็นตาบอด เป็นคนหูหนวก เป็นกระเทย และเป็นสตรี อย่างละ 500 ชาติ เป็นการชี้ให้เห็นว่า เป็นมนุษย์ผิดศีลอย่างเด็ดขาด ด้วยอำนาจแห่ง โทสะ และราคะ อย่างรุนแรง และติดต่อกันเป็นเวลานาน เป็นเดือน  หลังจากนั้นไม่ได้สร้างบุญกุศลกรรม ที่ประกอบด้วยศรัทธาอย่างแรงกล้าต่อ ผู้บริสุทธิ์ด้วยศีลพรต หรือต่อธรรมที่กำหนดให้รักษาศลี 5 อย่างศรัทธา ในภายหลัง  บาปที่ทำไปแล้วนั้นมีกำลังรุนแรง ให้เป็นชนกกรรม คือจะส่งผลทันที่เมื่อได้ตายไปจากภพปัจจุบัน  สัตว์ใดที่ทำบาปอย่างรุนแรง เมื่อตกลงเบื้องต่ำอบายภูมิ จะหลุดออกจากอบายภูมิโดยเร็วพลันนั้นอยากยิ่ง
   
มากล่าวถึงพระโพธิสัตว์เสวยเศษกรรมชาติสุดท้าย ด้วยมีบุญเก่าหนุนนำ จึงเกิดเป็นสตรีในวงค์กษัตริย์ ทรงพระนามว่าเจ้าฟ้าหญิงสุมิตตาราชกุมารี เป็นธิดาของพระเจ้าสุปปบุตรมหาราช และในกัปนั้นเป็นสารกัป เพราะ มีพระพุทธเจ้าเสด็จมาอุบัติ เพียงพระองค์เดียว  ทรงพระนามว่า พระปุราณทีปังกรพุทธเจ้า พระองค์เป็นราชบุตรของพระเจ้าสุปปบุตรมหาราช แต่ต่างมารกับเจ้าหญีงสุมิตตาเทวี และพระพุทธเจ้ามีฐานะเป็นพี่ชายของพระนาง เมื่อพระปุราณทีปังกรพุทธเจ้าบังเกิดขึ้น พระทรงทำให้พระธรรมปรากฏขึ้น  ทำให้สรรพสัตว์ทั้งหลายต่างได้รับรสพระธรรมนั้น จำนาณมากมายเหลือคณานับ บังเกิด พระพุทธ พระธรรม และพระสงฆ์ เป็นรัตณตรัย กระจรไปทั่วสากลจักรวาล
       
กล่าวถึงพระนางสุมีตตาเทวี ด้วยความศรัทธาเชื่อมั่นในพระเชษรฐาเป็นทุนเดิม เมื่อพระเชษรฐา ตรัสรู้เป็นพระบุราณทีปังกรพุทธเจ้า ความศรัทธาย่อมมีมาขึ้นเป็นทวีคุณ 
       
วันหนึ่งเวลาใกล้คำพระนางยืนอยู่บนปราสาทมองลงมาเบื้องล่าง  ก็เห็นพระภิกษุรูปหนึ่งมาบิณฑบาต อยู่ที่หน้าราชวังของพระนาง จึงคิดในพระทัยว่า " พระคุณเจ้ามาบิณฑบาตอะไรหนอ ถึงได้มาใก้ลค่ำจึงทรงสั่งให้บุรุษรับใช้ไปถามพระภิกษุ พระภิกษุรูปนั้นบอกว่า จะมาบิณฑบาตน้ำมัน  เมื่อพระนางทรงทราบ จึงได้อาราธนาพระผู้เป็นเจ้าขึ้นมา ณ อาสนะ อันสมควร  แล้วพระนางทรงดำรัสถามว่า  "พระผู้เป็นเจ้า มีความประสงค์น้ำมันไปเพื่อทำอะไร?"  พระผู้เป็นเจ้าตอบว่า
        "
อาตมา บิณฑบาตน้ำมันเป็นอันมากเพื่อ จุดประทีปมากมาย ทำการสักการะบุชาแด่พระปุราณทีปังกรพุทธเจ้า จนสิ้นราตียันรุ่งสาง พร้อมทั้งมีเหล่าพระอริยะสงฆ์มาประชุมพร้อมกัน อาตมารับทำภารกิจนี้เสมอมาพระนางสุมิตตาเทวีได้รับทราบดังนั้นมีศรัทธาเป็นอันมาก ก็ดำริในพระทัยว่า "พระเชษฐาของ เราได้ตรัสเป็นพระพุทธเจ้า ทรงทำประโยชน์อย่างใหญ่หลวงต่อมวลสรรพสัตว์ทั้งหลาย ในกาลเบื้องหน้าขอให้เราได้ตรัสเป็นพระพุทธเจ้า เพื่ออนุเคราะห์แก่สัตว์โลกเหมือนพระองค์"
           
หลังจากนั้นพระนางทรงเอาน้ำมันถวายพระคุณเจ้า จนเต็มบาตร พร้อมทั้งกล่าววาจาปณิธานว่า
       
"ด้วยอนิสงสผลทานนี้ ขอจงเป็นปัจจัยให้ความปรารถนาของข้าพเจ้าจงสำเร็จผลตามที่ปรารถนา และขอให้พระคุณเจ้าจงมีจิตช่วย      กราบทูล พระองค์ด้วยว่า   พระน้องนาง ของพระพุทธองค์ ซึ่งมีนามว่า สุมิตตากุมารี มีความศรัทธาเป็นยิ่งนักขอกราบแทบพระบาท  พระพุทธองค์  และขอตั้งความปารถนาว่า  ด้วยผลบุญนี้จง เป็นปัจจัยในอนาคต ให้ได้ตรัสเป็นพระพุทธเจ้าสักพระองค์หนึ่ง และขอให้มีพระนามว่า สิทธัตถะเหมือนด้วยชื่อนำมันพันธุ์ผักกาดนี้ด้วยเถิด"
หลังจากนั้นพระนางก็ส่งพระคุณเจ้ากลับไป
       
ผ่ายพระคุณเจ้า ครั้งนี้ได้น้ำมันมากกว่าทุกวันที่แล้วมา จึงจุดประทีปได้สว่างไสว มากกว่าทุกวัน ครั้นแล้วก็เข้าไปกราบทูลสมเด็จสัมมาพระพุทธเจ้าว่า
        "
ข้าแต่พระผู้มีพระภาค  คืนนี้ข้าพระองค์ได้จุดประทีปบูชาได้มากกว่าคืนก่อนๆ ด้วยน้ำมันพันธุ์ผักกาดอันพระน้องนางสุมิตตาเทวีของพระองค์ถวายมา และพระนางกล่าววาจาอธิษฐานว่า พระนางมีความศรัทธาเป็นยิ่งนักขอกราบแทบพระบาท  พระพุทธองค์  และขอตั้งความปารถนา  ด้วยผลบุญนี้จง เป็นปัจจัยในอนาคต ให้ได้ตรัสเป็นพระพุทธเจ้าสักพระองค์หนึ่ง และขอให้มีพระนามว่า สิทธัตถะเหมือนด้วยชื่อนำมันพันธุ์ผักกาดนี้ด้วยเถิด  ข้าพระองค์จึงขอโอกาสกราบทูลถามต่อพระองค์ว่า  ความปารถนาของพระน้องนางจะสำเร็จหรือไม่ พระเจ้าข้า ?"
   
พระพุทธองค์เมื่อได้สดับฟัง จึงตรัสว่า " พระน้องนาง ยังเป็นสตรีเพศอยู่ จึงยังไม่สมควรรับลัทธยาเทศพยากรณ์"
   
พระคุณเจ้าจึงทูลถามต่อ "ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้า ก็พระน้องนางของพระองค์จักไม่มีโอกาสได้สำเร็จพระพุทธภูมิเลยหรือ พระเจ้าข้า"
       
พระพุทธองค์จึงทรงพิจารณาดูในอดีดภาคของพระน้องนาง ก็ทรงทราบว่า พระน้องนางสุมิตตาเทวี ได้เคยปรารถนาพุทธภูมิไว้นานนักหนา เมือต้นอสงไขย  ตั้งแต่เป็นมานพแบกมารดาว่ายข้ามมหาสมุทร และมีทรงพิจารณาดูไปในอนาคต ก็ทรงทราบ ว่าพระน้องนาง อาจสำเร็จซึงพุทธภูมิตามความปรารถนา พระพุทธองค์จึงทรงตรัสว่า
   
"กาลข้างหน้า นับจากนี้ไป 16 อสงไขยเศาแสนกัป จักมีพระพุทธเจ้าพระองค์หนึ่งทรงพระนามว่าทีปังกร ซึ่งมีนามเสมอกับเรานี้ อุบัติขึ้นในโลก แล้วพระน้องนางจะได้รับลัทธยาเทศพยากรณ์ในสำนักของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น"
       
เมื่อพระคุณเจ้าได้รับฟังคำตรัสของพระพุทธองค์ ก็กราบทูลลา  หลังจากนั้นก็ได้ไปยังปราสาท ของพระนางสุมิตตาเทวี แล้วบอกข้อความ แก่พระนางตามที่พระพุทธเจ้าทรงตรัสทุกประการ นำความปีติแก่พระนางเป็นอย่างยิ่ง จึงกล่าวปวารณา ให้พระคุณเจ้า จงมารับน้ำมันในสำนักของพระนางทุกวัน
       
ในวันถัดมาพระนางสุมิตตาราชกุมารี ก็จัดแจงอาหารอย่างประณีตเป็นอันมาพร้อมทั้งเครื่องสักการะบูชาถวายบิณฑบาตแก่หมู่  พระภิกษุสงฆ์มีพระพุทธเจ้าเป็นประธาน ด้วยความเลื่อมใสเป็นอย่างยิ่ง และพระนางทรงเบื่อหน่ายเพศสตรีเป็นกำลัง   ครั้นสิ้นอายุขัย ก็ได้เสวยทิพยสมบัติในดุสิตเทวโลก

                                                 อ่านหน้าต่อไป                                                กลับหน้าแรก