3. ต้องศึกษาทางโลกคู่กับทางธรรม เพื่อรักษาจิตใจ
           
ด้วยพื้นฐานที่ข้าพเจ้าสนใจในพระพุทธศานาและฝึกสมาธิด้วยตนเองทั้งแต่เด็กจึงรู้สภาวะจิตของตนเอง ว่าถ้าทนต่อสู่ต่อไป จะกลายเป็นคนเศร้าโศกและกึ่งดีกึ่งบ้าไร้ความสามารถได้ ด้วยความวิตกอย่างนี้ ทำให้ข้าพเจ้า บังเกิดความคิดขึ้นมาว่า "ธรรมของพระพุทธเจ้านั้นละ ที่จะทำให้จิตใจตั้งมั่น และทนอยู่ในสภาวะของความทุกข์ ความกดดันได้โดยไม่บ้าเสียก่อน" ข้าพเจ้าจึงแบ่งเวลาเรียนในหนึ่งเทอม ชึ่งมีเวลาประมาน 5 เดือน ออกเป็น สองส่วน  สองเดือนครึ่งแรกข้าพเจ้าจะอ่านหนังสือธรรมในห้องสมุดของมหาวิยาลัยอย่างเดียวไม่อ่านหนังสือเรียน  แต่เข้าเรียนทุกคาบเรียน การที่ข้าพเจ้าทำอย่างนี้ได้เพราะ  ทุกครั้งที่ข้าพเจ้าอ่านหนังสือธรรมในพระไตรปิฏก ไม่ว่าจะเป็นพระสูตร หรือพระวินัย หรือข้ออธิบายที่พระเถระเขียนขยายพระไตรปิฏก ข้าพเจ้าจะมีปีติเล็กๆ หรือสุขน้อยๆ อยู่เสมอ จึงทำให้ข้าพเจ้าอ่านได้โดยไม่เบื่อ จิตใจข้าพเจ้ามั่นคงคลายความทุกข์ความกดดันไปได้บ้างหลังจากนั้นสองเดือนครึ่งหลังข้าพเจ้าจะสนใจหนังสือเรียนไม่อ่านหนังสือธรรม เพราะการทำอย่างนี้ในการสอบ แต่ละครั้งข้าพเจ้าจึงไม่ได้หวังว่าต้องได้เกรดที่ดี (G) ขอเพียงผ่าน (P) ก็พอ เพื่อให้จบในเวลา 3 ปีตามที่ตั้งแผนไว้ [เสียงเล่าเรื่องตอนนี้]
          
ตามที่บรรยายมานั้นเป็นความทุกข์ความกดดันที่เปรียบเสมือนสีเทาที่ระบายอยู่ตลอดเวลาแล้วบังเกิด เป็นสีขาว หรือแสงสว่างมาบ้างเมื่อได้ศึกษาธรรมในห้องสมุดมหาวิทยาลัย แต่ยังมีความทุกข์ที่ทำให้ความทุกข์ ที่เป็นสีเทาอยู่แล้วกลายเเป็นสีดำ คือความทุกข์ความกดดันที่ทำให้จิตใจหรือร่างกายรับอย่างเต็มกำลังในช่วงเวลานั้นๆ  มีอยู่ 4.ประการด้วยกันคือ
   
ข้อ 1. เมื่อข้าพเจ้าขึ้นเรียนชั้นปีที่เมื่อถึงเวลาใกล้สอบ  ซึ่งทางมหาวิทยาลัยจะต้องติดรายชื่อของนักศึกษาที่มีสิทธิ์ สอบของแต่ละวิชา ข้าพเจ้าจะต้องมีอาการกลัวประหม่าใจสั่นผวาจนเหงื่อออกบนฝ่ามือในขณะที่หาชื่อ ของตนเองอยู่   แล้วหลังสอบเสร็จเมื่อประกาศผลสอบ  ซึ่งนักศึกษาจะต้องตรวจผลสอบของตนเองบนบอร์ด ที่มหาวิทยาลัยติดไว้ อาการก็เกิดเช่นเดียวกันไม่ใช่ว่าข้าพเจ้ากลัวจะสอบไม่ได้แต่กลัวจะไม่มีรายชื่อและ ไม่มีสิทธิ์เป็นนักศึกษาแต่ที่มีอาการผวาอย่างรุนแรงที่สุดก็คือ ตอนลงทะเบียนเรียนต่อในแต่ละภาคเรียนข้าพเจ้าต้องต่อสู่กับความกลัวว่าทางมหาวิทยาลัยจะไม่อนุญาติให้เรียนต่ออย่างสุดกำลัง
   
ข้อ 2. อาการป่วยของข้าพเจ้าคือมีอาการปวดข้อมือ หรือข้อเขา และเส้นที่บริเวณคอสองเส้น ข้อมือและข้อเขา  เวลาปวดจะปวดติดต่ออย่างแสนสาหัสไม่มีเวลาพักจนข้อมือบวมแดง ติดต่อกันเป็นเวลา 3 ถึง 7 วัน จึงจะยุบและ หายไป การปวดเส้นคอเหมือนเส้นถูกยึดจากศีรษะทั้งช้ายและขวาจนถึงร่องไหปลาล้าจะเอี่ยวคอหันขวาหันซ้าย ไม่ได้จะเจ็บทรมานมาก และเวลานอนจะเจ็บทรมานจนน้ำตาไหลบางครั้งปวดข้อมือพร้อมกับเส้นที่คอแล้วเส้น จะยึด จากข้อมือถึงบ่าเมื่อยกแขนจะปวดทรมานมาก จนถอดเสื้อและใส่เสื้อลำบากมากจนบางครั้งต้องขอร้อง ให้เพื่อนช่วยถอดให้ อาการป่วยทั้งหมดที่เป็นไม่กล้าหาหมออย่างจริงจังเพราะกลัวดังที่บรรยายมา
   
ข้อ 3. เมื่อปิดเทอมต้องเดินทางกลับบ้านต้องโดนพ่อด่าและไล่ออกจากบ้านเป็นประจำ  และที่ร้ายคือเอาหนังสือ ที่ข้าพเจ้าเรียนโยนใส่ข้าพเจ้าเมื่อไล่ข้าพเจ้าออกนอกบ้าน  และที่ร้ายไปกว่านั้นแม่พูดและบอกให้ข้าพเจ้าทราบว่า ทุกเช้ามืดพ่อตื่นประมาณที 5 ปลุกแม่ทุกเช้า แล้วด่าเรื่องที่แม่สนับสนุนให้ข้าพเจ้าเรียน จนแม่เกือบทนไม่ได้ แต่ก็ต้องทนเพื่อไม่ให้ลูกเสียสติหรือบ้าไปก่อน
   
ข้อ 4. เมื่อข้าพเจ้าจะกลับขึ้นมากรุงเทพฯเพื่อขึ้นมาเรียนทั้งที่ไม่มีใบอนุญาติจากกระทรวง  ระหว่างที่รออยู่ที่สะถานีรถไฟ  ข้าพเจ้าผวากลัวเป็นที่สุด คือกลัวเจ้าหน้าที่ควบคุมจะมาจับไม่ให้เดินทางหรือขึ้นบนขบวนรถไฟ แล้วโดนเจ้าหน้าที่สันติบาลหรือตำรวจรถไฟจับส่งกลับเขตควบคุม
       
ตามที่กล่าวมาเป็นความทุกข์สีดำ ที่มาแต้มให้มืดขึ้นไปอีก แล้วข้าพเจ้าจะทำอย่างไรที่จะดำรงไห้สติสัมปัญญะ สมบูรณ์ เมื่อเหตุการณ์นั้นย่ำข้าพเจ้าอยู่เป็นประจำๆ เป็นเวลาปีๆ   ข้าพเจ้าจึงใช้การภาวนา พุทธ - โธ ตามลมหายใจเข้าออก ทุกเวลาที่ระลึกได้ และขณะที่ช่วงความทุกข์สีดำกำลังดำเนินอยู่ด้วยความอดทนอย่าง มีขันติ  แล้วด้วยการที่ข้าพเจ้าอ่านหนังสือธรรม จึงได้อ่านเรื่องการสร้างบารมีของพระพุทธเจ้าและพระอรหันต่าง ๆ จึงมาเปรียบเทียบกับตัวเองว่าในขณะนี้ตั้งแต่เกิดมาจนถึงปัจจุบันข้าพเจ้าได้รับความทุกข์เพราะความกดดัน ทางจิตใจมากจนทนเกือบไม่ไหว ข้าพเจ้าจึงอธิฐานหลังจากไหว้พระสวดมนตร์ก่อนนอนทุกคืนว่า"ข้าพเจ้าไม่ทราบว่าข้าพเจ้าสร้างบารมีอะไรมาถ้าข้าพเจ้าสร้างมาน้อยกว่า 2 ใน 3 ข้าพเจ้าขอยุติการสร้างบารมีแค่นี้ แต่ถ้าสร้างมามากกว่า 2 ใน 3 ข้าพเจ้าก็จะสร้างต่อ และขอให้ได้พบกับพระอนาคามี หรือพระอรหันที่มีอภิญญาช่วยบอกให้ข้าพเจ้าทราบด้วย" ตั้งแต่ต้นปีของชั้นปีที่ 2 จนเรียนจบมหาวิทยาลัย และในชั้นปีที่ 3 ข้าพเจ้าพยายาม ถือศีล 8 ทั้งปี [เสียงเล่าเรื่องตอนนี้] การที่ข้าพเจ้าชอบอ่านหนังสือธรรมและถือศีล 8 ทำให้เพื่อนๆ ทีเรียนคณะวิทยาศาสตร์ ในกลุ่มเดียว กันเรียกข้าพเจ้าว่า "มหา" นำหน้าชื่อ ในบรรดาเพื่อน ๆ มีเพื่อนอยู่คนหนึ่งเมื่อข้าพเจ้าคุยเรื่องธรรม เพื่อนคนนี้รับ ฟังและสนใจจึงกลายเป็นเพื่อนที่สนิทกัน แต่เรียนต่างคณะกัน
           
ในขณะที่เรียนชั้นปีที 3 เทอมที่ 2 ก่อนที่จะสอบปลายเทอม ข้าพเจ้าได้ฝันจะเรียกว่านิมิตตามตำราก็ว่าได้ เพราะเหมือนกับว่าเราตื่นอยู่ในขณะที่เหตุการณ์นั้นบังเกิดขึ้นในฝัน(นิมิต)มีอยู่ว่าข้าพเจ้ายืนอยู่มองเห็นดวงอาทิตย์ แล้วดวงอาทิตย์ได้เคลื่อนที่มาใกล้ใบหน้าของข้าพเจ้ามากขึ้นๆ จนข้าพเจ้าแสบตาเป็นอย่างมาก ลืมตาโพรงตื่น ขึ้นมา เหมือนกับว่าเหตุการณ์นั้นเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจริงแต่ข้าพเจ้าไม่สนใจ สนใจแต่การเรียนเพราะใกล้ จะเรียนจบ ตามแผนที่วางไว้ พอสอบเสร็จปลายปีของชั้นปีที่ 3 เพื่อนสนิทคนที่กล่าวมา ได้มาชวนข้าพเจ้าไปทำกรรมฐานที่คณะ 5 วัดมหาธาตุท่าพระจันทร์  เพราะได้ทราบจากเพื่อนอีกคนหนึ่งที่พักอยู่หอเดียวกันได้ไป ปฏิบัติมาแล้ว และเพื่อนสนิทคนนี้ให้เหตุผลเพิ่มเติมกับข้าพเจ้าว่า ไปอยู่ฟรีกินฟรีทำกรรมฐานอย่างเดียว ข้าพเจ้า จึงตอบตกลงเพราะช่วงนั้นข้าพเจ้าจนมาก
           
ความจริงแล้วตอนที่เรียนอยู่ ทางสำนักสันติอโศกได้เข้ามาบรรยายธรรมในมหาวิทยาลัยบ่อยๆ โดยให้ นักศึกษา สามารถถามปัญหาได้ตัวต่อตัว ข้าพเจ้าเคยได้สนทนากับท่านโพธิรักษณ์ แต่จับหลักการปฏิบัติไม่ได้ เพราะจะมุ่งเฉพาะการไม่ทานเนื้อสัตว์  จึงไม่ศรัทธาเพื่อเข้าไปปฏิบัติ  แล้วข้าพเจ้าก็เคยไปที่ชมรมพุทธใน มหาวิทยาลัยหลายครั้ง แต่กลายเป็นชมรมของทางวัดธรรมกาย เพื่อนนักศึกษาในชมรมธรรมกายพูดจาไพเราะ และกริยามารญาติดีเอามากๆ จนทำให้คนที่มาจากชนบทอย่างข้าพเจ้าทึ่งแต่ถ้าถามใจตัวเองในขณะนั้นว่า ทำอย่างนั้นได้หรือไม่  ได้คำตอบของตนเองว่าแส้รงทำอย่างนั้นไม่ได้ แต่ถ้าคบกับพวกเขาเข้าชมรมบ่อยๆ ก็จะเป็นไปเองเหมือนพวกเขา จึงยอมไปวัดธรรมกายที่จังหวัดปทุมธานีในวันอาทิตย์ เมื่อปี พ.2524 แต่ก็ไป กำหนด  พุทธ - โธ เพราะสถานที่ร่มรื่นดีมากครั้งที่ 2 ไปอีกจึงได้รู้ว่า สามารถสนทนาธรรมกับท่านพระเผด็จได้ ข้าพเจ้าจึงเข้าไปสนทนาโดยถามว่า "การกำหนดให้เห็นดวงแก้วนั้นไม่เหมือนกับไตรลักษณ์ คือ ทุกขัง อนิจจัง อนัตตา" ท่านพระเผด็จจึงตอบว่า "ให้เธอไปถามท่านธัมมะชโย " ข้าพเจ้าจึงเดินไปถามท่านธัมมะชโยว่า "ตามที่ผมอ่านหนังสือพระไตรปิฏกมา การกำหนดให้เห็นดวงแก้วนั้นไม่น่าตรงกับหลักไตรลักษณ์ อันได้แก่ ทุกขัง อนิจจัง อนัตตา" ด้วยความสัตย์จริง ข้าพเจ้าถามด้วยความไม่เข้าใจ และไม่รู้จริงๆ ตามที่ข้าพเจ้าศึกษามาด้วยตนเอง  ไม่ใช่เพื่อลองภูมิหรือมีอคติเลยแม้แต่นิดเดียว แล้วข้าพเจ้าได้คำตอบจากท่านพระธัมมะชโยว่า "คุณนี้เรียนมากรู้มาก คุณเหมือนปลาอาตมาเหมือนเต่าปลาว่ายน้ำมาถามเต่าว่าบนยอดเขานั้นมีอะไร? เด่าถึงแม้นจะลงน้ำและขึ้นบกได้ แต่จะให้รู้ว่าบนยอดเขามีอะไรต้องขึ้นยอดเขาก่อน เพราะเต่าก็ไม่เคยขึ้น" ข้าพเจ้าจึงสรูปจากคำตอบของท่านได้ทันที่ว่า ทั้งข้าพเจ้าและท่านธัมมะชโย ยังแสวงหาธรรมกันอยู่ แต่ท่านธัมมะชโย ท่านอยู่ในรูปแบบตามคติ ของท่านเสียแล้ว หลังจากนั้นมาข้าพเจ้าไม่ไปวัดธรรมกายอีกเมือวันที่สอบเสร็จปลายปีของชั้นปีที่ 3 ข้าพเจ้ากับ เพื่อน สนิทออกเดินทางจากหอพักหน้ารามคำแหงเวลาประมาณ 6 โมงเย็น ไปถึงคณะ 5 วัดมหาธาตุท่าพระจันทร์ เกือบ 2 ทุ่ม

 

   พระคุณแม่มากมายยิ่งกว่าแผ่นฟ้า     ทั้งเมตตากรุณาไม่เสื่อมคลาย
เป็นมิ่งขวัญหลักชัยให้ลูกทั้งหลาย      แม้ความตายก็ไม่หวั่นเพื่อลูกได้
ในโลกนี้มีแต่แม่เป็นผู้รักษา                ให้ลูกกล้าแข็งต่อสู้ในโลกได้
อย่าทอดทิ้งควรดูแลคุณแม่ไว้              ควรกราบไหว้ให้เป็นศรีแก่ตนเอย.

    อ่านหน้าต่อไป  104.html                 กลับไปหน้าแรก   100.html