1. อิทธิพลของพระพุทธศาสนาในวัยเด็ก
ข้าพเจ้าเกิดในชนบทในตำบลลำปำ
จังหวัดพัทลุง ทางใต้ของประเทศไทย พ.ศ 2502
สถานะการเกิดของข้าพเจ้าถือว่าต่ำมากในบรรดาบุคคลที่เกิดในเมืองไทย
เพราะเป็นลูกชาวญวนอพยพ
ที่เข้าเมืองโดยผิดกฎหมาย
และครอบครัวข้าพเจ้าเป็นครอบครัวชาวญวนครอบครัวเดียวในตำบลนี้
จะว่าพ่อแม่ของข้าพเจ้าเป็นคนสัญชาติเวียดนามทั้งหมดก็ไม่ได้
เพราะแม่ของข้าพเจ้ามีพ่อมีแม่หรือตายาย ของข้าพเจ้าเป็นคนที่อยู่ในประเทศลาว
ซ้ำแม่ข้าพเจ้าเกิดในเวียงจันทร์เติบโตเป็นสาวในเวียงจันทร์ ควรจะมีสัญชาติลาวไม่ใช่ชาวเวียตนาม
แต่ในยุค 70 กว่าปี มาแล้วจากปัจจุบันพ.ศ 2542 การทำสำมะโนประชากร
และบัตรประจำตัวยังไม่รัดคุมหรืออาจจะยังไม่มีก็ว่าได้
เมื่อแต่งงานกับชาวเวียตนามที่ร่อนเรทำมาหากิน
ทางภาคอีสานของเมืองไทยโดยเข้าเมืองไทยไม่ถูกต้องขณะนั้นลัทธิคอมมูนนิสตมีความรุนแรงมาก
ในภาคพื้นอินโดจีน แม่ของข้าพเจ้าจึงติดร่างแหเป็นคนเวียตนามอพยพโดยปริยายไม่สามารถอุทธรณ์ได้เลย
เนื่องจากคนสมัยก่อนไม่นิยมให้ลูกสาวเรียนหนังสือ
จึงไม่รู้ว่าจะแก้ปัญหาอย่างไร? และปัญหาในอนาคตจะมากมายเพียงไหนก็ไม่รู้
เมื่อข้าพเจ้าเกิดมาภายหลังจึงต้องได้รับกรรมอย่างนั้นตามไปด้วย
พอจำความได้สภาพทางสังคมก็บีบคั่น
กฎหมายก็จำกัดสิทธิต่างๆ แถมพ่อเป็นคนที่ไม่รับความคิดเห็นจากผู้ใด
ไม่สนใจในลัทธิอันใดแม้แต่ศาสนา
ถือเพียงแต่ว่า ประหยัดตระหนี่ไม่เอาเปรียบผู้ใดไม่ทำให้ผู้ใดเดือดร้อนยกเว้นคนในครอบครัว
และถือว่าความคิดเห็นของตนนั้นถูกทุกอย่างๆ
ในครอบครัว พ่อจึงบีบบังคับเพื่อให้อยู่
ในแนวทางการทำมาหากินตามที่พ่อวาดไว้ในทุกเรื่องแต่ปัจจุบันนี้ข้าพเจ้าได้รับสัญชาติไทย
ความทุกข์
ความกดดันต่างๆ
ได้สลายหมดแล้ว
และข้าพเจ้ามีความเป็นคนไทยทั้งกายและใจครบสมบูรณ์ทุกประการที่เขียนบรรยายความหลังนี้
เพื่อให้ทราบมูลเหตุของความทุกข์ที่จะนำไปสู่เรื่องที่จะเขียนต่อไปอย่าได้มีอคติเสียก่อน
เมื่อข้าพเจ้าอยู่ในชนบท
วัดจึงเป็นแหล่งศูนย์รวมของคนในสังคม
และในตำบลของข้าพเจ้ามีวัด ในบริเวณไม่ไกลกันถึง
7 วัด ดังนั้นวัดจึงเป็นที่เทียวเล่น เป็นที่สวดมนตร์ไหว้พระ เป็นที่กินข้าว กินขนม และผลไม้ที่อร่อยบางมื้อ
เนื่องจากทางบ้านหาให้กินไม่ได้ จึงได้ฟังพระเทศนาเกือบทุกวันพระในช่วงเข้าพรรษา
มีเหตุผลอีกอย่างคือ รอดื่มน้ำปานะที่เหลือจากพระหลังจากท่านเทศนาจบ
เพราะพ่อของข้าพเจ้าเป็นคนประหยัด
และตระหนี่ที่สุด
อย่าหวังเลยว่าจะได้ดื่มน้ำอัดลมหรือนม เพราะเหตุที่กล่าวมาข้าพเจ้าก็โดนธรรมที่ว่า
ทำดีได้ดีทำชั่วได้ชั่ว และเชื่อในบาปบุญคุณโทษ ฝังเข้าไปในความคิดโดยไม่รู้ตัว
จึงเป็นเด็กที่ไม่สร้างปัญหา
มากนักแต่ปัญหาความกดดันในจิตใจมีมากกว่า
เนื่องจากข้าพเจ้ายังเป็นเด็กอยู่จึงไม่เปรียบเทียบกับสิ่งแวดล้อมมากนัก
ถึงแม้จะโดนเพื่อนที่เกเรล้อฐานะ ของตนเองบ่อย
เมื่ออายุครบ
๘ ขวบ ก็เกือบจะไม่ได้เข้าเรียน
เพราะพ่อแม่ไม่สนใจให้ลูกเรียนและฐานะทาง กฎหมาย ถึงเรียนจบมาก็เอาความรู้มาหางานหาการทำอะไรไม่ได้
เมื่อถึงวันสุดท้ายของการสมัครเข้าเรียน
เพื่อนของข้าพเจ้าได้สมัครเรียนหมดแล้ว ข้าพเจ้าจึงร้องให้งอแงอยู่อย่างนั้นเพื่อให้แม่พาไปสมัครเรียน
จนแม่ทนนั่งขายของอยู่ในตลาดไม่ได้ จำใจพาข้าพเจ้าไปสมัครเรียน
ถ้าข้าพเจ้าไม่ร้องงอแงคงจะไม่ได้ สมัครเรียนในปีนั้นแน่ข้าพเจ้าเรียนหนังสือไม่เก่งเอาเสียเลยในชั้นประถม
๑ ถึง ๔ ได้ลำดับเลข ๒ ตัวมาตลอด แต่ในชั้นประถม ๔ นี้และ
ทำให้ชีวิตการเรียนพัฒนาดีขึ้นเพียงเหตุนิดเดียวดังนี้
ปกติการเรียนนั้นข้าพเจ้า
ไม่คอยสนใจ เพราะทั้งพ่อและแม่ไม่สนใจในการเรียนข้าพเจ้าเอาเลย
แต่เพื่อนข้าพเจ้าที่เดินกินเทียวด้วย
กันในโรงเรียน เขาได้ที่หนึ่งของโรงเรียนเขามีพ่อแม่เป็นครู
ข้าพเจ้าก็อยากเก่งอย่างเขา แต่ในเวลาเรียนไม่ ค่อยรู้เรื่องและตามครูสอนไม่ทัน
จึงทำให้ใจลอยในขณะเรียนเป็นประจำ ถึงแม้ข้าพเจ้าได้ฟังพระเทศบ่อยว่าให้มีสติจำได้ว่าทำอะไรอยู่
และครูสอนเป็นประจำว่า ต้องหัดจำ ข้าพเจ้าพยายามทำตามแต่ก็จำไม่ได้
ต้องล้มเลิกเสียก่อน
เนื่องจากไม่มีความอดทนและยังเป็นเด็กอยู่
แต่จุดผันแปรมันเกิดขึ้นโดยบังเอิญ
ขณะที่ข้าพเจ้ากำลังเรียนคณิตศาสตร์อยู่โดยไม่รู้เรื่องตาจึงมองลอดหน้าต่างของห้องเรียนตรงไปยังยอดไผ่ที่ลมพัดไหวๆ
อยู่ ใจก็คิดล่องลอยไปเรื่อยตามประสาเด็กได้สักพักใหญ่
จึงได้สติขึ้นมาพร้อมกับนึกถึงคำพระและคำสอนของครูว่าต้องจำให้ได้ว่าขณะนี้
เรากำลังทำอะไรอยู่
และสามารถระลึกได้ว่าที่ผ่านมาทำอะไรไปบ้างตั้งแต่นั้นมาข้าพเจ้าปฏิญาณว่า
จะไม่ให้ใจลอยอีกเป็นอันขาด
หลังจากนั้นพอใจเริ่มลอยข้าพเจ้าก็พยายามดึงกลับมาทุกครั้งแต่มันก็ไม่หายขาด
ข้าพเจ้าจึงเกิดความคิดขึ้นว่า ข้าพเจ้าจะพยายามฝึกตัวเองว่าขณะนี้
กำลังทำอะไรอยู่และขณะที่ผ่านมา
ได้ทำอะไรไปแล้วให้นึกให้ได้
ฝึกอย่างนี้จนใจลอยน้อยมากหลังจากนั้นไม่ลอยอีกเลย
แล้วผลการเรียนของ ข้าพเจ้าค่อยดีขึ้นอย่างประหลาด เมื่อขึ้นประถม
๕ เรียนได้ลำดับที่ ๒ ของห้องแต่เปอร์เซ็นต์นั้นยังไม่ดีเนื่องจากข้าพเจ้าเรียนอ่อนมากในชั้นประถม
๑
- ๔ ทำให้พื้นฐานภาษาไทยนั้นไม่ดีเอาเสียเลย ประกอบทั้งทางบ้านไม่มีใครช่วยสอนข้าพเจ้าได้เลย เพราะพี่ๆ
จบเพียงแค่ ป. ๔ เมื่อเรียนประถม 5 - 7 ข้าพเจ้าก็ได้ลำดับที่
๒ มาตลอดเปอร์เซ็นต์ดีขึ้นเรื่อยๆ [
ฟังสียงเล่า เหตการณ์ข้างบน ]
มีอยู่ครั้งหนึ่งข้าพเจ้าได้ถามพระภิกษุ
ที่มาซื้อของและแวะคุยกับแม่ที่บ้านว่า การนั่งสมาธิทำกันอย่างไร? ท่านตอบให้ฟังว่า
นั่งขาขวาทับขาซ้ายมือขวาทับมือซ้ายเหมือนกับพระพุทธรูป แล้วท่านก็ไม่อธิบายอะไรอีกเลย
จึงไม่รู้จะถามอะไรต่อ เมื่อข้าพเจ้าขึ้นเรียนอยู่ชั้นประถม ๗
ความทุกข์ใหญ่ก็บังเกิดขึ้น เพราะพ่อไม่ให้เรียนต่อในระดับมัธยมต้นอย่างเด็ดขาด ถึงแม้ข้าพเจ้าจะเรียนเก่งขึ้นอย่างไรก็ตาม
เหตุผลข้อ ๑. คือเรียนไปแล้วเอาความรู้มาทำงานหากินไม่ได้เนื่องจากเป็นลูกคนญวนอพยพ
๒.สิ้นเปลืองเงินทองเพราะต้องไปเรียนในตัวเมือง
๓.พ่อต้องการให้ฝึกซ่อมรถจักรยานเพื่อเป็นอาชีพ
ถ้ากล่าวถึงฐานะทางการเงินของครอบครัวข้าพเจ้า
ในขณะนั้นดีขึ้นมากแล้วจึงไม่มีปัญหาเรื่องการเงิน การถูกขัดขวางในการเรียนต่อจากพ่อนั้น
ทำลายความหวังที่จะหาความรู้เพื่อความรู้ของข้าพเจ้าอย่างสิ้นเชิง ข้าพเจ้าก็เข้าข้างตนเองว่าเมื่อถึงเวลาเรียนจบชั้นประถม
๗
พ่อก็คงเปลี่ยนใจให้เรียนก็ได้ซึ่งเป็นเพียงแค่ปลอบใจ ตนเอง
ในเมื่อหมดหนทาง
แม้กระทั้งแม่ก็ช่วยอะไรไม่ได้ จึงคิดไปตามประสาเด็กว่า
จะมีใครสักคนไหม ที่เขาสงสารเอาข้าพเจ้าไปเป็นลูกบุญธรรม
แล้วให้ข้าพเจ้าได้เรียนต่อ แต่ก็ไม่วี่แววเลย
เพราะเป็นความฝันลมๆ แล้งตามประสาเด็ก
หลังจากนั้นกฎกระทรวงก็บีบและกำจัดสิทธิมากขึ้นเรื่อย ๆในเมื่อข้าพเจ้าไม่มีทางออกเลย
แล้วข้าพเจ้าจะทำอย่างไร?