6. อาจารย์ผู้แนะกรรมฐาน
         
พระอาจารย์ปลัดพนม(พระปลัดธีรวัต) ครั้งแรกที่ข้าพเจ้าเจอ  ความศรัทธาในตัวท่านมีน้อยอยู่ ความศรัทธาทั้งหมดมุ่งตรงไปที่ หลวงพ่อพระเทพสิทธิมุนี (พระธรรมธีรราชมุนี) ตามที่บุคคลทั้งหลายศรัทธาหรือเรียกว่าโลกกานุวัต(เชื่อตามโลก) ดั้งนั้นอาจารย์เสมือนไม่อยู่ในสายตาข้าพเจ้าในระยะ 3 ปีกว่าที่ทำกรรมฐานคณะ 5 วัดมหาธาตุท่าพระจันทร์ ทั้งที่ข้าพเจ้าได้เห็นได้ทราบสิ่งที่แปลกจากบุคคลทั่วไปอยู่บ้าง
       
ครั้งที่ 1. ตอนทำกรรมฐานครั้งที่ 2.2526 ซึ่งคุณกุ้งทำกรรมฐานติดต่อกันเป็นเวลาประมาณ 20 วัน คุณกุ้งเล่าให้ข้าพเจ้าฟังว่า มีอยู่วันหนึ่งขณะที่คุณกุ้งที่นั่งกำหนดกรรมฐานอยู่ ก็ได้ยินเสียงอาจารย์บอกว่า "ภาวนาด้วยไม่ใช่เพียงแต่รู้อย่างเดียว" คุณกุ้งจึงรู้ว่าอาจารย์นั่งอยู่ข้างหน้าและช่วงนั้นคุณกุ้งก็นั่งดูอารมณ์เฉยๆ ไม่ได้ภาวานา
      
ครั้งที่ 2. ตอนทำกรรมฐานครั้งที่ 2.2526 เมื่อข้าพเจ้าทำกรรมฐานล่วงไปแล้ว 8 วัน ข้าพเจ้าและคุณกุ้งมีลักษณะพิเศษอยู่อย่างหนึ่งคือ ดวงตาสามารถมองเห็นรัศมีจากบุคคลอื่น ข้าพเจ้าและคุณกุ้งเห็นรัศมีจากอาจารย์ที่พิเศษจากคนอื่นทั้งหมด เมื่อเทียบกับบุคคลที่พบปะในวัดมหาธาตุในช่วงระยะเวลานั้น คือรัศมีจากตัวท่านเป็นสีเหลืองอ่อนเข้มข้นระยิบระยับเครือบกับผิวหนังประมาณ 1/2 ถึง 1 นิ้วยิ่งเดินอยู่กลางแดดจะเห็นความระยิบระยับได้ชัดเจนมาก เห็นติดต่อกันเป็นเวลาหลายวัน ส่วนบุคคลอื่นข้าพเจ้าเห็นเพียงสีเหลืองอ่อนปกคลุมกระจ่ายอยู่จางๆ ตามกำลังสมาธิ ทั้งที่ช่วงนั้นความศรัทธาของข้าพเจ้าไม่ได้อยู่ที่อาจารย์เลยจะอยู่ที่หลวงพ่อจนหมด
     
ครั้งที่ 3. ตอนทำกรรมฐานครั้งที่ 2.2526 เมื่อข้าพเจ้าทำกรรมฐานล่วงไปแล้วประมาณ 10 กว่าวัน ข้าพเจ้าและคุณกุ้งได้โอกาสเข้าไปหาอาจารย์ในห้องเวลาเย็นวันหนึ่ง เมื่อก้าวผ่านประตูอาจารย์ถามว่า "พวกเธอมาทำกรรมฐานทำไม่ ?"  คุณกุ้งตอบว่า "มาทำกรรมฐานเพื่อสืบต่อศาสนา และจะช่วยเหลือหลวงพ่อและอาจารย์อีกแรง" ที่พูดอย่างนี้เพราะข้าพเจ้าและคุณกุ้งยังหลงกันอยู่ และสนทนาได้สักพักหนึ่ง ข้าพเจ้าและคุณกุ้งกล่าวกับอาจารย์ว่าปัจจุบันเห็นรัศมีจากอาจาราย์ชัดเจนมากอาจารย์พูดว่า "จริงหรือ!" แล้วอาจารย์นิ่งเงียบรัศมีจากอาจารย์หายไปทันที แล้วปรากฏขึ้นมาใหม่ คุณกุ้งและข้าพเจ้าเห็นพร้อมๆ กัน แต่ไม่ได้พูดเรื่องนี้กับอาจารย์จึงไม่ทราบสาเหตุที่รัศมีหายไป
     
ครั้งที่ 4. ตอนที่ทำกรรมฐานครั้งที่ 3 กลางปี 2526 หลังจากที่ข้าพเจ้าสึกจากพระและรู้ว่าตนเองยังหลงอยู่ จึงเริ่มทำกรรมฐานอย่างดีอารมณ์กรรมฐานก้าวหน้าดี อุปนิสัยข้าพเจ้าตั้งแต่เด็กที่ผ่านมาเป็นคนที่พูดน้อย และเงียบ ดังนั้นพอมันเฉยจึงเฉยไปหมดไม่ว่าจะนั่งยืนเดินนอนอารมณ์ก็จะเฉยนิ่งไปหมด เป็นเวลาหลายวัน จนอาจารย์ถามกับข้าพเจ้าว่า "เซียม! มีอะไร? บอกกับอาจารย์ด้วยนะ" แต่ข้าพเจ้าก็เฉย มีอยู่วันหนึ่งขณะที่ข้าพเจ้ากำลังเดินจงกลมอยู่ อาจารย์ก็เข้ามาสะกิดด้านหลังข้าพเจ้าและพูดว่า "เซียมไปเป็นเพื่อนกับอาจารย์หน่อยอาจารย์จะไปธุระ" ข้าพเจ้าจึงไปกับอาจารย์ ซึ่งข้าพเจ้าทราบด้วยตัวเองภายหลังว่าการที่อาจารย์ทำอย่างนี้ เพราะไม่ต้องการให้ข้าพเจ้าตกอยู่ในอารมณ์เฉยนานเกินไป
     
ครั้งที่ 5.เมื่อข้าพเจ้าทำกรรมฐานที่คณะ 5 ปีที่ 5 ประมาณ พ.2530 เริ่มสนิทสนมกับอาจารย์มากขึ้นและเห็นสภาพความเป็นจริงมากขึ้น ระยะเวลา 3 ปีที่ผ่านมา ข้าพเจ้าไม่เคยสนิทสนมกับอาจารย์เลย ทำกรรมฐานอย่างเดียวศรัทธาแต่หลวงพ่อ เพิ่งคิดได้ในปีที่ 4-5 ว่าผู้ที่คอยสอนกรรมฐานและประคองอารมณ์กรรมฐานข้าพเจ้าจริงๆ คืออาจารย์หาใช่หลวงพ่อไม่เพราะท่านมีภารกิจมาก พอสนิทสนมกับอาจารย์ได้เกินครึ่งปี  ก็ทราบว่าก่อนที่อาจารย์จะมาทำวิปัสสนากรรมฐานอาจารย์เคยฝึกคาถา ฝึกกะสินมาก่อน และมาฝึกแนวกรรมฐานสัมมาอรหัง ตามแนววัดปากน้ำมาก่อน มีอยู่ครั้งหนึ่งมีลูกศิษย์คนหนึ่งทำวิปัสสนากรรมฐานแล้วเกิดนิมิตเห็นรูปอย่างหนึ่งจึงวาดรูปที่เห็นให้อาจารย์ดู แล้วอาจารย์เอาภาพนั้นมาให้ข้าพเจ้าและเพือนดูแล้วถามว่าภาพนี้เป็นภาพของอะไร สรุปพวกข้าพเจ้าบอกว่าภาพนี้เป็นภาพของวิญญาณ หลังจากนั้นอาจารย์สอนให้ดูเหตุการณ์ต่างๆ ด้วยนิมิต โดยภาวนาว่า "ทิพจักขุ อุปาทานะยัง" จนมีนิมิตเกิดขึ้นและมีญาณรู้บอกให้ทราบด้วยว่าคืออะไร และอาจารย์ให้ข้อสังเกตว่าต้องฉลาดในนิมิตเสียก่อนจึงจะแม้นยำขึ้น  และในบรรดาเพื่อนๆ     คุณกุ้งสามารถทำได้ดีที่สุดและพัฒนาขึ้นจนเป็นกะสิน ในช่วงหลังข้าพเจ้าและเพื่อนเข้าไปขอเรียนคาถาจากท่าน  และอาจารย์ได้บอกว่าอาจารย์ไม่ได้ใช้คาถามาเป็นเวลา 10 กว่าปีแล้วอาจจะจำได้บ้างไม่ได้บ้าง แต่เมื่อพวกข้าพเจ้าขอเรียนอาจารย์ก็จะสอนให้ อีกอย่างหนึ่งทำวิปัสสนากรรมฐานมานแล้วมันแห้งแล้ง และก็คงไม่ไปใช้ในทางที่ไม่ดีสามารถรักษาตนเองได้  แล้วอาจารย์เล่าถึงผลคาถาที่อาจารย์ประสบมา มีอยู่ครั้งหนึ่งอาจารย์กำลังธุดงค์ขณะที่ยังเป็นพระหนุ่มอยูเดินตัดลัดทุงนาบังเอิญมีโคตัวหนึ่งเห็นเข้า มันก็วิ่งเข้าใส่อาจารย์ทันที อาจเป็นเพราะว่ามันเห็นจีวรพระเป็นสีแดง พออาจารย์เห็นเข้าก็ตกใจแต่ก็ตั้งสติไว้ได้ ท่องคาถาที่นึกได้ "นะมะพะทะ จะพะกะสะ" ฝ่ายวัวพอวิ่งมาใก้ลตัวอาจารย์เกิดเบรคตัวเองแล้ววิ่งเฉออกจากตัวอาจารย์ไป ถาคาแรกที่พวกข้าพเจ้าขอ คือคาถากำบังอาจารย์ก็สอนให้แล้วให้กลับไปท่อง ปัจจุบันนี้ข้าพเจ้าจำคาถาบทนี้ไม่ได้แล้วเพราะไม่เคยใช้ หลังจากท่องได้ 1 อาทิตย์ อาจารย์ได้ทดลองให้พวกข้าพเจ้าดู โดยเอาไม้ขีดไฟเปิดกล่องออกครึ่งกล่องให้เห็นไม้ขีดแล้วเอามือลูบกล่องไม้ขีดพร้อมกับท่องคาถา สักพักหนึ่งก็ยกกล่องไม่ขีดไฟให้พวกข้าพเจ้าดู ไม้ขีดภายในกล่องไม่มีเหลือให้เห็นเลย หลังจากนั้นก็เอามือลูบไม้ขีดอีกครั้งหนึ่ง แล้วชูให้ดูก้านไม้ขีดกลับมาเหมือนเดิม ส่วนพวกข้าพเจ้า 3 คนทำไม่ได้  ข้าพเจ้าจึงถามอาจารย์ว่าตอนที่อาจารย์ท่องคาถาทำให้ก้านไม้ขีดไฟหายไปถ้าเอากล่องถ่ายรูปถ่าย เมื่อล้างออกมาจะเห็นไม้ขีดไฟในกล่องไหม ? อาจารย์ตอบว่าอาจจะเห็น เพราะเป็นคาถาที่ใช้บังตาเท่านั้นคงไม่บังกล้องถ่ายรูป อาจารย์จึงบอกเคล็ดว่าคาถาจะมีผลเมื่อท่องคาถาจนถึงอุปจาระฌาน และช่วงที่ท่องคาถาต้องกลั่นลมหายใจ แต่พวกข้าพเจ้าทำไม่สำเร็จ และอาจารย์บอกว่ามันไม่ได้ง่ายนะ กว่าอาจารย์ทำอย่างนี้ได้ต้องใช้เวลาพยายามตั้ง 3 เดือน แต่พอได้สักอย่าง อย่างอื่นก็ง่ายขึ้น และผู้เรียนคาถาถ้าจะให้ขลังต้องขึ้นครูไหว้ครูก่อน วันต่อมาอาจารย์ขึ้นครูให้ (ตั้งแต่พวกข้าพเจ้าทำกรรมฐานมาตั้งแต่ต้น อาจารย์ไม่เคยเรียกร้องเงินจากพวกข้าพเจ้าและบอกกับพวกข้าพเจ้าว่า พวกเธอไม่ต้องเอาเงินมาให้อาจารย์เพราะพวกเธอหาเงินยังไม่ได้)หลังจากนั้นท่านให้คาถาเพื่อปลุกธาตุตัวเองและเรียกอาคมเข้าตนเอง คาถาพุทธคุณ เป็นเสียส่วนมาก
       
ครั้งที่ 6. เมื่อประมานกลางปีที่ 5 ที่ข้าพเจ้าทำกรรมฐาน ข้าพเจ้าได้ข้อร้องให้อาจารย์ดูอดีต ข้าพเจ้า  แต่อาจารย์ไม่ยอมดูให้เพราะท่านบอกว่าอย่าดูเลยไม่แน่นอน สาเหตุที่ให้ดูและเรื่องที่ให้ดูข้าพเจ้าจะไม่ขอกล่าว ข้าพเจ้าขอร้องอยู่ 5-6 เดือนอาจารย์จึงยอมดูให้ อาจารย์ให้ข้าพเจ้านั่งสมาธิไม่ต้องภาวนาอะไร ข้าพเจ้าก็นั่งแต่คิดว่าไม่น่าเกี่ยวกับข้าพเจ้า และทุกครั้งที่นั่งสมาธิต้องภาวนาทุกครั้งเป็นนิสัย ก็เลยคิดสัพเพเหระไปเรื่อย เพราะความไม่รู้ สักพักหนึ่งอาจารย์ก็เรียกข้าพเจ้าว่า "เซียม! ทำใจให้สงบหน่อยอาจารย์ดูไม่เห็นมันมัว เพราะอาจารย์ต้องดูผ่านเธอ" ทำให้ข้าพเจ้าแปลกใจว่าท่านรู้ใจข้าพเจ้าจริงๆ   ข้าพเจ้าจึงทำใจให้สงบ     เพียงแต่รู้เฉยๆ หยุดความคิดตนเอง อาจารย์ดูได้สักพักใหญ่ๆ เมื่อออกมาอาจารย์ดูอดีตของข้าพเจ้า จนถึงสมัยของพระพุทธเจ้าองค์ก่อนปัจจุบัน คือสมัยพระกัสสปะพุทธเจ้าสิ่งที่เป็นเครื่องวัดว่าอาจารย์ดูได้จริง  คือตอนช่วงแรกที่ข้าพเจ้าคิดสัพเพเหระอาจารย์สามารถทราบได้

     สรุป คุณธรรมของพระอาจารย์ที่ข้าพเจ้าสัมผัสมา 6 ปี ตั้งแต่          .2526 - 2531
         1. ไม่เคยเห็นท่านแสดงความโกรธใครเลย
         2. ท่านไม่เคยตวาดใคร
         3. ท่านไม่คอยรับแขกปิดประตูอยู่ท่านเดียวเมื่อหลวงพ่อมี ชีวิตอยู่
         4. ท่านมีศิษย์ที่สนิทไม่กี่คนรวมทั้งกลุ่มพวกข้าพเจ้า
         5. ท่านไม่เก็บสะสมเงิน เงินที่ได้มาทำประโยชน์อย่างอื่นหมด แม้บางครั้งเงินค่ารถที่จะไปหามารดา ของท่านก็ยังไม่มี ต้องขอจากหลวงพ่อช่วงที่หลวงพ่อมีชีวิตอยู่เพราะท่านไม่คอยรับแขก แต่หลังจากหลวงพ่อมะรณภาพไปแล้วฐานะของท่านอาจเปลี่ยนไป
         6. ท่านมีความอดทนมากเนื่องจากประมาณปี พ.2528 ท่านล้มลงจนกระดูกสันหลังระหว่างเอวเคลื่อน ขาเริ่มลีบไม่ย่อมฝ่าตัด (ขาลีบนี้อาจารย์เปิดให้ข้าพเจ้าดู) ท่านใช้กายภาพบำบัดด้วยตนเองจนเดินได้เหมือนคนปกติโดยที่คนทั่วไปมองไม่ออก ทั้งที่มีความเจ็บปวดมากจึงเป็นบ่อเกิดให้เกิดโรคภายหลัง คือสายตาสั้นลงอย่างมากผิดปกติ แม้ใช้แว่นตาก็ยังมองตัวหนังสือปกติไม่เห็น เป็นโรคเบาหวานแล้วโรคหัวใจตามมาเนื่องด้วยงานที่มากขึ้น  เพราะหลวงพ่อมรณะภาพ   ประกอบกับร่างกายที่เสื่อมโทรมทำให้ท่านต้อง มรณะภาพด้วย โรคหัวใจ หลังจากหลวงพ่อมรณะภาพประมาณ 2 ปีกว่า

        อันขันธ์ 5 นั้นประกอบด้วย        หนึ่ง(1)รูป ช่วยให้รู้เห็น
สอง(2)เวทนา คือสุข ทุกข์ที่เป็น         สาม(3)ดังเช่นจำได้ คือสัญญา
สี่(4) สังขาร เป็นฐานของตั้งหมด       ห้า(5)หมดจดรู้อย่างเดียว คือวิญญาณ
ทั้งห้าอย่างเป็นธรรมชาติสาน            ตั้งอยู่มินานก็ดับตามวิสัย
เมื่อชีวิตยังดำเนินไป                          ถึงอย่างไรก็เป็นไปตามนัย
จะทิ้งขว้างหรือยึดได้อย่างไร            จะทุกข์ใจเสียเปล่าไม่สิ้นสุด
เมื่อเป็นดังนี้ควรฝึกตน                     ปัญญาค้นมีสติวางสมมุติ
ละตัวยึด อยากให้สิ้นสุด                    เป็นวิมุติสงบนิ่งด้วยธรรมเอย.

   สิ่งใดมีย่อมแสดงฉันใด                       สิ่งใดมิมีย่อมไม่ปรากฏฉันนั้น
ในใจเราย่อมเห็นเช่นกัน                       ว่ากิเลสนั้นมีหรือไม่ในจิตตน
สิ่งใดเกิดแล้วสลายแล้วเกิด                   ซึ่งบังเกิดวนเวียนให้สับสน
เมื่อยึดมั่นเกิดทุกข์และร้อนรน              ยังระคนด้วยหลงไม่สิ้นสุด
สิ่งนั้นหาใช้สัจจะธรรมอันจริงไม่          จงปล่อยไปอย่ายึดติดในจิตตน
ฝึกศีล สมาธิ ปัญญาอย่าสับสน              พิจารณาจนปัญญาแจ้งในนิพพาน.

    อันสติประฐาน 4 นั้น                พิจารณากันไม่ขาดตอน
ไม่ยึดติดสิ่งใดเป็นคติสอน            จะตัดทอนกิเลสลงตามเวลา
ไม่ยึดสิ่งใด คือปล่อยใจว่าง           กำหนดสร้างสติรู้ทุกเวลา
ปล่อยวางสิ่งที่เกิดด้วยปัญญา       พิจารณาเข้าใจตามไตรลักษณ์เอย.

     อ่านหน้าต่อไป  107.html                 กลับไปหน้าแรก   100.html