8. เมือการพิสูจน์อย่างไม่เลิกราจึงประสบผลสมาธิอีกระดับหนึ่ง
        
เรื่องที่จะทำการพิสูจน์สิ่งที่อาจารย์ดูมาก็ยังมีอยู่ จึงยังคงตามหาพระท่านที่มีอภิญญา แต่จะไม่ไปหาท่านที่ดังๆ เพราะเข้าไม่ถึงท่านและคงไม่ได้รับคำตอบแน่นอน  ถ้ามีโอกาสก็จะเข้าไปสนทนา ส่วนมากจะไปหาพระธรรมดา เพราะที่ผ่านมาอาจารย์ข้าพเจ้าท่านเป็นพระธรรมดาไม่มีชื่อเสียงอะไรมาก  มีคนรู้จักในฐานะอาจารย์สอนวิปัสสนากรรมฐานล้วนๆ ไม่แสดงคุณวิเศษที่มีอยู่ให้ผู้อื่นทราบเลย และไม่มีใครรู้ถึงความสามารถของท่าน ยกเว้นกลุ่มข้าพเจ้า 3 - 4 คนเท่านั้น เพราะทำกรรมฐานเป็นศิษย์และอาจารย์กันเป็นเวลา 4 - 6 ปี  ดังนั้นเมื่อข้าพเจ้าไปวัดไหนก็จะสอบถามว่าท่านที่ ทำกรรมฐานเก่งๆ หรือมีสมาธิดี ในวัดนี้มีบ้างไหม? ต้องการจะสนทนาธรรมด้วย เทียวตามหาพระที่มีอภิญญาที่ท่านเปิดเผยให้ทราบจริงๆ เป็นเวลา 4 ปีกว่า ได้บทสรูปว่าหาอยากยิ่งกว่าหาเงินหาทองหาบ้านที่เป็นของตนเอง สามารถหาสิ่งเหล่านี้ได้ก่อนทั้งที่เริ่มหาพร้อมกัน นี้ละหนอเพชรก็ยังเป็นเพชรอยู่ดี แต่การหาอย่างนี้ไม่ได้เสียประโยชน์เปล่า ทำให้เข้าใจเกี่ยวกับสังคมพระ  และแต่ละท่านก็แต่ละอย่างกันตามความเชื่อถือของท่านเหล่านั้น ส่วนมากท่านทีไม่มีชื่อเสียงจะเปิดเผยให้ทราบถึงสิ่งเหล่านี้เพราะจะสนทนากันเปิดใจ ไม่เหมือนกับท่านทีมีชื่อเสียงสร้างกำแพงความคิดของตน ไม่คอยรับความคิดเห็นที่ผิดจากแนวที่ตนปฏิบัติหรือยึดถือ  สิ่งเหล่านี้ก่อให้เกิดความสับสนขึ้นกับข้าพเจ้าไม่ใช่เล่น แถบท้อถอย แต่เพราะนิสัยที่เรียมมาทางวิทยาศาสตร์ จะไม่ยอมล้มเลิกอะไรง่ายๆ เมื่อยังมีโอกาสพิสูจน์ได้
          
พอดีกับงานที่ทำให้โอกาสเพราะต้องออกต่างจังหวัดบ่อย ในช่วงปี พ.2536 - 2537 ได้ไปดูแลและสอนระบบคอมพิวเตอร์ถึง จังหวัดกระบี่ เมื่อว่างจากงานข้าพเจ้าก็ไปวัดต่างๆ ในจังหวัด เพื่อสอบหาพระที่ประสงค์ อยากยิ่งกว่าหาทองเสียอีก จึงหาวัดที่มีสำนักปฏิบัติ เพราะโอกาสที่จะพบมากกว่าวัดธรรมดา แต่ก็ยังไม่มีจึงได้ความคิดว่าน่าจะหาแม่ชีที่ปฏิบัติ เพราะหญิงชายมีโอกาสเท่ากันในธรรมอันสงบ เดินหาแม่ชีที่มีคุณสมบัติดังกล่าวก็เหมือนเดินอยู่ในป่า หลงทางเหมือนกับเดินหาพระ แต่คำว่าแสวงหาถ้าเป็นคนฉลาดย่อมเก็บเกี่ยวสิ่งที่วิเศษไว้กับตน ไม่ใช่มุ่งให้ได้แต่สิ่งที่ตนประสงค์  ยังมีสิ่งอื่นที่ดีปนอยู่ควรจะพิจารณาเพื่อเป็นประโยชน์ตน ไม่ใช้เป็นคนปิดทางขวางตนเอง หลังจากที่ข้าพเจ้าเดินหาแม่ชีมาหลายท่านก็ไม่สมหวัง ขณะที่เดินผ่านแม่ชีท่านหนึ่งแม่ชี ซึ่งกำลังนั่งอยู่บนชานกุฏิสวมสื่อผ้าเก่าๆ อายุก็แก่มากแล้ว แต่ความรู้สึกที่กระทบกับข้าพเจ้า แม่ชีคนนี้เหมือนไม่มีอะไรเลยหมดอาลัยในชีวิต เสมือนผู้ไม่มีหวังในชีวิตเสียแล้ว แล้วข้าพเจ้าเดินผ่านไปเพื่อที่จะไปหาแม่ชีที่มีผู้อื่นแนะนำ สนทนากับแม่ชีที่มีผู้แนะนำในธรรมมะได้รับความอิ่มเอิบใจทั้งคู่ แต่ข้าพเจ้าไม่ได้สิ่งที่ประสงค์ จึงต้องเดินทางกลับทางเดิม ผ่านกุฏิแม่ชีองค์ท่านที่เสมือนไม่มีอะไร จึงคิดว่าน่าจะแวะเขาไปสนทนา จึงเข้าไปถามว่า "แม่ชีสบายดีหรือ?" ด้วยสำเนียงใต้ ท่านก็ตอบเป็นสำเนียงใต้ "สบายดี ลูก" ข้าพเจ้าจึงถามต่อ "ไม่มีความทุกข์หรือ?" ท่านตอบ "ไม่มี ลูก" ข้าพเจ้าเริ่มแอะใจ จึงถามว่า "แม่ชีมีความโกรธอยู่หรือไม่?" ท่านตอบ "ไม่โกรธใครแล้วลูก" ข้าพเจ้าเริ่มแปลกใจเพิ่มขึ้นจึงถามตรงว่า "แม่ชียังมีความขุ่นคลึง หรือปฎิคะอยู่หรือไม่?" ท่านตอบว่า "ไม่มีอยู่เลยลูก แม้แต่เขามายืนด่าต่อหน้าแม่ชีไม่มีแล้ว แต่กลับสงสารเขาเสียอีกข้าพเจ้าประหลาดใจมากเลยคิดสอบสวนตั้งแต่ต้น โดยถามว่า "เมื่อแม่ชีนั่งหลับตาหรือนั่งสมาธิมีพวกนิมิตหรือวูบวาบบ้างไหม? " ท่านตอบว่าไม่มีเลยลูกมันมีแต่ความว่างเฉยๆ " ข้าพเจ้าถามต่อ "เป็นอย่างนี้มากี่ปีแล้ว?" ท่านตอบ "เป็นมา 2 ปีกว่า น้องสาวเป็นมาก่อนแต่ไม่ยอมบอกยายพอมาบอก ยายโกรธอยู่หลายวัน หลังจากนั้นยายก็เป็นเหมือนน้องสาว นี้เป็นลูกน่ะที่ยายบอกเพราะลูกถามตรงๆ คนอื่นยายไม่เคยบอกใครเลยแม้กระทั้งน้องสาว" (หมายเหตุ คนที่มายืนด่าแม่ชีก็เป็นแม่ชีคนหนึ่งที่บวชชี แต่มีความขัดใจในเรื่องกุฏิที่พัก ที่แม่ชีผู้เฒ่าเข้ามาพักเสียก่อน จึงโกรธอยู่ฝ่ายเดียว ยืนด่าเกือบทุกวัน วันหนึ่งหลังจากยืนด่าแล้วเข้าห้องน้ำ แล้วไม่รู้ว่าเป็นอะไรสิ้นใจตายในห้องน้ำ) ข้าพเจ้าถามต่อว่า "น้องสาวยายอยู่กุฏิไหน?" ท่านตอบ "อยู่ข้างใน" ข้าพเจ้าจึงสอบสวนต่อว่า "ตอนที่ยายจะเป็นอย่างนี้มันเป็นอย่างไร?เป็นตอนไหน? ผมอยากทราบ" ท่านตอบว่า "ตอนจะเป็นไม่รู้ว่าเป็นเวลาใดยายกำหนดใจอยู่ตลอดเวลา พอเช้าขึ้นมา มันไม่เอาอะไรแล้ว มันไม่เอาเอง เงินทองก็ไม่เอา ไม่ไปจับไม่ไปแตะต้องเลย เอาใสหอผ้าแจกเขาหมด" ข้าพเจ้าเริ่มเข้าจุดประสงค์ของตนถามว่า "แม่ชีสามารถระลึกชาติได้ไหม?" ท่านตอบว่า "ยายทำไม่ได้และไม่รู้ว่าทำปรือ? รู้แต่ละวางแล้วว่างไปเอง ส่วนเรื่องพูดธรรมะยายก็ไม่รู้เพราะไม่ได้เรียนมาไม่เหมือนน้องสาวเขาพูดเรืองธรรมะได้เพราะเขาเรียนมาบ้าง ถ้าจะคุยเกี่ยวกับธรรมะให้ไปคุยกับน้องสาว" ข้าพเจ้าจึงถามอายุแม่ชีๆ บอกว่าอายุประมาณ 83 ปี แล้วแม่ชีบวชมากี่ปี ท่านบอกว่าบวชมาประมาณ 6-7 ปี ข้าพเจ้าสอบถามต่อได้ทราบว่าน้องสาวแม่ชี อายุประมาณ 60 ปี บวชชีมาประมาณ 10 กว่าปี ข้าพเจ้าจึงสอบสวนอารมณ์กรรมฐาน ที่เกิดกับแม่ชีตั้งแต่ต้นก็เป็นแนวสติปะฐาน 4 หรือวิปัสสนากรรมฐานจริง เพราะแม่ชีไม่เคยศึกษามาจึงพูดเกี่ยวกับอารมณ์ล้วนๆ ให้ทราบ
       
พอสนทนาสักพักใหญ่แม่ชีผู้น้องสาวที่กล่าวถึงก็เดินเข้ามา  แม่ชีผู้พี่จึงกล่าวมาว่า "ลูกนี้มีบุญจริงๆ ธรรมดาน้องสาวนานๆ จึงจะมาสักที" หลังจากนั้น ก็เชิญท่านนั่ง ข้าพเจ้าจึงทำการสอบถามทำนองเดียวกับที่ผ่านมา ก็ได้นำความน่าปีติให้กับ ข้าพเจ้า เพราะตั้งแต่ศึกษามาสอบถามมาจนปัจจุบันไม่มีใครพูดอย่างนี้กับข้าพเจ้าเลย ถ้าบุคคลที่กล่าวไม่มีส่วนที่เป็นจริงบ้างข้าพเจ้าคงไม่ศรัทธา เพราะศึกษามาก็มากพอ ปฏิบัติก็มากพอ ผ่านโลกด้านนี้มามากพอ แต่จุดประสงค์ของข้าพเจ้าที่จะพิสูจน์ก็เป็นหมันเพราะแม่ชี 2 ท่านไม่สามารถระลึกชาติได้เลย สนทนากันจนค่ำ ข้าพเจ้าก็ซื้อสิ่งของทำบุญกับท่านทั้ง 2 ตามฐานะเพราะท่านทั้ง 2 ไม่เก็บเงิน ข้าพเจ้าก็กลับกรุงเทพฯตามหน้าที่ เดือนถัดมาข้าพเจ้าก็ได้มีโอกาสไปกระบี่อีกตามหน้าที่ และข้าพเจ้าเห็นว่าอยู่โรงแรมคนเดียวห่างไกลจากครอบครัวความวุ่นว่ายน้อยลง จึงเริ่มกำหนดกรรมฐานตามกำลังเพราะสงบ พอเสร็จภาระกิจจากงาน   จึงทำการเสาะหาพระอีกตามที่ต้องการพิสูจน์  หาจนเหนื่อยอ่อนจึงต้องไปหาแม่ชีผู้น้องท่านเดิม นั่งสนทนาธรรมะ ข้าพเจ้าก็พยายามพูดคุยสะกิดให้ท่านลองใช้ความสามารถพิเศษ แต่ท่านก็กล่าวทำนองว่าถ้าทำได้ท่านดูให้แล้ว แต่ท่านไม่มีจริงๆ ข้าพเจ้าก็ต้องกลับอย่างผิดหวังเข้ากรุงเทพฯ พอปลายเดือนใหม่ข้าพเจ้าก็ต้องลงไปกระบี่อีก  ข้าพเจ้าก็กำหนดกรรมฐานตามกำลังเพราะอยู่โรงแรมคนเดียว แต่ครั้งนี้กำหนดทุกอย่างได้ดีขึ้น พอเสร็จจากงานก็ไปหาพระตามเดิม ก็พบกับความผิดหวังอย่างเคยจึงแวะไปสนทนาธรรมกับแม่ชีท่านเดิมอีก ขณะสนทนาก็กำหนดจิตพิจารณาตาม บางครั้งอารมณ์เกือบจะขาดจากกัน และข้าพเจ้าก็พยายามสกิดความสามารถจากท่านก็ไม่สำเร็จเหมือนเก่าเลยต้องกลับกรุงเทพฯ ผิดหวังอีก เมื่อถึงปลายเดือนใหม่ข้าพเจ้าก็ได้ไปกระบี่อีก ก็ประพฤติตนเหมือนเดิม กำหนดกรรมฐานตามกำลัง เพราะสัปปะยะหาพระผิดหวังสุดท้ายก็แวะสนทนาธรรมกับแม่ชีท่านเดิม สนทนาธรรมไปพิจารณาตามไป แต่ใจก็ยังยากสะกิดท่านในเรื่องของคุณพิเศษ จึงได้พูดถึงเรื่องการสื่อสัมผัสเทวดาพระพรหมต่างๆ ของภรรยาและข้าพเจ้าได้สอบถามปัญหาต่างเหล่านี้ ก็ได้รับคำตอบโดยดี  แต่ก็ยังต้องการพิสูจน์ยังต้องถามหาพระอยู่เป็นประจำ  ท่านเลยพูดส่วนกลับมาทำนองว่า จะไปถามอะไรกับคนอื่นแม้เทพเทวดาก็เถอะ จะให้คำตอบอะไรได้ถ้ายังมีกิเลสอยู่ ข้าพเจ้าเริ่มมีความขุ่นเคืองเล็กน้อย ท่านก็พูดต่อไปว่า "ขอโทษอย่าโกรธยาย ที่ต้องพูดแบบนี้ ปัญหานี้ไม่ใช่เรื่องง่าย ให้ถือการปฏิบัติเป็นหลัก เมื่อปฏิบัติถูกต้องกำหนดกรรมฐานถูกทางมันย่อมละได้สักวันไดสักวันหนึ่งตามเวลาวาสนาบารมี ไม่ต้องไปถามผู้ใด" คำพูดเหล่านี้ทำให้ข้าพเจ้าได้สติ  ก็ทำการสนทนาธรรมะกันต่อ สนทนาธรรมไปข้าพเจ้าก็ใช้สติพิจารณาไป อารมณ์เกือบจะดับมิดับแหล่ ก็ถอยกลับมาเป็นปกติอีก เมื่อมีสติพิจารณาสักเพียงแต่รู้ ตามธรรมที่สนทนากันครั้งนี้อารมณ์รวมกันดับจากกัน  แล้วข้าพเจ้าจำอารมณ์ได้ตลอดคงอารมณ์นั้นได้ มากำหนดกรรมฐานที่โรงแรมกรรมฐานดำเนินได้อย่างดี
           
หลังจากนั้นข้าพเจ้า ก็ยังหาพระเพื่อการพิสูจน์อยู่ในกรุงเทพฯอยู่ดี  เมื่อออกไปหาลูกค้าหลังจากเสร็จภาระกิจ ก็เข้าวัดต่างๆ โดยส่วนมากจะไปวัดสระปทุม เพราะมีพระกรรมฐานจากทางภาคอีสานมาพักบ่อย และอยู่กับลูกค้าที่ต้องไปหา สอบถามไปเรื่อย การปฏิบัติธรรมก็กำหนดเรื่อยๆ จึงเห็นความทุกข์โทษของการเสาะแสวงหาโดยไม่มีจุดหมาย เห็นกิเลสตนและกิเลสคนมากขึ้นตามที่เข้าใจของตนเอง จึงละวางการแสวงหาโดยปริยาย แต่เวลาที่เสียไปไม่ใช่ไม่ได้ประโยชน์ กลับเป็นประโยชน์มากมายถ้ากระทำไปศึกษาไป  หลังจากนั้นข้าพเจ้าเริ่มทำกรรมฐานติดต่อกันโดยไม่หยุดอย่างเต็มกำลังคือกำหนดภาวนา "เป็นเช่นนั้นเอง" "สักแต่รู้" "เกิดขึ้นตั้งอยู่ดับไปเป็นธรรมดา" "อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา" และ อสุภกรรมฐาน เป็นตัวนำสติ และต้องมีความเข้าใจในทันทีในสิ่งที่กระทบ บังเกิดเป็นความรู้สึก หรือความนึกคิดขึ้นมา ตามความหมายที่ภาวนา จนปัญญาเห็นอัตตา ที่บังเกิดขึ้น และสามารถปล่อยวางได้อย่างรวดเร็ว ทุกเวลานาที แม้ว่าจะมีภาระต่อครอบครัวและต่อหน้าที่การงานอยู่ก็ตามแต่ ถึงแม้จะมีผลต่อครอบครัวหรือหน้าที่การงานบ้าง แต่ก็ไม่ถึงกับล้มละลายเพราะประคองไว้อยู่เนื่องจากประสบการณ์ที่ผ่านมาสอนไว้มากแล้ว พิจารณาจนเบื่อหน่ายในตนที่สำคัญว่าเป็นตน(อัตตา) จนเข้าสู่สมาธิและมีความแจ้งชัดเมื่อออกจากสมาธิว่าแม้แต่สิ่งที่กำหนดภาวนาอยู่ก็ยึดมั่นถือมันไม่ได้ในทันที่ กว่าจะเกิดสภาวะแบบนี้ ข้าพเจ้าต้องกำหนดภาวนากรรมฐานทุกเวลา ปกติก็ทำกรรมฐานแต่เป็นข่วง แต่ครั้งนี้ทำติดต่อกันทุกเวลา ติดต่อกันเป็นเดือน หลังจากนั้นความปรารถนาเป็นพระพุทธเจ้า ที่ปรากฏให้เห็นในสามัญสำนึก ที่ทำให้อยากมีอยากเป็นนั้นหายไป   (ความปรารถนาพุทธภูมินี้ยังมีเงื่อนงำซับซ้อนอยู่ซึ่งยังกล่าวไม่ได้ในตอนนี้) ความงุดหิดรำคราญใจโดยไม่ทราบสาเหตุ หรืออารมณ์ไม่ดีโดยไม่มีสาเหตุ หรือสะสมมาจนไม่รู้ตัว ไม่บังเกิดขึ้นอีกเลย และกามารมณ์ที่จะจิตนาการถึงหญิงอื่นนั้นหายไป และการเห็นหญิงอื่นแล้วทำให้เกิดกามจินตนาการไปให้ทุกข์ร้อนนั้นไม่มี และความเครียดที่เกิดจากหน้าที่การงาน หรือปัญหาในครอบครัวสามารถบรรเทาหรือหายเป็นปลิดทิ้ง  เมื่อกำหนดกรรมฐานปล่อยวางจนว่าง     หลังจากนั้นข้าพเจ้าก็มีโอกาสภาวนากรรมฐานอย่างต่อเนื่อง เพราะหน้าที่การงานทำให้มีโอกาสโดยงานไม่เสีย ดังเรื่องที่จะเล่าเสริมต่อไป

                       การสนทนาธรรมกับหลวงพ่อพุทธ
           
เมื่อประมาณเดือนมิถุนายน 2537 ข้าพเจ้าได้มีโอกาสไปแนะนำระบบจุดขายและสะต๊อก ให้กับห้าง ทอ๊ฟฟี และห้างคลังพาซ่า ที่จังหวัดนครราชสีมา หลังจากเลิกงานของวันหนึ่ง 17.00 ข้าพเจ้าได้ขึ้นรถสองแถว สาย 7 หรือ 8 เพื่อไปวัดป่าสารวัน ซึ่งเป็นวัดหลวงพ่อพุทธ นับว่าเป็นโชคดีของข้าพเจ้า หลวงพ่อพุทธอยู่วัดพอดี และท่านมีแขกอยู่คน 2-3 คน ข้าพเจ้าจึงเข้าไป และนั่งรออยู่ ท่านก็หันมาถามข้าพเจ้าว่า "มีปัญหาเรื่องอะไร?" ข้าพเจ้าก็ตอบว่า "ต้องการมาคุยธรรมะกับหลวงพ่อ" ท่านก็ไม่ว่าอะไร ข้าพเจ้าก็นั่งเฉยอยู่ เพื่อให้ท่านได้สนทนากับผู้ที่มาก่อน เมื่อท่านสนทนากับผู้ที่มาก่อนจนหมดการสนทนา ซึ่งใช้เวลาไม่นานนัก แล้วท่านหันมาทางข้าพเจ้าแล้วพูดว่า "มีอะไรพูดมา" ข้าพเจ้าจึงถามว่า "การกำหนดภาวนาวางอารมณ์อย่างไรจึงจะถูก" ท่านตอบว่า "การกำหนดภาวนานั้นวางใจให้เป็นกลางเพียงแต่รู้ก็พอ" ข้าพเจ้าจึงถามต่อว่า "เพียงแต่รู้เป็นการกำหนดให้เป็นปัจจุบันไม่ไปปรุงแต่งอารมณ์ ใช่ไหมครับ?"ท่านตอบว่า " ใช่วางใจให้เป็นกลางตามรู้มันอย่างเดียวให้ทัน คุณก็เข้าใจแล้วนี้ " ข้าพเจ้าถามต่อ "การวางใจกำหนด    ภาวนาของสมถะกับวิปัสสนากรรมฐานก็คล้ายกันใช่ไหมครับ" ท่านตอบว่า "การวางใจเป็นกลางคล้ายกัน ถ้าเป็นวิปัสสนาต้องมีสติกำหนดรู้อารมณ์ให้ทันตามรู้มันให้ทันวางใจเพียงแต่รู้ไม่ต้องไปปรุงแต่งมัน มันจะเป็นอะไรก็ต้องตามให้ทัน" ช่วงนี้ข้าพเจ้าไม่ถามต่อเพื่อปล่อยโอกาศให้ท่านสนทนากับแขกที่มาใหม่ 2 คน สังเกตได้ว่าเวลามีโทรศัพท์โทรเข้ามาท่านก็จะรับเป็นปกติ ซึ่งขณะนั้นเวลาประมาณ 18.00 ท่านก็สนทนากับแขกที่มาใหม่เสร็จ แล้วหันมาพูดกับข้าพเจ้า "ยังมีอะไรอีก?" ข้าพเจ้าตอบว่า "ยังมีเรื่องแปลกแตกต่างจากผู้อื่นในการทำกรรมฐานมาเล่าให้ท่านฟัง เพื่อให้หลวงพ่อวินิสัยให้ด้วย" หลวงพ่อกล่าวว่า "เอาเล่ามา" ข้าพเจ้าเริ่มเล่าตั้งแต่ทำกรรมฐานเมื่ออายุ 10 กว่าปี จนเข้าทำกรรมฐานที่คณะ 5 วัดมหาธาตุเมื่อปี 2526 เรื่อยมาจนประสพการณ์ที่ได้เจอกับแม่ชีวัดถ้ำเสือ ปี 2537 เกือบละเอียด ซึ่งช่วงนี้โทรศัพท์เข้ามาท่านก็ไม่รับให้บอกไปว่ากำลังติดธุระ และประมาณ 19.20 มีพระประมาณ 10 กว่ารูปรอที่จะเข้ามาหาท่านและเดินเข้ามาหาท่าน ท่านก็บอกว่าให้รอก่อนกำลังคุยกันอยู่ แล้วข้าพเจ้าเล่าต่อไปจนเวลาประมาณ 19.45 จนจบ ซึ่งท่านก็ตั้งใจฟังตั้งแต่ต้น นับว่าเป็นพระกรรมฐานเพื่อกรรมฐานจริง ไม่ถือตัวถือตน ยอมรับฟังสิ่งใหม่ในอารมณ์กรรมฐานของผู้อื่นซึ่งก็คือหัวใจของศานาพุทธ์ ทั้งที่ไม่เคยรู้จักกันมาก่อนเลยและไม่มีอาการเบื่อหน่ายในการฟัง ทั้งที่ท่านมีฐานะเป็นพระผู้ใหญ่ และมีชื่อเสียงมากรูปหนึ่งซึ่งต่างจากพระผู้มีชื่อเสียงรูปอื่นๆ ที่ข้าพเจ้าสนทนามา ท่านเป็นพระที่ข้าพเจ้ามีความประทับใจเป็นอย่างมาก เมื่อข้าพเจ้าเล่าจบ ท่านก็วินิสัยให้ และวินิสัยให้ตรงตามเหตุผลที่ควรยึดถือปฏิบัติ ตามเนื้อหาที่เล่ามา
        
หลังจากนั้นท่านก็เริ่มเล่าอารมณ์กรรมฐานของท่านให้ฟัง ตั้งแต่เมื่อยังเป็นพระหนุ่มตอนที่เป็นมหา แล้วท่านก็เริ่มฝึกกรรมฐานอย่างจริงจัง โดยพิจารณาลมหายใจเป็นหลักโดยมีสติรู้ที่ปลายจมูก หายใจเข้าภาวนาว่า พุทธ หายใจออกภาวนาว่า โธ โดยวางใจเป็นกลาง เมื่อภาวนาไปเรื่อยๆ หลายวันเข้าลมหายใจเริ่มแผ่วเบาลง เมื่อหลายวันเข้าไปอีกเสมือนไม่มีลมหายใจ คำภาวนาก็หายไปแต่เมื่อเอามือมาใกล้ที่จมูก ยังมีลมหายใจแผ่วเบามาก จนลมหายใจหมดไปชั่วขณะหนึ่งเมื่อรู้ตัวขึ้นมาก็คิดว่าตนเองตายไปแล้ว พอรู้สึกตัวเต็มที่ ก็รู้ว่ายังไม่ตายเพราะยังนั่งอยู่จะตายได้อย่างไร เป็นอย่างนี้อยู่หลายวัน ก็คิดขึ้นมาได้ว่าถ้าตายก็ต้องนอนตายไม่นั่งอยู่อย่างนี้ พอทำกรรมฐานถึงคืนวันหนึ่งก็ตั้งใจไว้ว่าถ้าจะตายคืนนี้ต้องนอนตายไม่ใช่นั่งอย่างนี้ พอถึงจุดกรรมฐานเดิมก็หายหลังมือกางล้มตัวลงภาวนาดูลมจนไม่มีลมแล้วมาพิจารณาถึงความตาย ของสังขารร่างกายคือต้องน้อมนึกไปก่อนด้วยสติที่ทัน พอถึงจุดหนึ่งไม่ต้องน้อมนึกจิตจะเป็นนิมิตมาเอง   แต่สติและใจต้องเป็นกลางเพียงแต่รู้ตามให้ทัน นิมิตก็จะเกิดขึ้น เป็นร่างกายของตนเองนอนตายอยู่ แล้วเริ่มขึ้นอืด เริ่มเน่า จนเหลือโครงกระดูก แล้วโครงกระดูกเริ่มสลาย กลายเป็นผงเถ้า แล้วปลิวไปจนหมด ไม่เหลืออะไรเลย ที่จะยึดมั่นถือมั่นได้ หลังจากนั้นจิตก็สงบ และมีสุขนิ่งอยู่อย่างนั้น จนสว่าง 3 โมงเช้าจึงเริ่มถอนออกมาเป็นปกติ ซึ่งโยมอุปัฏฐากจะเข้าไปเรียกหลายครั้งแล้วแต่ไม่กล้า แต่พอตัดสินใจเรียกจริงๆ ท่านก็ตื่นขึ้นมาก่อน  แล้วท่านก็กล่าวว่าความโกรธนั้นมีน้อยแล้ว ไม่คอยเห็น และท่านได้พูดตามภาษาคนตรงว่า แต่ถ้าลองคิดแกล้งให้มันโกรธใครสักคนหนึ่งเวลาสนทนากันอยู่ มันก็โกรธจริงๆ และก็โกรธจนปากสั่นห้ามมันไม่คอยอยู่ และท่านได้เล่าถึงผลสมาธิให้ฟังอีกว่า วันหนึ่งมีโยมเอารถมารับไปกิจนิมนตร์ข้ามจังหวัด นั่งรถได้สักพักใหญ่ ท่านมีอาการคล้ายกับหน้ามืด ท่านก็เลยรีบเข้าสมาธิทันที นิ่งไปนาน พอรู้สึกตัวก็เอามือไปลูบแขนอีกข้าง มีลักษณะคล้ายกับเกล็ดเล็กๆ ใสๆ ติดฝ่ามือมา เลยเล่าอาการให้โยมทราบ พอโยมทราบก็พาท่านเข้าโรงพยาบาล หมอทำการตรวจเลือด ก็ทราบว่ามีน้ำตาลในเลือดสูงมาก แล้วถามโยมว่าก่อนมาท่านมีอาการช็อกแล้วหรือยัง โยมตอบว่ายัง หมอบอกว่าถ้าน้ำตาลสูงขนานนี้ ผู้ป่วยต้องช็อกแล้ว ผลของสมาธิที่ท่านเล่ามาข้าพเจ้าเชื่อสนิท เพราะเหตุการณ์ทำนองนี้ได้เกิดขึ้นกับข้าพเจ้ามาก่อนแล้ว
           
ดังเรื่องของข้าพเจ้ามีดังนี้ เมื่อต้นปี 2527 ข้าพเจ้ายังทำกรรมฐานติดต่อมาเป็นเวลา 1 ปีกว่า และข้าพเจ้าได้ไปอาศัยอยู่กับบ้านของเพื่อนคนหนึ่งในกรุงเทพฯ อยู่กัน 2 คนข้าพเจ้าจะกำหนดกรรมฐานจนดึกดื่นเกือบทุกคืน มีอยู่วันหนึ่งเมื่อเพื่อนไปเรียนหนังสือส่วนข้าพเจ้าจบแล้วแต่ยังว่างงานอยู่ เพราะทำกรรมฐานจนดึก จึงไม่อยากตื่นเช้านอนซมอยู่อย่างนั้นเพราะมีอาการไข้ ร้อนก็ร้อนเพราะเป็นเดือนพฤษภาคม แถมในห้องไม่มีพัดลม ตัดสินใจลุกขึ้นทันที่ประมาณ 9.30 น ตรงไปยังตู้เย็นเพื่อจะดื่มน้ำ พอเปิดตู้เย็นก็มีไอเย็นกระทบหน้าทันที เอามือขวายกกระปุกน้ำแล้วเปิดฝา กระปุกเอามือซ้ายหยิบแก้ว แล้วกำลังรินน้ำจากกระปุกลงแก้ว เกิดมีอาการคล้ายหน้ามืด จึงตั้งสติพยายามหย่อนตัวลงนั่งบนเก้าอี้ พอนั่งถึงเก้าอี้ก็หมดความรู้สึก มารู้สึกอีกครั้งเหมือนกับเอาลวดมาพันรอบศีรษะเป็นตาข่าย แล้วขันให้แน่นเข้าเจ็บจนเกินที่จะประมาณได้ ซึ่งตอนนี้ไม่รู้สึกที่ร่างกาย แล้วจิตถามตนเองว่า ข้าเป็นใคร? ข้าชื่ออะไร? ข้าอยู่ที่ไหน? หลังจากนั้นก็มาถ่วงลงที่เท้า เป็นความรู้สึกไม่ใช่ที่ร่างกาย มีความเจ็บปวดมาก แล้วก็มารู้สึกที่ร่างกายเต็มตัว อยู่ในท่าเดิมที่กำลังรินน้ำอยู่ แต่มันสั่นไปหมด นี้เป็นผลดีของสติสมาธิที่ควบคุมร่างกายและสมองไม่ให้ผิดปกติ ข้าพเจ้าจึงมีความเชื่อ ว่าสติสมาธิสามารถควบคุมสิ่งที่เกิดเฉียบพลันกับสมอง และจิตใจได้ ไม่ให้ผิดปกติไปไนทางที่เป็นผลเสีย นี้เป็นเรื่องที่ข้าพเจ้าเล่ายืนยันที่หลวงพ่อท่านกล่าวไว้ และด้วยความที่ท่านเป็นพระตรงถ้าเป็นพระผู้ใหญ่ผู้อื่นคงจะไม่เล่าไห้ฟัง เพราะกลัวเสียหน้า คือท่านเพิ่งออกจากโรงพยาบาล เนื่องจากเกิดอุบัติเหตุ รถชน ทำให้ท่านปากแตก คือรองระหว่างริมฝีปากล้างกับคางไปกระแทรกกับหน้ารถ ทำให้หนังและเนื้อแตกและฉีกขาด และสาเหตุเช่นนี้ ท่านบอกว่า มีลูกศิษย์ คนหนึ่งชื้อรถใหม่ และมานิมนตร์ให้ท่านนั่ง  เพื่อเป็นสิริมงคล ขับไปแล้วเกิดอุบัติเหตุ นี้ละหนอท่านที่ไม่บิดบังผู้อื่นเพื่อยกย่อตนเอง หาได้ยากมากนัก สิ่งที่เล่ามานั้นเป็นคุณสมบัติของหลวงพ่อพุทธ์ที่ข้าพเจ้าสัมผัสมาในช่วงเวลา 3 ชั่วโมง
 

       พระเถระผู้เจนโลกไม่แสดงชื่อเสียงแต่ธรรมกินใจ
     
ประมาณปลายเดือน มิถุนายน 2537 ข้าพเจ้าได้มีโอกาสแนะนำระบบคอมพิวเตอร์ที่นครราชสีมาอีกครั้ง และระหว่างโรงแรมกับที่ทำงานข้าพเจ้าต้องเดินผ่านวัดสะลักทุกครั้ง ได้เห็นป้ายเชิญชวนให้ประชาชนมาทำบุญ จัดภัทรตาหารถวายพระ 200 รูป ซึ่งเป็นพระเจ้าคณะตำบล เจ้าคณะอำเภอ ทางภาคอีสานของฝ่ายเถรวาทมาประชมร่วมกัน ข้าพเจ้าก็กะว่าเมื่อปัญหาของงานน้อยลงเมื่อเลิกงานก็จะเข้าไปเพื่อสนทนาธรรมกับท่านเหล่านั้น เมื่อข้าพเจ้าเคลียร์ปัญหาต่างๆ หมดแล้ว พอเลิกงาน 17.00 ข้าพเจ้าก็ตรงไปวัดสะลัก เป็นช่วงที่พระเถระต่างๆ กำลังพักพอดี บางท่านเดินชื้อของ บางท่านขึ้นไปนั่งพักผ่อน บางท่านก็เอนกายลงนอน บางท่านรวมกลุ่มสนทนากัน ในที่พัก เมื่อข้าพเจ้าเข้าที่ตึกหลังนั้นก็เริ่มถามว่า "มีพระท่านใดที่ท่านเก่งกรรมฐาน" ก็มีพระบอกว่า "มีท่านมหา (แต่ข้าพเจ้าจำชื่อไม่ได้) ท่านนี้พอมีความรู้อยู่ เห็นท่านเดินอยู่เมื่อตะกี่ ลองขึ้นไปทีพักสิ! อาจจะอยู่" ข้าพเจ้าเดินขึ้นไปเรื่อย ถามไปเรื่อยจนถึงที่พัก ของพระเถระต่างๆ ข้าพเจ้าสอดสายตาหาดูเห็นพระแก่อยู่ 2 รูปกำลังสนทนากันอยู่ ส่วนพระกลุ่มอื่นอยูในอริยาบทต่างๆ กันที่ข้าพเจ้าจะเข้าไปสอบถามลำบาก ข้าพเจ้าเลยตรงไปหาพระแก่ๆ สองรูป ซึ่งรูปหนึ่งหูก็ไม่คอยได้ยินเวลาพูดก็พูดเสียงดัง ส่วนอีกรูปหนึ่งอายุอ่อนกว่า เป็นผู้ที่ฟังเสียมากกว่า ข้าพเจ้าจึงเข้าไปถามท่านถึงพระมหาองค์นั้น พระแก่ที่พูดเสียงดังบอกข้าพเจ้าว่า ลงไปข้างล่างเดียวก็ขึ้นมา แล้วถามว่าข้าพเจ้ามีธุระอะไร เป็นสำเนียงอีสานซึ่งข้าพเจ้าฟังรู้เรื่องบ้างไม่รู้บ้าง แต่จับใจความได้ ข้าพเจ้าจึงตอบไปว่า "ต้องการหาพระที่ท่านเก่งกรรมฐานเพื่อจะสนทนาธรรม" แล้วข้าพเจ้าหันไปมองท่านที่หนุ่มกว่าเพราะท่านสงบดี สายตาข้าพเจ้าจองตรงสายตาของท่านพอดี มันชั่งเฉยอะไรอย่างนั้นคล้ายกับแม่ชีที่ข้าพเจ้าเจอที่กระบี่ เหมือนกับไม่มีอะไรเหลืออยู่ในดวงตาของท่านเลย
       
ข้าพเจ้าจึงถามว่า "หลวงพ่อรู้เกี่ยวกับกรรมฐานหรือเปล่า" ท่านที่หนุ่มกว่าก็เฉยไม่พูดทำให้ข้าพเจ้าอยากจะสนทนาด้วย แต่ท่านไม่ปล่อยให้โอกาสเลย ส่วนพระแก่ๆ รูปนั้นก็พยามที่จะสนทนากับข้าพเจ้า ข้าพเจ้าก็ฟังแต่ไม่คอยจะเข้าใจเพราะเป็นภาษาทางภาคอีสาน พอสักครู่หนึ่งพระมหาที่ข้าพเจ้าถามหาก็ขึ้นมา พร้อมกับเครื่องคิดเลขที่เมื่อเวลากดแล้วจะมีเสียงบอกค่าต่างๆ ซึ่งเป็นของแปลกของท่าน และมาลองกดให้พระต่างๆ ดู และพระรูปอื่นบอกว่าข้าพเจ้าถามหาอยู่ ท่านจึงเข้ามาหาข้าพเจ้า ที่กำลังคุยกับพระเถระ รูปที่แก่แต่ยังจับใจความอะไรไม่ได้ เมื่อพระมหาเข้ามาแล้วถามว่าข้าพเจ้ามีธุระอะไร? ข้าพเจ้าบอกว่า "จะมาคุยการปฏิบัติกรรมฐานกับท่าน" ท่านมหาก็เริ่มสอนเลยว่า "การกรรมฐานต้องนั่งสมาธิภาวนารู้อยู่ ไม่สนใจอะไร?" ข้าพเจ้าเลยถามว่า "แล้วมันจะวางละได้อย่างไร?" ท่านมหาพูดต่อ "ก็ต้องนั่งกำหนดภาวนาวิปัสสนา ให้มันลืมความทุกข์ที่ผ่านมาคือให้มันลืมไปเลย" ข้าพเจ้าก็คิดว่ามันจะลืมได้อย่างไร ก็เลยถามไปอีกว่า "ในตอนนั่งนั้นมันลืม แต่พอตอนออกกรรมฐานไม่ลืมแล้วจะวางละได้ตรงไหน?" และตอนนี้ท่านมหาเริ่มนิ่งหน้าเริ่มแสดงความขุ่นเขืองเล็กน้อย สักพักหนึ่งทำท่าจะลุกขึ้น ฝ่ายพระเถระรูปที่มีอายุน้อยกว่า ก็กล่าวออกมาว่า "ออ! อัตตานั้นเอง" พระมหาก็ลุกขึ้นเดินออกไปแบบไม่สบอารมณ์เท่าไร ฝ่ายพระเถระรูปที่มีอายุน้อยกว่า ท่านก็ขยับตัวไปที่นอนของท่านแล้วเอนกายลงนอนไม่ใส่ใจอะไรเลย
             
ฝ่ายพระเถระรูปที่แก่กว่าท่านก็พยายามจะพูดกับข้าพเจ้าด้วยสำเนียงอีสาน บอกว่าพระเถระรูปที่ขยับไปนอนท่านเป็นพระที่เทศเก่งเป็นที่หนึ่ง และเป็นเจ้าคณะอำเภอ ทำให้ความรู้สึกข้าพเจ้าทึ่งทันที ที่ท่านไม่ยอมพูดอะไรเลยนอกจากประโยคเดียวที่กล่าวมา ข้าพเจ้าก็เลยคิดว่าน่าจะคุยกรรมฐานพระเถระแก่รูปนี้ เพื่อได้สิ่งที่ดีบ้าง ข้าพเจ้าเลยถามถึงอายุของท่าน ท่านบอกว่าอายุประมาณ 84ปี หูไม่คอยได้ยินให้พูดดังๆ ข้างหูก็จะได้ยิน ข้าพเจ้าเลยถามต่อว่า "หลวงพ่อเริ่มทำกรรมฐานตั้งแต่เมื่อไหล่?" ท่านบอกว่า "เริ่มทำกรรมฐานเมื่อปี พ.2485" ด้วยสำเนียงอีสาน ข้าพเจ้าฟังเป็น .2535 แล้วท่านก็พูดต่อ "ให้ลูกลองพิจารณา ขน ผม เล็บ ฟันหนัง และความตายดูเสียมันจะดี" ข้าพเจ้าถามต่อ "เริ่มแรกหลวงพ่อทำกรรมฐานแบบไหนก่อน" หลวงพ่อบอก"เริ่มแรกก็ดูลมหายใจเข้าออก แต่ทำผิดไปคือไปดูตามลม เวียนหัวไปหมด ที่หลังได้อ่านหนังสือธรรมะเป็นภาบาลีเจอ (ท่านก็พูดเป็นภาษาลีแต่ข้าพเจ้าจำไม่ได้) มีความหมายว่า เฝ้าดูไม่ใช้ตามดู (แล้วท่านก็ชี่ที่ปลายจมูก) ให้สติอยู่ตรงนี้ พอมันสงบนิ่งให้พิจารณาความตาย พิจารณาร่างกาย ทั้งผม ขน เล็บ ฟัน หนัง ตับ ไต ไส้ ปอด ของดี ของเสีย หลวงพ่อทำอย่างนี้ มันก็วางไปจริงนิ่งสงบสุขอยู่อย่างนั้นเป็นวันๆ เลย พระเมื่อสมัยก่อน ฉันข้าวเย็นเกือบทุกองค์ ดูหนังกลางแปลงที่เข้ามาฉาย แต่พอหลวงพ่อได้ถึงตอนนี้ ข้าวเย็นก็ไม่ฉันแล้ว หนังกลางแปลงก็ไม่ยากไปดูเอง"
       
พอถึงตอนนี้ข้าพเจ้าเลยย้อนถามอีกครั้งว่า "หลวงพ่อเริ่มทำกรรมฐานเมื่อไหร่?" ตอนนี้ท่านตอบอย่างชัดเจนว่า "หลวงพ่อเริ่มทำกรรมฐานเมื่อ ปี พ.2485" ข้าพเจ้าถึงบางอ้อทันที่ เลยถามต่อว่า "หลวงพ่อบวชเมื่ออายุกี่ปี" ท่านตอบว่า "บวชเมื่ออายุ (26 หรือ 29 ปีข้าพเจ้าจำไม่คอยได้) ก่อนมาบวชมีครอบครัวแล้ว" ข้าพเจ้าถามว่า "หลวงพ่อเคยทำกรรมฐานที่ไดบ้าง" ท่านตอบว่า "เมื่อปี พ.2502 ก็เคยไปทำกรรมฐานแนวยุบหนอ พองหนอ ที่วัดมหาธาตุเพราะเขาเกณฑ์ไป แต่ทำยุบหนอ พองหนอ ไม่คอยได้ มันติดที่ปลายจมูกมากกว่า เลยเฝ้าดูลมมาเรื่อย เมื่อไรจะให้มันสบาย ก็ดูจนลมนิ่งแล้วพิจารณาความตายก็สงบนิ่งไปเป็นเวลานานสบายดี บางทีนั่งดูลมอยู่เกิดสว่างโล่ง คนอื่นก็เห็น แล้วที่ไม่ใช่คนมาบอกที่ซ่อนของบ้างก็ไม่สนใจมีบางตนเอาของมาให้ไม่เคยรับเขาเลยว่างลูกแก้วให้อันหนึ่ง ใสสวยดีบางคืนก็เรืองแสง ยังเก็บอยู่ที่วัดยังไม่ให้ใคร" แล้วถามถึงงานที่ข้าพเจ้าทำ แผ่นดิสคอมพิวเตอร์ที่ข้าพเจ้าถือไปด้วย ข้าพเจ้าก็อธิบายให้ท่านฟัง แล้วข้าพเจ้าก็ขอตัวกลับ ท่านก็ย่ำว่าพิจารณาดูความตายนะ! เมื่อข้าพเจ้าถึงโรงแรม หลังจากทานอาหารอาบน้ำเสร็จก็เริ่มทำกรรมฐาน พิจารณา ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง ความตาย ความตายนี้ข้าพเจ้าพิจารณาได้ชัดเจนมาก สามารถมีมโนภาพได้ชัดเจน ก็เนื่องจากข้าพเจ้าเคยเห็นมาก่อนที่เป็นของจริง คือตอนที่พี่ชายคนทีสติไม่ดีตาย ข้าพเจ้าดูแลพี่ตั้งแต่พี่ป่วยพาไปหาหมอจนทานข้าวด้วยตนเองไม่ได้ และตอนกำลังตายหลังจากตาย ลักษณะร่างกายและสี่ผิวต่างๆ ที่เปลี่ยนแปลง ได้อารมณ์กรรมฐานที่เรียกว่าดีมากพิจารณาอยู่เป็นเวลานาน พอถึงจุดหนึ่งลงภวังค์   อารมณ์ทุกอย่างวางเฉยสงบนิ่ง ไม่มีความรู้สึกที่ร่างกาย แล้วจิตก็กล่าวมาเองว่า "ไม่สุข ไม่ทุกข์" อารมณ์นั้นคงอยู่สักพักก็มารับเต็มร่างกาย ที่เล่าได้อย่างนี้ไม่ใช่ว่าไปสังเกตทุกอย่างตอนที่กำลังเป็น มันเป็นไปแล้วสงบไปแล้ว จึงมาใช้สัญญาใหม่ย้อนดูสิ่งที่ผ่านมา เพราะเวลาทำกรรมฐาน ควรปล่อยใจให้เป็นกลางมีสติให้รู้ทันกับอารมณ์ที่กำลังพิจารณาแล้วปล่อยวางไปเรื่อยๆ ส่วนธรรมที่ข้าพเจ้าได้จากพระเถระที่ไม่สนใจอะไรเลย แต่ปัญญาคมคือ "การวางละต้องว่างให้จริง ไม่เหมือนลิงหลอกเจ้าเหมือนเป็นการตำหนิตัวข้าพเจ้าเอง  และมีอะไรเงื่อนงำอยู่ที่ข้าพเจ้าคาดคิดไม่ถึง  ที่จะบังเกิดเมื่อข้าพเจ้าพิสูจน์ตัวเองถึงที่สุด
     
หลังจากนั้นความสำคัญมั่นหมายว่าตนเองปรารถนาเป็นพระพุทธเจ้า ได้หายไปจากความนึกคิด เพราะปรารถนาหรือไม่ปรารถนาก็จะไม่ทำให้จิดใจข้าพเจ้าต้องทุกข์ร้อนและสับสน ปลายปีวันที่ 5 ธันวาคม พ.2537 ข้าพเจ้าก็ได้รับสัญชาติไทย หลังจากนั้นความมั่นคงในชีวิตในหน้าที่การงาน และความสมบูรณ์ของครอบครัว ย่อมเพิ่มขึ้นอย่างมาก เพราะพื้นฐานต่างๆ ไม่ว่าความรู้ความสามารถ ข้าพเจ้าสะสมไว้อย่างพร้อมแล้ว

                     ข้าพเจ้าเอาการฝึกสมาธิมาใช้ประโยนช์กับชีวิตประจำวันดังนี้
            
ถ้าข้าพเจ้าเกิดความเครียดจากการใช้สมองมากๆ ในการคิดเขียนโปรแกรมคอมพิวเตอร์ ในช่วงพักเทียงเวลาประมาณครึ่งชั่วโมงก็จะเข้าสมาธิให้ภาวนาอยู่ในอารมณ์เดียว แล้วทิ้งอารมณ์ไปเองเข้าสู่ความสงบแล้วคลื้มหลับในท่านั่ง เมื่อออกจากสมาธิความเครียดนั้นก็จะหายไปอย่างปลิดทิ้ง
           
หรือถ้าเกิดความฟุ้งซ่านในเรื่องต่างที่ยังแก้ปัญหาไม่ได้ หรือได้รับทุกข์รำคราญจากคนรอบข้าง ก็จะเข้าสมาธิพยายามภาวนาให้อารมณ์ภาวนาอยู่เหนืออารมณ์นั้นๆ จนเป็นอารมณ์เดียวแล้วเข้าสู่ความสงบอารมณ์ฟุ้งซ้านและอารมณ์ทุกข์ก็จะหายไปทันที่
           
เมื่อเกิดความปารถนาในกามกำลังปะทุอยู่ เมื่อต้องการให้สงบก็จะทำใจให้สงบและตั้งใจภาวนา เพื่อให้อารมณ์ของการภาวนาอยู่เหนืออารมณ์กาม แล้วอารมณ์กามที่กำลังปะทุอยู่ก็ขาดหายไปทันที่ทันใด  พร้อมกับออกมารับรู้อารมณ์ใหม่แล้วบังเกิดปีติเกิดขึ้นคลุกคร้าวกับการภาวนา
           
และเท่าที่ข้าพเจ้าสังเกตตัวเองมาเป็นเวลา 5 ปี กว่า (ปี 2537 ถึง ปี 2541) จิตใจเศร้าหมองโดยไม่ทราบสาเหตุ หรืออารมณ์ไม่ดีแบบไม่มีสาเหตุ หรือตื่นเช้าขึ้นมาอารมณ์ไม่ดีขึ้นมาเอง หรืออารมณ์หวั่นวิตกโดยไม่มีสาเหตุ นั้นไม่ได้บังเกิดขึ้นกับข้าพเจ้าเลย แต่อารมณ์ขุ่นเคืองในใจเล็กๆ น้อยๆ จากสิ่งรอบข้างข้าพเจ้าชอบปล่อยให้หายเอง เพราะข้าพเจ้าเป็นคนที่มีนิสัยขุ่นง่ายหายเร็ว อาจเป็นเพราะว่ามันไม่ทำให้ต้องทุกข์อย่างชัดเจนเลยกลายเป็นนิสัยที่ไม่ดี
           
มีเหตุการณ์อยู่ครั้งหนึ่งประมาณเดือนสิงหาคม2541 ในช่วงประมาณทุ่มหนึ่งข้าพเจ้าบังเกิดอารมณ์เศร้าและเบื่อหน่ายในจิตใจเองโดยไม่ทราบสาเหตุ  ติดต่อเป็นเวลาเกือบ 4 ชั่วโมง และช่วงที่อารมณ์นี้เป็นอยู่ข้าพเจ้าก็ถามตัวเองว่า เราเป็นอะไรอย่างนี้ และอารมณ์ที่เกิดขึ้นผิดปกติโดยไม่ทราบสาเหตุ นั้นได้หายไปจากใจเรามานานแล้ว (ข้าพเจ้ามองข้ามความรู้ที่นอกเหนือจากจิตสามัญสำนึก เพราะปัจจุบันข้าพเจ้าใช้เหตุผลทางวิทยาศาสตร์ ในการตัดสินปัญหาและพิสูจน์เป็นหลัก ดังนั้นสิ่งใดที่เกิดขึ้นมาเองโดยไม่มีเหตุผลทางวิทายาศาสตร์ หรือหาสาเหตุไม่ได้  ข้าพเจ้าก็จะปล่อยทิ้งไป จิตจึงสงบแล้วข้าพเจ้าหลับไป รุ่งวันใหม่ประมาณ ที 5 ข้าพเจ้าก็ได้รับโทรศัพท์จากพี่สาวที่อยู่ภาคใต้ว่า พ่อได้เสียชีวิตแล้วตั้งแต่เมื่อคืนที่โรงพยาบาลพัทลุง เรื่องราวตั้งแต่พ่อป่วยและเข้าโรงพยาบาลข้าพเจ้าไม่ทราบข่าวเลย เพราะพ่อได้สั่งห้ามไม่ให้โทรศัพท์ไปหาลูกที่อยู่กรุงเทพฯ จนกว่าพ่อตายไปแล้ว เพราะพ่อกลัวว่าลูกจะเสียเวลางาน และเสียค่าใช้จ่ายที่จะต้องมาคอยเฝ้าดูอาการเป็นเวลาหลายวัน นิสัยพ่อของข้าพเจ้าตระหนี่เป็นอย่างนี้มาตลอดไม่สามารถแก้ได้ และเชื่อมั่นในตนเองสูงจนสุดโด่งไม่เชื่อในเรื่องบุญเรื่องกรรม ดังนั้นกรรมดีที่เป็นกุศลจริงๆ มีน้อย แต่มีกรรมที่เป็นอกุศลเล็กๆ น้อยๆ มีมาตลอด

                                          จบตอนที่ 1   กลับไปหน้าแรก  100.html